Members

เปิดสถิติค่าใช้จ่ายเสริมทัพ 10 ฤดูกาลหลังสุด - ใครจ่ายหนัก...ใครแชมป์?

เปิดสถิติค่าใช้จ่ายเสริมทัพ 10 ฤดูกาลหลังสุด - ใครจ่ายหนัก...ใครแชมป์?

โจเซ่ มูรินโญ่ กุนซือสเปเชี่ยล วันของเชลซีออกมาวิจารณ์เหล่าคู่แข่งโดยชี้ว่าพยายามใช้เงินทุ่มซื้อถ้วย แชมป์สำหรับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลใหม่ ซึ่งถือเป็นคำพูดที่แปลกประหลาดเมื่อมาจากผู้จัดการของทีมที่เคยทำพฤติกรรม ดังกล่าวมาก่อนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

Daily Mail สำนักข่าวดังของประเทศอังกฤษ ทำการเปิดเผยรายชื่อ 4 อันดับทีมท็อปโฟร์ตลอด 10 ฤดูกาลหลังที่ผ่านมา พร้อมกับจำนวนเม็ดเงินที่พวกเขาลงทุนไป เราจะไปดูกันว่าสโมสรที่จ่ายมากที่สุดจะคว้าแชมป์ได้ในทุกปีหรือไม่

2005-06 : เชลซี 78 ล้านปอนด์
มิชาเอล เอสเซียง 26 ล้านปอนด์, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ 22 ล้านปอนด์, จอห์น โอบิ-มิเกล 14 ล้านปอนด์, อาเซียร์ เดล ออร์โน่ 8 ล้านปอนด์, ซาโลมง กาลู 8 ล้านปอนด์

นี่คือฤดูกาลที่สองในฐานะที่โจเซ่ มูรินโญ่เป็นผู้จัดการทีมเชลซี โดยฤดูกาลก่อนหน้านี้สโมสรของเขาทุ่มเงินหนักคว้าแชมป์มาได้ และโรมัน อับราโมวิชก็จัดให้อีกสำหรับการป้องกันแชมป์

"สิงห์ไฮโซ" ใช้เงินเสริมทัพมากกว่าทีมอันดับ 2 และ 3 รวมกัน โดยในฤดูกาลนั้นพวกเขารักษาแชมป์ทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 คะแนน




2006-07 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 18.6 ล้านปอนด์
ไมเคิ่ล คาร์ริค 18.6 ล้านปอนด์

ถือเป็นฤดูกาลที่เงียบสงบสำหรับการเสริมทัพของเหล่าสโมสรในประเทศอังกฤษ โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจัดการคว้าตัวไมเคิ่ล คาร์ริคมาจากท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์เพียงคนเดียว

ในส่วนของเชลซี สร้างข่าวฮือฮาด้วยการทุ่มเงิน 30 ล้านปอนด์คว้าตัวอังเดร เชฟเชนโก้จากเอซี มิลานแต่ไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 3 สมัยติดได้ และเป็น "ปีศาจแดง" ที่ได้ฉลองกันในฤดูกาลนั้น




2007-08 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 54 ล้านปอนด์
โอเว่น ฮากรีฟส์ 17 ล้านปอนด์, อันแดร์สัน 17 ล้านปอนด์, นานี่ 13 ล้านปอนด์, ราฟาเอล ดา ซิลวา 2.5 ล้านปอนด์, ฟาบิโอ ดา ซิลวา 2.5 ล้านปอนด์, โธมัส คุสแช็ค 2 ล้านปอนด์

ถือเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงทุนเงินมหาศาลกับเหล่านักเตะดาวรุ่งเพื่ออนาคต โดยทั้งนานี่และอันแดร์สัน เปรียบเสมือนวันเดอร์คิดสมัยนั้น สร้างความตื่นเต้นให้สาวกปีศาจแดงเป็นจำนวนมาก

แม้จะใช้เงินไปเกือบ 55 ล้านปอนด์ แต่ทางสโมสรลิเวอร์พูลเป็นทีมที่จ่ายหนักมากที่สุดในฤดูกาลนั้น (70 ล้านปอนด์) อย่างไรก็ตามพวกเขาจบในอันดับที่ 4 ของตาราง โดยเชลซีและอาร์เซนอลที่ใช้เงินมากกว่าคว้าอันดับ 2 และ 3 ไปครอง




2008-09 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 37.5 ล้านปอนด์
ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ 30.75 ล้านปอนด์, โซรัน โทซิช 7 ล้านปอนด์

เป็นอีกหนึ่งปีทองของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเป็นครั้งแรกสำหรับประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีกที่สโมสรหนึ่งคว้าแชมป์ได้ 3 สมัยติดต่อกัน

ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของราฟาเอล เบนิเตซทุ่มเงิน 20 ล้านปอนด์ดึงตัวร็อบบี้ คีนมาจากท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แต่ 6 เดือนหลังจากนั้นดาวยิงชาวไอร์แลนด์ก็ย้ายกลับไปค้าแข้งให้สังกัดเดิมด้วย ค่าตัวที่ถูกลงครึ่งหนึ่ง

ถือเป็นการต่อสู้แย่งแชมป์อันดุเดือดระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล โดยหลังจากนั้น "หงส์แดง" ออกอาการเป๋ยาวเพราะการติสท์แตกของนายใหญ่ชาวสเปน




2009-10 : เชลซี 23.5 ล้านปอนด์
ยูริ เซอร์คอฟ 18 ล้านปอนด์, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ 4 ล้านปอนด์, เนมันย่า มาติช 1.5 ล้านปอนด์

ถือเป็นฤดูกาลที่ "สิงห์ไฮโซ" เลือกหันมาเสริมทัพแบบพอเพียง โดยภายใต้การนำของคาร์โล อันเชล็อตติ พวกเขาสามารถทวงคืนแชมป์จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้สำเร็จ

เชลซีมี 86 คะแนนหลังลงแข่งขัน 38 นัดส่วน "ปีศาจแดง" กดไป 85 คะแนน สูญเสียแชมป์แบบน่าเจ็บปวด




2010-11 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 27 ล้านปอนด์
คริส สมอลลิ่ง 10 ล้านปอนด์, เบเบ้ 7.5 ล้านปอนด์, ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ 6.5 ล้านปอนด์, อันเดรส ลินเดการ์ด 3.5 ล้านปอนด์

"ปีศาจแดง" ทวงคืนความยิ่งใหญ่บนเกาะอังกฤษจากเชลซี โดยคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกสมัยที่ 4 จาก 5 ฤดูกาลหลังสุด โดยทำคะแนนทิ้งห่างสิงห์บลูส์ถึง 9 แต้ม

ถือเป็นอีกหนึ่งมนต์วิเศษของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จากการที่เขาใช้เงินน้อยกว่าเชลซี (94 ล้านปอนด์) และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (154 ล้านปอนด์) อย่างมากโข

ในดูกาลดังกล่าว "เรือใบสีฟ้า" คว้าตัวดาบิด ซิลบา, ยาย่า ตูเร่และเอดิน เชโก้ ส่วนเชลซีได้ตัวเฟร์นานโด ตอร์เรสกับดาวิด ลุยซ์ในตลาดเดือนมกราคม




2011-12 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 78 ล้านปอนด์
แซร์คิโอ อเกวโร่ 38 ล้านปอนด์, ซาเมียร์ นาสรี่ 24 ล้านปอนด์, กาแอล กลิชี่ 7 ล้านปอนด์, สเตฟาน ซาวิช 6 ล้านปอนด์, คอสเทล พานทิลิม่อน 3 ล้านปอนด์

แฟนบอลเรือใบสีฟ้าคงจะจำไปจนตายจากประตูชัยของแข้งหน้าใหม่อย่างแซร์คิโอ อเกวโร่ที่ยิงใส่ควีนสพาร์ค เรนเจอร์สช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเกมการแข่งขันนัดสุดท้ายในพรีเมียร์ ลีกทำให้พวกเขาปาดหน้า "ปีศาจแดง" คว้าแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จ

ซิตี้ภายใต้การนำของโรแบร์โต้ มันชินี่เป็นทีมที่ถลุงเงินมากที่สุด (78 ล้านปอนด์) ส่วนอาร์เซนอลทุ่มเงินมากกว่ายูไนเต็ด 1 ล้านปอนด์แต่จบในอันดับ 3 และมีคะแนนห่างกันถึง 19 คะแนน

2012-13 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 68 ล้านปอนด์
โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ 24 ล้านปอนด์, ชินจิ คากาวะ 17 ล้านปอนด์, วิลเฟร็ด ซาฮา 15 ล้านปอนด์, นิค พาวล์ 4 ล้านปอนด์, อังเจโล่ เฮนริเกซ 4 ล้านปอนด์, อเล็กซ์ บุตต์เนอร์ 4 ล้านปอนด์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดท้าชิงแชมป์คืนจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้หลังฤดูกาลที่ผ่านมาโดนฉกไปแบบน่าเจ็บปวด โดยจะขอบคุณใครอื่นไปไม่ได้นอกจากโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ อดีตกองหน้ากัปตันทีมอาร์เซนอล

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันทุ่มเงิน 24 ล้านปอนด์คว้าตัว RVP ในวัย 28 ปีแม้จะมีประวัติเกี่ยวกับปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่ศูนย์หน้าชาวดัทช์ก็ตอบแทนความไว้ใจและจำนวนเงินได้คุ้มค่าตั้งแต่ฤดูกาล แรกที่จบลง

ฤดูกาลดังกล่าวนี้ไม่ใช่ "ปีศาจแดง" ที่ใช้เงินมากที่สุดแต่เป็นเชลซีที่ดึงตัวแข้งอนาคตอย่างเอด็อง อาซาร์และออสการ์เข้าร่วมทีม




2013-14 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 102.5 ล้านปอนด์
แฟร์นานดินโญ่ 34 ล้านปอนด์, สเตฟาน โยเวติช 26 ล้านปอนด์, อัลบาโร่ เนเกรโด้ 24 ล้านปอนด์, เฆซุส นาบาส 15 ล้านปอนด์, มาร์ติน เดมิเคลลิส 3.5 ล้านปอนด์

เป็นอีกครั้งที่สโมสรจากเมืองแมนเชสเตอร์เถลิงคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกโดยทางซิตี้ภายใต้การนำของกุนซือใหม่อย่างมานูเอล เปเญกรินี่และนักเตะป้ายแดงอีกหลายคนทำได้สำเร็จ

ฤดูกาลนี้ถูกพูดถึงมากที่สุดเพราะช่วงโค้งสุดท้าย "เรือใบสีฟ้า" บุกไปพ่ายต่อลิเวอร์พูล แต่เป็นฝ่ายหงส์แดงที่ทำพลาดซะเอง จากช็อตลื่นของสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดในเกมกับเชลซี จากนั้นในเกมกับคริสตัล พาเลซก็พยายามเร่งยิงประตูมากเกินไปจนจากสกอร์ที่นำ 3-0 กลับมาเสมอ 3-3 ทำเอาหลุยส์ ซัวเรซถึงกับต้องร้องไห้

โจเซ่ มูรินโญ่กลับมาคุมทีมเชลซีอีกครั้งพร้อมทุ่มเงิน 106 ล้านปอนด์ดึงตัวนักเตะชื่อดังเช่นวิลเลี่ยน, เนมันย่า มาติชและอันเดร ชูร์เล่ อย่างไรก็ตามนายใหญ่แฮปปี้วันเผยว่าฤดูกาลนี้ทีมของเขายังไม่พร้อมสำหรับการ ลุ้นแชมป์...




2014-15 : เชลซี 118.5 ล้านปอนด์
ดิเอโก้ คอสต้า 32 ล้านปอนด์, เชสก์ ฟาเบรกัส 30 ล้านปอนด์, ฮวน กัวดราโด้ 27 ล้านปอนด์, ฟิลิปเป้ หลุยส์ 16 ล้านปอนด์, โลอิค เรมี่ 10.5 ล้านปอนด์, มาริโอ ปาซาลิช 3 ล้านปอนด์

มูรินโญ่สานงานต่อจากสิ่งที่เขาเริ่มต้นไว้เมื่อฤดูกาลที่แล้วในการผ่าตัด สร้างทีมเชลซีที่จะต่อสู้แย่งแชมป์ขึ้นมาใหม่ และเขาก็ใช้เวลาปีเดียวสำหรับการทำได้สำเร็จ

ฟาเบรกัสและคอสต้า อดีตสองนักเตะจากลา ลีกากลายเป็นกำลังสำคัญ บวกกับฟอร์มอันร้อนแรงที่หยุดไม่อยู่ของเอด็อง อาซาร์ช่วยให้ "สิงห์ไฮโซ" กลับมาทวงแชมป์ครั้งแรกในรอบ 5 ปี

ฤดูกาลนี้เป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ทุ่มเงินมากที่สุดคว้าตัวนักเตะชื่อดังทั้งอัลเคล ดิ มาเรีย, ลุค ชอว์, อันเดร์ เอร์เร่า รวมทั้งการยืมตัวราดาเมล ฟัลเกา โดยหลุยส์ ฟาน ฮาล นายใหญ่จอมปรัชญาพาทีมจบอันดับ 4 ตีตั๋วกลับไปเล่นฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ ลีกได้ตามเป้าหมายของปีแรกที่เขาวางเอาไว้


**********************************************

Cr..soccersuck.in.th/ ติดตามข่าวสารได้ที่เวปหลักของประเทศไทย. www. mcfc.in.th

Views: 1227

Reply to This

Replies to This Discussion

ส่วนแมนซิตี้ส่วนตัวสำหรับผมคุ้มค่าสุด ยอมเสี่ยงเพื่อก้าวกระโดด จากทีมกลางๆตารางกึ่งหนีตกชั้น ไปสู่ทีมเบียดฐาน BIG4 เก่าได้ และตอนนี้ก้อคาดว่าจะอยู่เบียดลุ้นแชมป์ไปได้อีกนานครับ 1-4 หวังได้ตลอด

พักหลังๆมานี่ แมนซินี่จ่ายหนักมาก กับการไล่ลาความสำเร็จ

จริงยังไงก็ทำให้แฟนๆที่ตามเชียร์ได้ลุ้นแชมป์ ดีกว่าลุ้นหนีตกชั้น....

พวกเรามาถึงตรงงนี้กันได้ยังไง ขอบคุณเจ้าของทีมสิครับรออะไร ดีใจและเต็มใจที่จะเชียร์ตลอดไปครับ

จริงครับขอบคุณเขาด้วยควครับามนับถือเลย

ปืนใช้งบน้อยมากเมือ่เทียบกับทุกทีมพึ่งจะมาทุ่มเอาหลังๆน่ะฮะแต่ก็พูดอะไรไม่ได้มากเพราะหลังขับเคี่ยวกับป๋าอเล็กมายาวนานก็ผ่อนคันเร่งเกาะกลุ่มแค่ที่ 4 เป็นขาประจำ ucl แค่นั้นเองถ้ามองตามสภาพทีมแมนซิตี้น่าทึ่งที่สุดน่ะฮะอย่างที่พี่มีนบอกตรงตามนั้นเลยน่ะฮะ ฮรี่ๆ

นังมู อิอิ

ยอดเยี่ยมมากครับเพื่อนๆเรือใบสีฟ้า

10ปีหลัง พรวดมาจากไหนคว้าแชมป์สองฤดูกาล ฮ่าๆ

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.