Members

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

เข้าสู่ช่วง 15 นัดสุดท้ายของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018-19 กันแล้ว ซึ่งในตอนนี้มันก็คงมีเพียง 2 ทีมเท่านั้นที่มีลุ้นแชมป์ลีก ได้แก่ ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงที่โกยไปแล้ว 60 คะแนน กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เก็บได้ 56 แต้ม

    ทั้งนี้ หลายคนเชื่อว่าทั้งสองทีมจะขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันสนุกจนถึงท้ายๆ ฤดูกาล หลังจากที่พวกเขาต่างก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกันสุดๆ ซึ่งวันนี้เราก็จะมาเจาะลึกทั้งผลงานโดยรวมของทั้งสองทีม และโปรแกรมที่เหลืออยู่ของพวกเขากัน

    - เกมรุก
    ถ้ามองเฉพาะเรื่องจำนวนประตูแล้วล่ะก็ ทั้งคู่ก็ถือเป็นทีมที่ทำประตูได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ของลีก โดย แมนฯ ซิตี้ คืออันดับ 1 ในตอนนี้ด้วยการทำไป 62 ลูก ขณะที่ ลิเวอร์พูล ซัดไปแล้ว 54 ประตู

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    ทั้งนี้ ถ้าเจาะลึกเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ แล้วนั้น มันก็จะพบว่าเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ดีกว่า ลิเวอร์พูล แทบทุกด้าน อย่างเช่นเปอร์เซ็นต์การผ่านบอลสำเร็จ ที่ของ "เรือใบสีฟ้า" อยู่ที่ 88.9 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของ "หงส์แดง" อยู่ที่ 84.4 เปอร์เซ็นต์ ส่วนถ้าเป็นในด้นการเปิดบอลยาว ทีมของ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ก็เปิดบอลยาวเข้าเป้าถึง 59.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำได้ 51.7 เปอร์เซ็นต์

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    ลิเวอร์พูล ขึ้นเกมบุกได้ไหลลื่นจากการผ่านบอลรวมกันทั้งหมด 14,272 ครั้งก็จริง แต่ยังไงซะในยุคนี้กุนซือที่ทำให้ทีมต่อเกมเป็นระบบได้ดีที่สุดคนหนึ่งก็ยังไม่พ้น กวาร์ดิโอล่า เขาทำให้ทีมผ่านบอลในฤดูกาลนี้ไปแล้วทั้งหมด 16,257 ครั้ง โดยที่ แมนฯ ซิตี้ ผ่านบอลเข้าเป้ารวมแล้ว 14,446 หน มากกว่า ลิเวอร์พูล ที่ทำได้ 12,051 ครั้ง เยอะพอตัว

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    ขณะที่เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูนั้น แมนฯ ซิตี้ ก็ทำได้ถึง 21.7 เปอร์เซ็นต์ ดีกว่าของอีกฝ่ายซุ่งอยู่ที่ 20.4 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกัน แชมป์เก่าของ พรีเมียร์ลีก ก็มีค่าเฉลี่ยการทำ 1 ประตูได้ทุกๆ 33.4 นาทีด้วย ส่วนทีมของ คล็อปป์ จะทำได้ 1 ประตูในทุกๆ 38.3 นาที

    - เกมรับ
    สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ดีขึ้นจากฤดูกาลก่อนอย่างเห็นได้ชัดคือเกมรับ จนถึงตอนนี้พวกเขาเพิ่งเสียประตูในลีกไปเพียง 13 ลูก ซึ่งถือเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ตามมาเป็นอันดับ 2 จากการโดนสอยตาข่ายไป 17 ครั้ง

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    ค่าเฉลี่ยการเสียประตูต่อนัดของทั้งสองทีมอาจจะไม่ต่างกันมากนัก โดยของ ลิเวอร์พูล จะเสียประตู 0.6 ลูกต่อนัด ส่วน แมนฯ ซิตี้ เสียไป 0.7 ประตูต่อเกม และที่จริง แมนฯ ซิตี้ ก็มีเปอร์เซ็นต์การเข้าสกัดสำเร็จสูงกว่าอีกฝ่ายด้วย จากจำนวน 69.8 เปอร์เซ็นต์ โดยของฝั่ง ลิเวอร์พูล อยู่ที่ 62.7 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ดูแล้ว แมนฯ ซิตี้ ไม่น่าจะเสียประตูเยอะกว่า ลิเวอร์พูล ได้เลย

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวมันก็ไร้ค่าทันทีเมื่อพิจารณาถึงการตัดสินใจในจังหวะสำคัญๆ เพราะ ลิเวอร์พูล สามารถเคลียร์บอลให้ลอยไปไกลจากพื้นที่อันตรายได้ 390 ครั้ง ขณะที่ของ แมนฯ ซิตี้ อยู่ที่ 345 หน นอกจากนี้ จนถึงตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ก็เสียใบเหลืองไปแล้วถึง 28 ใบ ตรงข้ามกับ ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งโดนใบเหลืองเพียง 19 ครั้งเท่านั้น

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    - โปรแกรมที่เหลืออยู่
    หลายคนเชื่อว่า ลิเวอร์พูล ได้เปรียบ แมนฯ ซิตี้ เป็นอย่างมาก จากการที่มีโปรแกรมรวมทุกรายการให้ลงเล่นน้อยกว่า เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์แค่ พรีเมียร์ลีก กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น สวนทางกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ยังต้องลงเล่นถึง 4 รายการ

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    ทั้งนี้ เมื่อลองพิจารณาให้ลึกลงไปก็จะเห็นว่านอกจาก ลิเวอร์พูล จะได้เปรียบเรื่องมีรายการรวมให้ลงเล่นน้อยกว่าแล้วนั้น พวกเขาก็มีโปรแกรมในลีกที่เป็นใจด้วย เพราะ ลิเวอร์พูล จะได้เล่นใน แอนฟิลด์ ถึง 8 เกม ส่วน แมนฯ ซิตี้ เหลือโปรแกรมเกมเหย้าอีก 7 นัด นอกจากนี้ ทีมของ คล็อปป์ ก็เหลือเจอกับทีมในกลุ่มท็อปซิกซ์อีกแค่ 3 เกมเท่านั้น ได้แก่การดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ เชลซี ส่วน แมนฯ ซิตี้ ยังต้องเจอกับทั้ง อาร์เซน่อล, เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส

    ข้อดีอย่างเดียวเกี่ยวกับการเจอกับทีมในกลุ่มท็อปซิกซ์ของ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงโปรแกรมที่เหลืออยู่ คือการที่พวกเขาจะได้เล่นในบ้านของตัวเองถึง 3 นัดจากทั้งหมด 4 เกม และช่วงสำคัญของพวกเขาก็คือการเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม เจอกับ อาร์เซน่อล ในวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ และต่อด้วยรับการมาเยือนของ เชลซี ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ เรียกได้ว่าถ้าเก็บได้ 6 แต้มเต็มในสัปดาห์ดังกล่าว แมนฯ ซิตี้ ก็มีโอกาสลุ้นแชมป์ยาวๆ แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็อาจจะต้องโบกมือลาแชมป์เลยก็ได้

เหลือแค่15นัด!วิเคราะห์ผลงานและสถานการณ์ลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล-แมนซิตี้

    ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าดูแค่ช่วง 4 นัดสุดท้ายของฤดูกาล มันก็ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมเบากว่าเยอะ เพราะคู่แข่งของพวกเขาคือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้, ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ส่วนฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ต้องเจอกับ สเปอร์ส, เบิร์นลี่ย์, เลสเตอร์ ซิตี้ และ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน

    เรียกได้ว่าถ้าถึงตอนนั้น ลิเวอร์พูล ยังนำอยู่ 4 คะแนนเหมือนในตอนนี้แล้วล่ะก็ พวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะได้แชมป์ลีกเป็นหนแรกในรอบ 29 ปีเลย

////////////////////////////////////////////////////////////////////////
Cr..siamsport. ติดตามข่าวสารได้ที่เว็บหลักของประเทศไทย www.mcfc.in.th

Views: 384

Reply to This

Replies to This Discussion

จากสถิติที่วิเคาะวิแคะมา

ถึงทีมเรือจะว่าว ก็ไม่ได้หมายความว่าทีมเราไม่เก่ง

สถิติความเก่งที่ว่ามาหลายๆอย่าง เราทำดีทำได้เก่งกว่าทีมเป็ดด้วยซ้ำ

แต่มีสถิติอย่างหนึ่ง ที่มันก็สำคัญ และไม่ได้เอามาพูด

นั่นคือสถิติการมีดวงช่วย !

ถ้าเอาสถิติตัวนี้มาวิแคะประกอบ

มันก็น่าจะบ่งบอกได้ว่า ต่อให้เรือจะว่าว ป้องกันแชมป์ไม่ได้

ก็คงไม่ใช่ฝีทรีนด้อยกว่าเป็ด..

แต่ถ้าดวงมันไม่ค่อยช่วย

ดวงจะซวยมากกว่า ด้อยกว่าเป็ด อันนั้นยอมรับ.. เอิ้กๆๆ...

มาวัดกันท้ายฤดูกาลแบบปีที่เอลกุนยิงละมั้งนี่ อิอิ

เรือ-หงส์เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ เรือยังได้เปรียบทั้งขุมกำลังและนักเตะ..

..นักเตะเที่บาดเจ็บพักยาวกลับมาเรียกความฟิตหมดแล้ว..

..เมนดี้ก็กลับมาแล้ว ช่าวล่าสุดอยู่ในระหว่างการแยกฝึกซ้อม..

..ตรงข้ามกับหงส์กำลังระส่ำกับอาการผลัดกันเจ็บของนักเตะกองหลังและกองกลาง..

..รวมทั้งบางคนที่เริ่มออกอาการ..

..ไม่ว่าจะเป็น อาร์โนลด์ โกเมซ มาติช ลอฟเลน ..

..รวมทั้งฟาบินโญ่ ไวจ์นัลดุม และแชมเบอเลนที่เจ็บมานานแล้ว..

..ส่วนไก่เดือยทองคู่แข่งลุ้นแชมป์อีกรายถึงนักเตะไม่เจ็บกันมาก..

..แต่ตัวทำประตูที่สำคัญที่ไม่มีใครมาแทนได้คือ แฮร์รี่ เคน ดันมาเจ็บพักยาว..

..สรุปคือหงส์ได้เปรียบเรือด้านโปรแกรมแข่งขันที่เหลือ 2 รายการ..

..ขณะที่เรือต้องกรำศึกหนักเต็มพิกัด 4 รายการ..

..ก็ดูกันไปว่าเป๊ปกับคล็อปป์ จะคิดอะไรที่มันจะตอบโจทย์สถานการณ์ที่ต้องเผชิญ..

..ใครเป็นแฟนใครก็ต้องลุ้นกันไปอีก 15 เกมข้างหน้า..

.. ยังอีกนาน ยังไม่ต้องเตรียมสลักชื่อที่ถ้วยหรือเตรียมรถแห่ปิดเมืองฉลอง..

..เด๋ว อกหัก ซึมเศร้าจะหาว่าไม่เตือน !

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.