Members


     เอ่ยชื่อ เลส แชปแมน ใครรู้จักก็ขอยกนิ้วให้ว่าเก่งเกิ๊น ถ้า ลี แชปแมน ก็ว่าไปอย่าง อดีตนักแสดงชาวอังกฤษผู้โด่งดังเป็นตำนาน ถรุยยส์ นั่นมัน ชาร์ลี แชปลิน...ชักเลอะเทอะไปกันใหญ่ 

 

ไม่รู้จัก เลส แชปแมน คุณไม่ใช่ตัวประหลาด เขาเป็นแค่มนุษย์เดินดินคนหนึ่งที่เคยเล่นฟุตบอลอาชีพในระดับลีกล่างนานกว่ายี่สิบปีระหว่างยุค 60-80 ตระเวนเล่นตั้งแต่โอลด์แฮม มาฮัดเดอร์สฟิลด์ ไปสต็อคพอร์ท, แบร็ดฟอร์ด ยันรอชเดล ก่อนแขวนรองเท้ากับเปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในปี 1987

 

 

ประสบการณ์ลงสนามในลีก ไม่มากมายแค่เจ็ดร้อยกว่านัด กรึ๋ย ไม่มากเตี่ยเอ็งสิ!

 

 

 

หลังจากเลิกเตะบอลหากินแล้ว แชปแมน ผันตัวไปเป็นกุนซืออยู่พัก แต่เพราะโดนไล่ออกซ้ำซาก สุดท้ายมาลงเอยกับตำแหน่ง kit man คอยดูแลเสื้อผ้า-อุปกรณ์ให้ทีมแมนฯ ซิตี้ ในปี 1992

 

 

ถึงวันนี้ก็ปาไป 22 ปี แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา แชปแมน หรือ "แชปปี้" อย่างที่ถูกเรียก ลงแชมพูขัดรองเท้าคู่สุดท้ายให้นักบอลไปพร้อมกับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยที่สองของทีมเรือใบ

 

 

วางมือในวัย 65...กับประสบการณ์ที่หาอ่านหาฟังไม่ได้ง่ายๆ

 

 

 

เพราะในฐานะ kit man แชปปี้รู้กระทั่งว่าใครใหญ่ใครเล็ก ใครสั้นใครยาว ด้วยความที่ต้องขลุกและคลุกคลีกับพวกนักบอลหุ่นล่ำในห้องแต่งตัว

 

 

ใหญ่เล็ก นี่หมายถึง ไซส์เสื้อ

 

 

ส่วน สั้นยาว หมายถึง ไซส์รองเท้า

 

 

อย่าคิดเยอะคิดลึกคิดไกล...

 

 

 

 

 

วันที่ "แชปปี้" เดินผ่านประตูรั้วสนามสมัยยังเล่นที่เมน โร้ด ในปี 1992 แมนฯ ซิตี้ ยุคนั้น ไม่ได้เฟื่องฟูโกอินเตอร์เป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างทุกวันนี้

 

 

เป็นทีมต่างจังหวัด ได้อารมณ์ลูกทุ่งสุดปลายนา ไฟฟ้าไม่ถึง น้ำปะปาไม่มี บ้า ก็เกินไป! ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เรือใบสมัยนั้น อยู่แค่ลีกระดับสอง มีปัญญาจ้างนักบอลแค่หลักร้อยปอนด์ต่อสัปดาห์

 

 

ปีเตอร์ สเวล คือประธานสโมสร สร้างความมั่งคั่งจากการทำธุรกิจขายพวกวิทยุ โทรทัศน์ เครื่องเล่นไฮไฟ ซึ่งในยุค 30-40 ปีที่แล้วเป็นสิ่งที่ถูกใช้วัดตัดสินฐานะว่าบ้านไหนรวยกว่ากัน

 

 

แต่วันนี้ แมนฯ ซิตี้ อยู่ในมือของชีค จากอาบูดาบี ผู้ว่ากันว่าถ้าเอาทรัพย์สินทั้งหมดมาแลกเป็นเหรียญหนี่งเพนนี ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจำนวนเหรียญหรือเม็ดทรายในอาบูดาบีอย่างไหนจะมากกว่า

 

 

เอาแค่หลังจากเทกโอเวอร์สโมสรในปี 2008 ชีคใช้เงินไปแล้วมากกว่า 1,000,000,000 ปอนด์ อ่านว่าหนึ่งพันล้านปอนด์ แต่ขนหน้าแข้งยังดกดำเป็นมันวาวราวอาบด้วยน้ำมันที่สกัดจากน้ำลายของเต่ายักษ์แห่งหมู่เกาะกาลาปากอส

 

 

ส่วนในวันนั้น "แชปปี้" ยังต้องช่วยสโมสรประหยัดด้วยการเย็บชุนปะซ่อมถุงเท้าที่ขาดเป็นรูโหว่ของนักเตะ

 

 

แม้แต่สปอนเซอร์คาดอกเสื้อ ขนาดของบริษัทที่จะมีเงินทุนมากพอก็เปลี่ยนไปตามเวลา

 

 

เมื่อก่อน เครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่น, บริษัทคอมพิวเตอร์, วิดีโอเกม หรือเอเยนต์ทัวร์ ยังสามารถเคลมพื้นที่ไม่กี่ตารางนิ้วบนตัวชุดแข่ง

 

 

แต่เพราะโลกถูกย่อส่วน พรีเมียร์ลีก อัพมูลค่าตัวเองจนกลายเป็นลีกยอดนิยมที่สุดในโลก ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดถูกแข่งขันแย่งประมูลด้วยตัวเลขมหาศาล

 

 

 

แน่นอนว่าสปอนเซอร์ขนาดย่อม ธุรกิจ S-M-L หรือโอท็อป แทบหมดปัญญาถ้าเงินไม่ถึงหรือใจไม่กล้า

 

 

คาดอกเสื้อของแมนฯ ซิตี้ เดินหน้าไปไกลจากในอดีตที่เคยแบมือขอสตางค์สปอนเซอร์เหล่านั้น

 

 

ทุกวันนี้ต้องถึงระดับสายการบินเท่านั้นล่ะที่สู้ไหว

 

 

อีกหน่อยถ้ามูลค่าขึ้นลิฟต์สูงไปกว่านั้น เครื่องบินก็คงต้องเซย์โน เหลือแต่จรวดพาไปทัวร์ดวงจันทร์แล้วกระมัง!

 

 

 

 

"แชปปี้" คือหนึ่งในคนที่อยู่ร่วมหัวจมท้ายกับแมนฯ ซิตี้ มาตั้งแต่ครั้งกระโน้น

 

 

ความสำเร็จคงไม่ต้องพูด เพราะใครก็อยากแจมมีส่วน แต่ความเป็นคนถูกวัดกันตอนที่พุ่งชนความตกต่ำที่สุดต่างหาก

 

 

โดยเฉพาะการจบอันดับ 22 (จาก 24 ทีม) ในดิวิชั่นหนึ่ง (หรือแชมเปี้ยนชิพ ปัจจุบัน) จนต้องร่วงสู่ดิวิชั่น 2 ซึ่งเป็นลีกระดับสามของประเทศ!!!

 

 

เหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นนานมาแล้วเป็นชาติ แต่เพิ่งหมาดๆ แค่สิบกว่าปี

 

 

 

"แชปปี้" สนิทกับนักบอลในทีมเกือบทุกคน แม้แต่คนที่ว่ากันว่าเข้าใจยากเป็น "ศิลปินตัวพ่อ" อย่าง มาริโอ บาโลเตลลี่

 

 

ใครที่เคยนึกชมเจ้าของผลงาน Why always me? ที่พิมพ์บนเสื้อยืดและบาโลเตลลี่ เปิดโชว์ต่อสายตาชาวโลกหลังจากซัดประตูแมนฯ ยูไนเต็ด ว่าเป็นฝีมือของใคร?

 

 

 

 

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว...ฝีมือของ เลส แชปแมน เขาล่ะ

 

 

 

เมื่อถูกถามว่าจริงหรือไม่ บาโลเตลลี่ เคยแต่งตัวเป็นซานตาครอสขับรถไปรอบมอสส์ ไซด์ เพื่อแจกเงินเป็นฟ่อนให้คนแถวนั้น?

 

 

เขาตอบแบบเลี่ยงบาลี "ไม่ว่าคุณอ่านเจอข่าวอะไรเกี่ยวกับบาโล ก็คงจริงตามนั้นแหละ รู้ๆ อยู่ว่าคนอย่างเขาคาดเดาอะไรไม่ได้หรอก"

 

 

 

แต่ความเป็นคนเดาใจยากของบาโลเตลลี่ ก็ยังไม่ยาก, เยอะ และยุ่งเท่ากับปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ที่ "แชปปี้" บอกว่าระหว่างสัปดาห์เป็นคุณชาย พูดจาไพเราะ ยิ้มแย้ม ถ่อมตน       

 

แต่พอถึงวันแข่ง แกปั้นหน้ายักษ์ เคร่งเครียด ถมึงทึง และที่สำคัญคือเป็นคน "เยอะ"       

 

ถือโชคลางว่าถุงมือ ต้องไม่มีใครในทีมเห็นหรือสัมผัสมันก่อนเขา       

 

รองเท้าข้างหนึ่ง 9 นิ้วครึ่ง อีกข้าง 10 นิ้วครึ่ง       

 

ต้องเตรียมเสื้อผ้ากางเกงไว้สามชุด หนึ่งสำหรับตอนวอร์ม สองสำหรับครึ่งแรก และอีกชุดไว้เปลี่ยนใส่ครึ่งหลัง       

      ไม่แค่นั้น ชุดผู้รักษาประตูของชไมเคิ่ล ต้องใหม่เอี่ยมแกะถุงทุกสัปดาห์ เพราะแกบอกว่าเวลาไปซัก ชุดมันไม่พอดีกับตัว

 

 

 

"แชปปี้" เล่าว่าเคยมีซีซั่นหนึ่ง ชไมเคิ่ล ล้างผลาญชุดแข่งไปทั้งหมด 92 ชุด!       

      ส่วนนักเตะทีมปัจจุบัน มีคนละ 2 ชุด ยกเว้น เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่รีเควสต์ขอสี่ เพราะนักเตะคู่แข่งมักขอแลก

 

       

อีกบทบาทที่ "แชปปี้" ทำสม่ำโดยไม่มีใครร้องขอ คือตั้งนิกเนม-ชื่อเล่นให้นักเตะ       

      ตั้งแต่พื้นๆ อย่าง "นาส", "โจฟ" และ "นาฟ" แทน มาเตย่า นาสตาซิช, สเตฟาน โยเวติช และ เฆซุส นาบาส

 

 

ไปจนถึงเลเวลระดับยาก อย่าง "ลินฟอร์ด" ที่ใครไม่รู้ก็อาจงงว่าแมนฯ ซิตี้ เพิ่งซื้อนักเตะใหม่หรือ

 

 

เป็นชื่อเล่นเรียกแทน ริชาร์ด ดันน์ อดีตกองหลังขาโหดของซิตี้ ที่ถูกตั้งตาม ลินฟอร์ด คริสตี้ ตำนานลมกรดของอังกฤษ????

 

 

"มีอยู่เกมหนึ่ง ริชาร์ด (ดันน์) วิ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ สปรินต์เร็วจี๋เลย ตัดบอลจากปีกฝั่งตรงข้ามไปได้ นิคกี้ วีเวอร์ ซึ่งเป็นโกลของเราตอนนั้น ถึงขั้นตกตะลึงและตะโกนดังว่าเร็วเหมือน ลินฟอร์ด คริสตี้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ชื่อใหม่เป็นลินฟอร์ด"

 

 

 

วาเลรี่ โบยินอฟ กองหน้าบัลแกเรีย แม้ลงเล่นให้แมนฯ ซิตี้ แค่ 11 นัด แต่ชื่อนี้จะอยู่ในความทรงจำของ "แชปปี้"ไปตลอด

 

 

เหตุผล?

 

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีเท้า แต่เพราะเขามีนิสัยที่น่าประหลาดเวลาอยู่ในห้องตัว

 

 

 

"วาเลรี่ ชอบเข้าห้องน้ำ พร้อมกับเครื่องโกนหนวด ก่อนจัดการโกนทุกสิ่งอย่างออกไม่เหลือ ยกเว้นผมกับคิ้ว ยังดีนะที่เขาช่วยทำความสะอาด เปิดฝักบัวเอาเศษขนทิ้งลงท่อไป ไม่งั้นผมคงงานเข้า"       

      แม้ "แชปปี้" ปลดระวางตัวเองจากหน้าที่ kit man ไปแล้ว แต่การไปทัวร์อเมริกาของทีมแมนฯ ซิตี้ เขายังติดสอยห้อยตามไปเที่ยวพร้อมกับนาฬิกาโรเล็กซ์ที่บรรดานักเตะซื้อให้เป็นของขวัญอำลาตำแหน่ง

 

 

เขาสังเกตเสื้อผ้าหน้าผมของบรรดานักเตะผู้มีอันจะกินในยุคนี้ เสื้อโปโลจากไนกี้ ถูกทับด้วยสูทฮาร์วี่ย์ นิโคลส์ ราคาคงหลายอยู่              

 

 

 

"แชปปี้" นึกย้อนไปในช่วงที่เขาเพิ่งเข้ามาดูแลด้านนี้ใหม่ๆ       

      "ผมกลับไปดูวิดีโอเก่าๆ แมตช์หนึ่งเราเล่นกับลิเวอร์พูล ปี 1993/94 นักเตะซิตี้ทุกคนใส่เสื้อแข่งไซส์ XL ดูรุ่มร่ามน่าตลก"

 

 

"มันไม่ใช่ว่ารสนิยมเราสมัยนั้นแย่นักหรอก แต่เพราะเรามีเท่านี้ ชุดแข่งไซส์เดียวกันทั้งทีม ห้ามเลือก!"

 

 

...มาริโน่...

 

ขอบคุณภาพ จาก http://www.mcfc.com 

 

Views: 799

Reply to This

Replies to This Discussion

ยิ่งอ่านยิ่งหลงรัก แชปปี้ 555 ขอให้มีความสุขกีบชีวิตหลัง เกษียณนะครับผม

ขอให้มีความสุขนะคร๊าบ

เขียนได้ดีมากครับ

น้ำตาจะไหล

Like เลยครับ ชอบชอบ

55555555555555

หน้าตาที่แชปปี้ชอบทำบ่อยๆครับ ผมดูทุกคลิปที่เว็บสโมสรเอาลง ถ้าคลิปไหนมีแชปปี้ แกชอบทำปากแบบป๊อบอายอ่ะครับ ^^

สโมสรน่าจะมีสิ่งตอบแทนตอนเกษียณดีๆให้นะ

รักทั้งแชปปี้ทั้งโอ้...ฮาาาา

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.