อ่านๆดูแล้วสับสนยังไงก็ไม่รู้ ไม่รู้เป็นข่าว หรือคอลัมส์
หรือคนแปลข่าวดัดจริตอย่างเป็นคอลัมส์นิส เป็นงง
ซีกโลกตะวันตกเค้าสะกดคำว่าเกรงใจไม่เป็นหรอกไอ้น้อง
เค้าสะกดเป็นแต่มืออาชีพ...เด้อนางเด้อ..เด้อๆนางเด้อ
ลอกมาจากหน้าข่าวของ
http://www.siamsport.co.th/Sport_Football/081128_056.html

โรบินโญ่ ดาวยิงทีมชาติบราซิล ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดอกแบบไม่หวั่นสาวกทีม "เรือใบสีฟ้า" น้อยใจ เมื่อบอกว่า ฮีโร่ของเขาคือ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เขาตามดูผลงาน และยกย่องเทิดทูนตั้งแต่สมัยเล่นให้ "ปีศาจแดง" แล้ว แต่ยืนยันเกมดาร์บี้แมตช์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะใส่เต็มที่แน่ๆ เพราะรู้ว่ามีความหมายต่อแฟนบอล
เหล่าสาวก "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีเคืองเล็กน้อย โรบินโญ่ หัวหอกซูเปอร์สตาร์ประจำทีม ยอมรับแบบไม่อ้อมค้อมว่า ให้ความเคารพนับถือ รุด ฟาน นิสเตลรอย อดีตเพื่อนร่วมทีม เรอัล มาดริด ตั้งแต่สมัย ยอดดาวยิงเลือดดัตช์ ยังสวมเสื้อสีแดงๆ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอริร่วมเมือง ที่สมัยอยู่ บราซิล เขาต้องรีบกลับไปดูเกมแข่งทางทีวีเสมอๆ
"ร็อบสัน เดอ ซูซ่า" สมัยเด็กๆ มักจะรีบกลับบ้านไปเปิดทีวีดู "ปีศาจแดง" สมัยที่ยังมี เดวิด เบ็คแฮม, รอย คีน เล่นอยู่ ฟาดแข้งเสมอ ๆ และ 5 ปีต่อมา เจ้าหนูที่โลกลูกหนังรู้จักในชื่อ "โรบินโญ่" เซ็นสัญญากับ เรอัล มาดริด และได้เล่นกับ ฟาน นิสเตลรอย ฮีโร่ ที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมของเขาที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว และตามปกติแล้ว รุด จะส่งข้อความมือถือมาอวยพรเขาก่อนเกมเสมอ
แล้วเกม ซิตี้ เจอทีมเก่าของตัวเอง รุด จะส่งข้อความอะไรมาถึงเขา โรบินโญ่ บอกว่า "อันนี้ผมก็ไม่รู้ เราจะส่งข้อความอวยพรให้กันก่อนเกม แต่ผมไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันอาทิตย์นี้ รุด เป็นตำนานของ ยูไนเต็ด และตอนนี้ผมเล่นกับ ซิตี้ ผมว่าข้อความมือถือคราวนี้ต้องน่าสนใจมากแน่ๆ !" โรบินโญ่ กล่าว
ส่วนวัยเด็กนั้น โรบินโญ่ บอกว่าเกมฟุตบอลทางทีวีที่ บราซิล มีแต่เกม "ปีศาจแดง" ให้ดู "ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ดังไปทั่วโลก ไม่สำคัญว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ถ้าคุณรักฟุตบอลคุณต้องรู้จัก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สมัยผมเด็กๆ และอยู่ที่ เซา เปาโล ผมก็ดู ยูไนเต็ด เล่นทางทีวี และผมชอบ รุด ฟาน นิสเตลรอย มากๆ เขาคือฮีโร่ของผม จากผลงานทำประตูทุกรายการของเขา"
"เขาเป็นกองหน้าที่มีไหวพริบ และผมพยายามเลียนแบบเทคนิคของเขาเพื่อพัฒนาเกมของตัวเอง ถึงเราจะเป็นนักเตะคนละสไตล์ก็ตาม ตอนผมเซ็นสัญญากับ เรอัล มาดริด มันยังกับความฝัน ผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว และหนึ่งในฮีโร่ของผมอยู่ในนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีสุดๆ ที่ได้เล่นกับคนที่ผมเคารพบูชา และผมสุดแสนภูมิใจที่ได้เรียกเขาว่าเพื่อน เรายังติดต่อกันอยู่ และโทรศัพท์คุยกันบ่อยๆ" โรบินโญ่ กล่าว
เกม แมนเชสเตอร์ดาร์บี้แมตช์ ก็คงเปรียบได้เหมือนเกม "เอล กลาซิโก้" ระหว่าง มาดริด กับ บาร์เซโลน่า โดย โรบินโญ่ บอกว่า "นี่คือเกมดาร์บี้ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้
เกมดาร์บี้ที่ไหนในโลกของฟุตบอล เกม มาดริด เจอกับ บาร์ซ่า เป็นเกมของศัตรูคู่อริ และการเล่นเกมเหล่านี้มันตึงเครียดสุดๆ เพราะคุณรู้ดีว่า มันมีความหมายต่อแฟนบอลอย่างไร คุณเอาความภาคภูมิใจของสโมสรมาเดิมพันทุกครั้งเวลาเล่นกับ บาร์เซโลน่า"
"แต่เกมดาร์บี้แมตช์ที่นี่มันคนละอย่างกัน เพราะเป็นเกมของทีมที่อยู่ร่วมเมืองเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า สมาชิกในบ้าน หรือเพื่อนฝูง อาจเชียร์กันคนละทีมในวันนั้น และผมรู้แล้วด้วยว่า มันมีความหมายต่อแฟนบอลของเราอย่างไร มีแต่คนบอกผมเรื่องนี้ทุกหนแห่งที่ผมไป ทั้งที่ ซูเปอร์มาร์เกต, ท้องถนน จะมีคนมาทักผม และบอกว่า - โรบินโญ่ นายต้องเอาชนะ ยูไนเต็ด นี่คือเกมของเรา นี่คือวันของเรา - ผมเข้าใจพวกเขาดี และผมชอบอารมณ์พลุ่งพล่านแบบนี้มาก" โรบินโญ่ กล่าว
ด้วยการลืมตาดูโลกที่ เซา บิเซนเต้ ย่านเสื่อมโทรมที่มีแต่อาชญากรรม และความรุนแรง โรบินโญ่ เข้าใจได้ในทันทีว่า ฟุตบอลเท่านั้นที่จะนำเขาไปสู่อนาคตที่ดีกว่า "ไม่มีใครที่เกิดที่นั่นแล้วมองเห็นอนาคต มันมีแต่ความยากจนข้นแค้น ผู้คนก้มหน้าก้มตาทำงานแต่ได้เงินนิดเดียว อาชญากรรมคือปัญหาใหญ่ในย่านนั้น เด็กๆ ต้องไปมีส่วนพัวพันเสมอ ไม่ว่าจะในฐานะเหยื่อ หรือ สมาชิกแก๊ง หรือคบคนผิด"
"สำหรับเด็กๆ แล้ว ทางเดียวที่จะออกจาก เซา บิเซนเต้ ได้ก็คือ เป็นนักดนตรี หรือนักฟุตบอล ผมรู้ตั้งแต่ตอน 5 ขวบแล้วว่า ผมอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผมเล่นฟุตบอลวันละหลายชั่วโมง ผมฝึกทักษะการคุมบอล และเล่นแข่งกับเด็กๆ 30 คนทุกที่ว่างเท่าที่จะหาได้ ขนาดสุสานเรายังเคยไปเล่นมาแล้ว เพราะแต่ละเกมเรามีคนเล่นเยอะมาก แม่ใช่ว่าจะชอบที่ผมเอาแต่เล่นฟุตบอลอย่างเดียว แม่จะใช้ผมไปซื้อของที่ร้าน และระหว่างทางกลับบ้าน ผมต้องหยุดเล่นบอลกับเพื่อนเสมอ"
"จากนั้น 3-4 ชั่วโมง พอกลับถึงบ้านทั้งเนื้อ และนมก็เน่าแล้ว เพราะดวงอาทิตย์ แม่ไม่ปลื้มเอามากๆ แต่ทำไงได้ ก็ผมชอบเล่นนี่ แม่บอกว่าผมน่าจะเอาเวลาไปท่องหนังสือ และขยันเรียนดีกว่า เพราะเด็กบราซิลแทบทุกคนฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทั้งนั้น และไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้จริงๆ" โรบินโญ่ กล่าว โดยตอนนี้ครอบครัวของเขาย้ายมา อังกฤษ ขณะที่ภรรยาของเขา "วิเวียน" กำลังหัดเรียนภาษาอังกฤษอยู่