ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคมนี้แล้ว โดยบรรดาทีมน้อยใหญ่ต่างกว้านซื้อนักเตะกันฝีเท้าดีกันเข้ามาเสริมทัพ และได้ทดลองแทคติกใหม่ในช่วง ปรี-ซีซั่น
แต่สำหรับบางทีมอย่าง "เรือใบสีฟ้า " แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้ท้าชิงอันดับ 1 ของ "สิงห์บลูส์ " เชลซี ซึ่งอุดมไปด้วยนักเตะมากมาย อาจเป็นการมองหาข้อบกพร่องของทีมเพื่อปรับปรุงทีม และนี่เองคือ 5 ปัญหาใหญ่ที่ มานูเอล เปเยกรินี่ ต้องจัดการ
ในฤดูกาล 2014 - 2015 ที่ผ่านมา เกมรับของทีมเรือใบสีฟ้าถือว่ายังเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากเป็นทีมอันดับ 1 ใน 4 ทีมท็อปโฟร์ที่เสียประตูมากที่สุดถืง 38 ประตูบวกกับยังเสียประตูกับการเจอทีมรองบ่อนอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะช่วงท้าย เกม
และส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด ปัญหานี้คงหนีไม่พ้นโจทย์ใหญ่ ก็คือสอง เซนเตอร์ฮาร์ฟ โดยเฉพาะคนที่จะมายื่นคู่กับ แว็งซองต์ กอมปานี นั่นคือ มาร์ติน เดมิเคลิส และ เอเลียเควียม ม็องกาลา
ในส่วนของ เดมิเคลิส นั้นก็มีปัญหาด้วยวัยที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยหลักต่อปฏิกิริยาและความ เร็วในการวิ่งไล่กวดคู่แข่ง ส่วน ม็องกาลา นั้นยังคงเป็นปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม รวมถึงสไตล์การเล่นของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จนทำให้โชว์จังหวะเหวออยู่บ่อยครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วง 4-5 ปีหลังที่ผ่านมาย่อมมีชื่อของ ยาย่า ตูเร่ ผู้นี้คือคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
ด้วย ความที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์แบบทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว การหาช่องว่าสอดขึ้นไปยิงทำประตู และยังมีทีเด็ดที่ลูกฟรีคิก จึงไม่ต่างอะไรกับกระดูกสันหลังของทีม การลงเล่นแทบทุกนัดตั้งแต่ปี 2010 ที่ย้ายมา บวกกับการลงเล่นในนามทีมชาติ ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกาย
จาก ฤดูกาลล่าสุดที่ผ่านมาจึงเป็นคำตอบว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ของทีมเรือใบสีฟ้านั่นไม่ดีเท่าทีควร ซึ่งเป็นเพราะเจ้าตัวประสบปัญหาอาการ บาดเจ็บ ลงเล่นได้เพียง 29 นัด บางทีการหาอะไหล่ชั้นดีมาสำรองอาจเป็นความคิดไม่เลวสำหรับ เปเยกรินี
ขนาดรูปร่าง,ลักษณะการวิ่งและการแสดงออกต่างๆในการเล่น ยังละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่นั่นยังมีอีก 1 อย่างที่แทบไม่ต่างกัน นั่นคือสไตล์การเล่น
โดยปกติ แล้วในระบบฟุตบอลสมัยใหม่ที่ใช้มิดฟิลด์คู่กลางสองคนเป็นตัวคอยตัดเกมและ เชื่อมเกม จะต้องมีคนหนึ่งที่สามารถเป็นตัวรับโดยธรรมชาติ และอีกคนหนึ่งที่คอยทำเกมรุกซึ่งมีวิสัยทัศน์และการมองเกมที่ดีทำให้ช่วย การทำเกมของตัวรุกที่ยืนอยู่สูงกว่าได้ดี ยกตัวอย่างทีมแชมป์อย่าง เชลซี พวกเขามี เนมานยา มาติช ที่เป็นตัวรับธรรมชาติ และมี เชส ฟาเบรกาส ที่ยืนสูงหน่อยเป็นคนคอยปรับสมดุลเกมช่วยตัวรุกอย่าง ออสการ์
แต่ ทั้ง เฟอร์นันโด และ แฟร์นันดินโญ นั้นเหมาะจะเป็นตัวรับธรรมชาติมากกว่า โดยตำแหน่งตัวคุมเกมนี่เองที่ทีมเรือ ใบสีฟ้ายังขาดอยู่ เมื่อยามใดที่ ยาย่า ตูเร่ ฟอร์มตกหรือถูกดันขึ้นไปช่วยเกมบุกเป็นตัวรุกธรรมชาติแล้วละก็ นี่คืออีกจุดหนึ่งที่ทีมของ เปเยกรินี ไม่มี
ดา บิด ซิลบา พ่อมดน้อยร่างเล็กผู้เสกเวทย์มนต์ลงบนพื้นสนามผู้นี่ เป็นอีกหนึ่งคนที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นกลไกสำคัญคนหนึ่งเหมือน ยาย่า ตูเร่
ตลอด เวลาที่ย้ายมาเล่นให้ทีมเรือใบสีฟ้า เขาทำหน้าที่เพลย์เมกเกอร์วิ่งฉีกออกไปทั้วสนามเพื่อทำเกม จนฤดูกาลล่าสุดทำไปทั้งหมด 12 ประตู ถือว่ามากสุดตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2010 แต่ก็ไม่มากพอที่จะพาทีมเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ซึ่งนี่เองเป็นภาระหน้าที่ ที่หนักพอสมควรกับการใช้แรงและพละกำลังมหาศาล การลงเล่นตลอดฤดูกาลทั้ง พรีเมียร์ ลีก,เอฟ เอ คัพ และ แคปปิตอล วัน คัพ จึงไม่ใช่งานง่ายจะลงเล่นคนเดียว
บางที่การมีเพลย์เมกเกอร์ชั้นดีคอยเป็นสำรองเพื่อให้ ซิลบา ได้พักหรือยามได้รับบาดเจ็บจนลงสนามไม่ได้บ้าง คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
เซร์คิโอ อเกวโร คือ 1 ในสุดยอดสไตร์เกอร์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ยอดการซัดประตูถล่มทลายตั้งแต่ค้าแข้งอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด จนทีม เรือใบสีฟ้าต้องควักเงินถึง 38 ล้านปอนด์เพื่อกระชากตัวมาร่วมทีม
และ นั่นจึงไม่ต้องสงสัยกับภาระงานที่หนักอึ้งในแดนหน้าตลอด 4 ฤดูกาลหลังสุดที่ยิงคนเดียวไปถึง 78 ประตูในพรีเมียร์ ลีก ซึ่งฤดูกาลล่าสุดถือว่าทำได้มากสุดตั้งแต่ย้ายมาที่ 26 ประตู ครั้นจะพึ่งพา เอดิน เซโก้ คนเดียวก็ไม่ไหว แถมตอนนี้ยังมีข่าวลือหนาหูว่าเตรียมย้ายออกจากทีมอีก
โดย ในตอนนี้กับแผนการทำทีมที่จะใช้ ราฮีม สเตอร์ลิง ลงมาเป็นหน้าเป้าแทน อเกวโร อาจจะช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง แต่ต้องอย่าลืมว่า สเตอร์ลิง ไม่ใช่หน้าเป้าแบบธรรมชาติที่สามารถพักบอลและครองบอลได้ดี
*********************************
Cr..90min.com/ ติดตามข่าวสารได้ที่เวปหลักของประเทศไทยwww.mcfc.in.th