Members

10 เกมคลาสสิคพรีเมียร์ลีก

ฟุตบอล,พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ฟุตบอลพรี เมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2014-15 ปิดฉากลงไปเรียบร้อย ซึ่งก็ได้บทสรุปต่างๆมากพอสมควร ตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของ "สิงห์บลูส์" เชลซี ที่จองล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนจบซีซั่นเกือบหนึ่งเดือน

        ส่วน เบิร์นลี่ย์ กับ ควีนส์พาร์ค ก็ต้องควงกันกลับไปในที่ที่เคยอยู่อย่างเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก่อน ฮัลล์ ตกตามในวันสุดท้ายของซีซั่น

 

        และในอดีตตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกแต่ละซีซั่นมักมีเกมสุดแสนประทับใจให้เราได้บันทึกไว้ในความทรง จำกันตลอด วันนี้เลยถือโอกาสขุดเอา 10 เกม "สุดคลาสสิค" มาให้คุณๆได้รำลึกความหลังกัน ไปดูว่าซีซั่นล่าสุดมีเกมไหนพอเทียบเคียงได้บ้าง...


        
1) แมนฯ ยูไนเต็ด 2 - เชฟฯ เว้นส์เดย์ 1 (10 เมษายน 1993)

        ปีศาจแดงในช่วงเวลานั้นพยายามคว้าแชมป์ลีกมาครองให้ได้ เป็นครั้งแรก ภายใต้การคุมทัพของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งพวกเขาต้องขับเคี่ยวกับ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า อย่างถึงพริกถึงขิง
    
        เกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากจอห์น เชอริแดน ซัดจุดโทษให้ทีม "นกเค้าแมว" บุกมานำไปก่อนในนาที 64

        แต่เรื่อง "คลาสสิค" ก็เกิดขึ้น เมื่อสตีฟ บรู๊ซ (กุนซือฮัลล์ ซิตี้คนปัจจุบันนี่แหละ) กัปตันทีมแมนฯ ยูไนเต็ด โหม่ง 2 ประตูภายใน 4 นาทีให้ปีศาจแดงพลิกนรกกลับมาแซงชนะได้อย่างเหลือเชื่อ

        ยูไนเต็ดกวาดชัยรวดตลอด 5 เกมสุดท้ายเมื่อซีซั่น 1992-93 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกจากทั้งหมด 13 ครั้งในยุคของเฟอร์กี้ได้ในที่สุด

 

 


2) คริสตัล พาเลซ 1 - แมนฯ ยูไนเต็ด 1 (25 มกราคม 1995)

        อีก 1 เกมคลาสสิคที่อยู่ในใจใครหลายคน แต่ไม่ใช่เรื่องที่ดีงามนัก เอริค คันโตน่า สตาร์ฝรั่งเศสของแมนฯ ยูไนเต็ด โดนไล่ออก หลังจากไปหวดใส่ริชาร์ด ชอว์ กองหลังพาเลซ ในขณะที่สกอร์เสมอกันอยู่ 1-1

        และระหว่างเดินออกจากสนามเพื่อเข้าสู่ห้องแต่งตัว "ก็องโต้" ก็ถูกสาวก "ดิ อีเกิ้ลส์" พูดจาหยาบคายใส่ตลอด โดยเฉพาะหนุ่มน้อยวัย 21 นาม "แม็ทธิว ซิมมอนส์" ที่คงจะปล่อยคำผรุสวาทได้โดนใจก็องโต้ที่สุด ดาวเตะฝรั่งเศสจึงให้รางวัล ด้วยการแหวกฝูงชนเข้าไปกระโดดถีบแบบ "กังฟู" ใส่ในที่สุด  

        จากเหตุการณ์นั้น คันโตน่าโดนสโมสรปรับเงินก้อนโต ส่วนสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) สั่งแบนยาวเป็นเวลานานถึง 8 เดือน พร้อมสั่งให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมอีก 120 ชั่วโมง

        บทสรุปในซีซั่นนั้น ยูไนเต็ดต้องเจอกับความเจ็บปวดแบบ "ดับเบิ้ล" เมื่อเสียแชมป์ให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่เฉือนพวกเขาแค่แต้มเดียว บวกกับการเป็นแค่รองแชมป์เอฟเอ คัพ หลังแพ้เอฟเวอร์ตันในนัดชิงชนะเลิศ

 

 


3) ลิเวอร์พูล 4 - นิวคาสเซิ่ล 3 (3 เมษายน 1996)

        ถูกยกให้เป็น 1 เกมสุดคลาสสิคตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก โดยมีลิเวอร์พูล และ นิวคาสเซิ่ล เป็น 2 นักแสดงนำ เพียงแค่ 15 นาทีแรก ก็เกิดขึ้นถึง 3 ประตูแล้ว จากร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เลส เฟอร์ดินานด์ และ ดาวิด ชิโนล่า ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยการที่สาลิกาดงนำ 2-1

        ต้นครึ่งหลังฟาวเลอร์ก็ยิงตีเสมอให้ "หงส์แดง" ได้ ก่อนที่ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า จะซัดให้ "สาลิกาดง" ออกนำอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่ถึง 100 วินาที แต่สแตน คอลลีมอร์ ก็ตะบันลูกเปิดของเจสัน แม็คเคเทียร์ ให้ทีมสีแดงแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ไล่ตีเสมอเป็นครั้งที่ 3 ของเกม

        เข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกม ความหวาดเสียวตื่นเต้นเริ่มก่อตัวมากขึ้น ก่อนที่เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส์ 2 ตัวเก๋าจะช่วยกันประสานงานเพื่อเปิดทางให้ "คอลลี่" หลุดเข้าไปยิงประตูชัยส่งหงส์แดงแซงชนะในช่วงทดเจ็บแบบเหลือเชื่อสุดๆ

 

 


4) เซาธ์แฮมป์ตัน 6 - แมนฯ ยูไนเต็ด 3 (26 ตุลาคม 1996)

        ครึ่งปีให้หลังจากเหตุการณ์ "เสื้อเทา" ทำพิษ ในการบุกไปแพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-3 ที่เดอะ เดลล์ "ผีแดง" ก็โดน "นักบุญ" ทำบาปใส่อีกครั้ง

        ยูไนเต็ดเหลือแค่ 10 คน ตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรกของเกม เมื่อรอย คีน โดนไล่ออก ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยการตามหลังถึง 1-3 แม้เดวิด เมย์ จะยิงไล่มาเป็น 2-3 แต่ในช่วง 7 นาทีสุดท้ายของเกม ใครจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีกถึง 4 ประตู

        2 แข้งนักบุญอย่างเอยัล เบอร์โควิช มิดฟิลด์อิสราเอล ยิงประตูที่ 2 ของเขาในเกมนี้ ขณะที่เอกิล ออสเท่นสตัด หัวหอกนอร์วีเจี้ยนก็กระหน่ำ "แฮตทริก" ได้สำเร็จ ก่อนที่พอล สโคลส์ จะยิงประตูปลอบใจให้ผู้มาเยือน

        อย่างไรก็ตามท้ายที่สุด ยูไนเต็ดยังคงลงเอยด้วยการเป็นแชมป์อยู่ดี แม้การแพ้เละเกมนี้จะถูกขนาบข้างซ้าย-ขวา ด้วยการแพ้นิวคาสเซิ่ล และ เชลซี ที่สกอร์ 0-5 และ 1-2 ตามลำดับก็ตาม

 

 


5) อาร์เซน่อล 2 - เลสเตอร์ 1 (15 พฤษภาคม 2004)

        แม้ในส่วนของตัวเกมจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเกิดขึ้นของ "ประวัติศาสตร์" หน้าใหม่ อาร์แซน เวนเกอร์ แอนด์ โค อาจเริ่มต้นซีซั่นอย่างตะกุกตะกัก แต่สุดท้ายพวกเขาคว้าแชมป์มาครองด้วยการ ไม่แพ้ใครเลย

        2 เฟรนช์แมนคนสำคัญอย่างเธียร์ อองรี และ ปาทริค วิเอร่า ช่วยกันยิงคนละประตู พลิกสถานการณ์กลับมาแซงชนะเลสเตอร์ ที่ออกนำไปก่อนจากผลงานของพอล ดิ๊คคอฟ

        พร้อมช่วยให้อาร์เซน่อลทำสถิติคว้าแชมป์แบบ "ไร้พ่าย" ทาบเจ้าของเดิมอย่างเปรสตัน เมื่อซีซั่น 1888-89 ได้ในที่สุด

 

 


6) อาร์เซน่อล 4 - สเปอร์ส 4 (29 ตุลาคม 2008)

        อีก 1 เกมสุดคลาสสิคของพรีเมียร์ลีกในเวอร์ชั่น "นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้" เป็นการคุมทัพ "ไก่เดือยทอง" เกมแรกของแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ ที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์หลังการจากไปของฆวนเด้ รามอส

        เดวิด เบนท์ลี่ย์ อดีตเด็กปืน สนองคุณทีมเก่าด้วยลูกยิงไกลสุดสวยเกือบ 40 หลาให้สเปอร์สออกนำก่อน แต่อาร์เซน่อลก็เอาคืนทีเดียว 3 ดอกเน้นๆ จากมิกาแอล ซิลแวสตร์, วิลเลี่ยม กัลลาส และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ให้กันเนอร์สพลิกกลับมานำ 3-1

        เข้าสู่ช่วง 25 นาทีสุดท้าย ดาร์เรน เบนท์ ยิงตีตื้นให้สเปอร์สไล่มาเป็น 3-2 แต่แค่นาทีเดียว โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็ซัดให้เจ้าถิ่นรักษาระยะห่าง 2 ประตูเหมือนเดิม

        อย่างไรก็ตามในนาทีสุดท้าย เจอร์เมน จีนาส ปั่นโค้งให้ไก่เดือยทองฮึดขึ้นมาเป็น 3-4 ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำได้ดีที่สุดเท่านี้ แต่ความคลาสสิคก็บังเกิดขึ้นจนได้ เหลืออีกไม่กี่วินาทีก็จะจบเกม

        ลูก้า โมดริช ลองเสี่ยงยิงไกล บอลพุ่งไปชนโคนเสากระดอนออกมาเข้าทางอารอน เลนน่อน ที่ตามแปซ้ำเข้าไปช่วยไก่เดือยทองเก็บแต้มออกมาได้อย่างเหลือเชื่อสุดๆ

 

 


7) แมนฯ ยูไนเต็ด 4 - แมนฯ ซิตี้ 3 (20 กันยายน 2009)

        โฟกัสของศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้เที่ยวนี้คือการรีเทิร์นสู่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดของคาร์ลอส เตเวซ แต่กลายเป็นว่าคนที่ขโมยซีนไปเต็มๆคือแข้งใหม่ในช่วงซัมเมอร์นั้นของยูไน เต็ดอย่างไมเคิ่ล โอเว่น ที่นำชัยให้ทีมได้ในช่วงทดเจ็บ

        ประตูของเคร็ก เบลลามี่ ในนาที 90 ก็น่าจะช่วยให้ซิตี้แชร์แต้มด้วยผลเสมอ 3-3 ได้อยู่แล้ว แต่โอเว่น ซึ่งย้ายมาแบบฟรีๆ ก็สอดเข้ามายิงลูกแทงทะลุช่องของไรอัน กิ๊กส์ ให้ยูไนเต็ดคว้าชัยได้สำเร็จในนาที 97 อันเป็นประตูแรกในสีเสื้อปีศาจแดงของเขาด้วย

 


 

8) นิวคาสเซิ่ล 4 - อาร์เซน่อล 4 (5 กุมภาพันธ์ 2011)

        เป็นอีก 1 สุดยอดเกมแห่งการคัมแบ็ก เมื่อสาลิกาดงค่อยๆกลับมาตามตีเสมอได้สำเร็จ ทั้งที่โดนนำไปก่อนแบบกระจุยถึง 0-4

        4 ประตูจากธีโอ วัลค็อตต์, โยฮัน ฌูรู และ การเหมา 2 ของโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ แค่ในช่วง 26 นาทีแรก ช่วยให้กันเนอร์สอยู่แบบสบายๆ

        แม้อาบู ดิยาบี้ จะโดนไล่ออกในนาที 50 แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า อาร์เซน่อลจะต้องเจอบทสรุปอย่างที่เห็น

        ในช่วง 22 นาทีสุดท้าย โจอี้ บาร์ตันซัดจุดโทษให้สาลิกาดงตีไข่แตก ก่อนที่ลีออน เบสต์ จะตีตื้นขึ้นมาอีกประตู จากนั้นเข้าสู่ช่วง 10 นาทีท้าย บาร์ตันยิงอีก 1 จุดโทษให้เจ้าถิ่นตามมาจ่อคอหอยอาร์เซน่อล

        ก่อนที่ชีคห์ ติโอเต้ จะทำให้ทูน อาร์มี่ในเซนต์ เจมส์ พาร์ค แทบคลั่ง จากลูกวอลเล่ย์ระยะไกลของเขาที่เสียบตาข่ายอย่างสุดสวย พร้อมเป็นการทำลายความหวังในการลุ้นแชมป์ของปืนโตด้วย

 

 


9) แมนฯ ยูไนเต็ด 1 - แมนฯ ซิตี้ 6 (23 ตุลาคม 2011)

        นี่คือการพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดของยูไนเต็ดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นับตั้งแต่ปี 1955 พร้อมเป็นการเปิดตัวผู้ท้าชิงแชมป์หน้าใหม่อย่างซิตี้ด้วย

        เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันให้นิยามผลการแข่งขันเกมนี้ว่า "เป็นวันที่แย่ที่สุดของสโมสรแห่งนี้" โดยซิตี้ได้ 6 ประตูจากเซร์คิโอ อเกวโร่, ดาบิด ซิลบา และ การเบิ้ลของมาริโอ บาโลเตลลี่ และ เอดิน เชโก้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 81 ปี ที่ผีแดงโดนยิงถึง 6 ประตูในบ้านด้วย

        อีกไฮไลท์จากเกมนี้ ก็คือการท่าทางหลังยิงได้ของบาโลเตลลี่ ที่เขาหันหลังให้ประตูพร้อมถลกเสื้อแข่งเพื่อโชว์เสื้อยืดข้างในที่มีข้อ ความว่า "Why Always Me?" (ทำไมต้องเป็นผมตลอด ?) เพื่อเป็นการตอบโต้สื่อฯที่รุมโจมตีเรื่องราวนอกสนามของเขานั่นเอง

 

 


10) แมนฯ ซิตี้ 3 - ควีนส์พาร์ค 2 (13 พฤษภาคม 2012)

        สุดยอดเกมแห่งการชี้แชมป์ลีก ที่คลาสสิคและดราม่าแบบสุดๆ ซึ่งช่วยให้แมนฯ ซิตี้คว้าพรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในปะวัติศาสตร์ โดยเฉือนชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่างยูไนเต็ดด้วยผลต่างประตูได้-เสียเท่านั้น

        อดีตกุนซือเรือใบอย่างมาร์ค ฮิวจ์ส นำคิวพีอาร์มาช็อกทีมเก่าด้วยการออกนำ 2-1 หลังผ่าน 20 นาทีแรกของเกม เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้าย แฟนเรือใบบางคนยอมแพ้ต่อโชคชะตาด้วยการทยอยเดินออกจากเอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยความชอกช้ำ

 

        ก่อนที่เอดิน เชโก้ จะโขกประตูตีเสมอได้ในการออกสตาร์ทช่วงทดเจ็บ ปลุกความหวังอันน้อยนิดของซิตี้ให้กลับมาเรืองรองอีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ เมื่อมาริโอ บาโลเตลลี่ไหลให้เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงประตูชัยให้ซิตี้แซงชนะ 3-2 ในช่วงทดเวลาเจ็บนาทีที่ 5 พาทีมคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปีอ

*******************************************
Cr.www.siamsport. ติดตามข่าวสารทีมได้ที่เวปหลักแมนชิตี้ไทย :http://mcfc.in.th/

Views: 485

Reply to This

Replies to This Discussion

สิบเกมมีเกี่ยวกับแมนซิตี้ถึงสามเกมสุดยอด และถือเปนเกมสุดคลาสสิคจริงๆ โดยเฉพาะเกมที่น่าจดจำคือบุกยำเละส่งผีลงคาเล้าคาหลุม  1-6 เปนอะไรที่สุดๆ รวมทั้งเกมวัดตัดสินแชมป์กับผีแดงด้วยการแซงเอาชนะQPR 3-2 ในช่วงเสียววินาทีของการทดเจ็บสุดยอดไปเลย 55

ยังจำได้เคยลืมเลือนครับ นึถึงบ่ยๆแล้วยังตื่นเต้นอยู่เลย 5555++

พักหลังๆ เรือใบก็ไปโลดแล่น ในประวัติศาสตร์เยอะซะแล้ว

1-6 มันติดปากมากพี่ ฮ่าๆๆ

1-6 สะใจ....

แต่ดราม่าต้องยกให้ 3-2...

โกงต้องยกให้ โอเว่นยิง 4-3....ต่ออะไรเยอะแยะ....

นัดประวัติศาสตร์กลับมาคว้าแชมป์นี่แหละครับ สุดยอดมาก ๆ ผมนี่ดีใจสุด ๆ เลยครับ

สุดยอดเลย กุน ยังจำได้ดี เขาวิ่งมาจากกลางสนาม จนถึงลูกบอล แล้วเปนมุมที่พอเหมาะกับการยิงประตูเลย555

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.