Members

ขอกราบสวัสดีปีใหม่ต่อสมาชิกทุกท่านเอาไว้ล่วงหน้านะครับ ผมหวังว่าทุกๆท่านจะมีวันเวลาที่ดีในการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและครอบครัว รวมไปถึง ยัวร์ เลิฟ อาฮ่า(สำหรับคนที่ไม่โสดทั้งหลาย) ส่วนท่านๆที่นิยมชมชอบการพักผ่อนสงบจิตสงบใจอยู่คนเดียวเงียบๆ นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีในการพักฟื้นสภาพร่างกาย และเซลส์สมอง หลังจากที่ต้องตรากตรำทำงานหนักกันมาตลอดทั้งปี

สัปดาห์นี้อาจไม่มีเรื่องราวใหม่ๆในแวดวงฟุตบอล พรีเมียร์ ชิพ โดยเฉพาะกับทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังมากนัก คาดว่าหลายๆท่านคงได้ที่ระบายอารมณ์กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากประเด็นร้อนก่อนหน้าที่ว่า “ปลดไม่ปลด(ดีน้า)???” มา ณ เวลานี้ มีวิวัฒนาการล้ำหน้ากลายเป็น “ปลดเมื่อไหร่(ดีว้า)???” ไปตามกระแส

มองเหลี่ยมไหนก็น่าลำบากใจแทน มาร์ค ฮิวจ์ กับสถานะความมั่นคงของเก้าอี้กุนซือตัวนี้เสียเหลือเกิน ทั้งๆที่คาดหวังไว้ซะดิบดีว่าชัยชนะ(ที่ไม่บังเกิดขึ้น)เหนือทีมของ โทนี่ โมเบรย์ ในนัดนี้จะเป็นตัวจุดประกายชั้นดี พอที่จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของ น้าสปาร์กี้ เอาไว้ได้บ้าง แม้จะเป็นการเอาชนะทีมบ๊วยก็เต๊อะ!!! อย่างน้อยๆมันก็ 3 คะแนนเหมือนกัน (แต่ที่ไหนได้...ปัดโถ่!!!)

เอาเป็นว่าสถานการณ์ของ ซิตี้ ชั่วโมงนี้ไม่สู้จะดีนัก ทั้งความไว้วางใจในตัวผู้จัดการทีม และอันดับบนตาราง ที่ล่าสุดร่วงหล่นลงไปอยู่โซนหนีตกชั้นเป็นอันเรียบร้อย ส่วนจะปลดเมื่อไหร่??? ที่ไหน??? อย่างไร??? ก็ถือเป็นการตัดสินใจของคนเบื้องบน “ที่คุณก็รู้ว่าใคร”(เพราะไม่ได้แอบอยู่หลัง Mop***) แต่ที่น่าสนใจคือ ใครจะมารับ เผือกร้อน ต่อจาก ฮิวจ์??? กุนซือ "บิ๊กเนม" รายไหน จะกล้าเอาชื่อเสียงมาเสี่ยงกับสถานการณ์ของ เดอะ ซิติเซ่น ยามนี้บ้าง??? นั่นก็เป็นเรื่องที่เราต้องคอยเฝ้าติดตามกันต่อไปครับ(เพราะผมก็ไม่รู้ ฮิๆๆๆ)

แม้บอลนอกช่วงนี้อาจทำผลงานไม่ได้ดั่งใจ แต่บอลไทยกำลังก้าวไปได้สวยบนเส้นทางการแข่งขันฟุตบอล ชิงแชมป์ อาเซียน ปีล่าสุด หรือที่มีชื่อเรียกกันใหม่อย่างเก๋ไก๋ว่า AFF Suzuki Cup 2008(Tiger Cup เดิมนั่นแหละครับ)

หากพูดถึงบอลไทยคงไม่ต้องท้าวความยาวสาวความยืดกันให้มากเรื่อง เพราะเชื่อว่าการติดตามเชียร์ทีมชาติไทยเป็นอะไรที่อยู่ในสายเลือดของแฟนบอลอย่างเราๆชาวสยามทุกคนอยู่แล้ว ส่วนด้านเกียรติยศและชื่อเสียงในระดับอาเซียนของทีมฟุตบอลไทยนั้น ก็นับได้ว่าเป็นเต้ยของวงการมาตลอดในช่วงกว่า 2 ทศวรรษให้หลัง อาจมีบ้างที่ถูกท้าทายจากเพื่อนบ้านในละแวกนี้ซึ่งพัฒนา และยกระดับคุณภาพทีมได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เมียนม่า อินโดเนเชีย มาเลย์เชีย เวียตนาม จนมาถึง แชมป์ Tiger Cup 2 สมัยซ้อน ใน 4 ปีหลังสุดอย่าง สหรัฐ อเมริกา...เอ๊ยยย!!! สิงคโปร์(แหม...ก็พี่เล่นจับนักเตะโอนสัญชาติกันเป็นว่าเล่น ไม่เกี่ยงว่าจะเป็น ผิวขาว ผิวดำ หรือเจ๊กไหหลำก็มากันครบ จนดูเผินๆหยั่งกับทีมชาติ สหรัฐ ของ ไอ้บ้ามาร์ค เอ้ยยย!!! ปธน.โอบาม่า เลยนี่หว่า!!!) ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่แชมป์เก่าอย่าง สิงคโปร์(หรือที่เค้าเรียกทีมตัวเองว่า เดอะ ไลออนส์) ดันพลาดท่าคาบ้านให้กับทีมสกุล "เหงียน" ชิงตกรอบรองชนะเลิศไปเป็นที่เรียบร้อยเสียก่อนแล้ว

อันที่จริงผมอยากยลเกมรอบชิงฯระหว่าง ไทย – สิงคโปร์ มากกว่า เหตุเพราะคาใจมาจาก 2 ปีที่แล้ว เนื่องด้วยทีมชาติไทยบุกไปพ่าย เดอะ ไลออนส์(ขอเรียกบ้าง ฮิๆๆๆ) ชนิดช๊อคความรู้สึกแฟนบอลทั้งประเทศ เมื่อจังหวะโหม่งสกัดบอลที่สุดแสนจะธรรมด๊าธรรมดาของเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ทีมไทยในวินาทีนั้น กลับกลายเป็นการทำผิดกฎกติกาตามบัญญัติของ FIFA ในสายตา(ถั่วๆ)ของผู้ตัดสินชาวมาเลย์ ว่าแล้วก็เป่าให้จุดโทษมันดื้อๆซะหยั่งงั้น ส่วนรูปแบบการเล่นของ สิงคโปร์ ที่ใช้ดีลกับนักเตะไทยโดยทั่วๆไปในแมตช์ดังกล่าว คือการนำศิลปะแม้ไม้มวยไทยมาประยุกต์ใช้กับชาติต้นตำหรับเสียเอง ...น่าภาคภูมิใจจริงๆครับที่ได้เห็นผู้เล่น สิงคโปร์ คลั่งใคล้ศิลปะป้องกันตัวอันเป็นสมบัติประจำชาติไทยถึงเพียงนี้(ตรงไหนฟะ!!!) บางทีถ้าหากนักเตะแดนลอดช่อง ร้อนวิชานักก็อยากแนะนำให้ลองแลกเปลี่ยนเชิงมวยกับ ดัสกร ทองเหลา ดูบ้าง อย่างเร็วที่สุดหลังจากทัวร์นาเมนต์นี้จบลง หรือถ้าหากชิวๆจะรออีกสัก 2 ปีก็ยังทันนะจ๊ะ(คาดว่ากัปตันทีมชาติไทยคงเต็มใจจัดให้เน้นๆสักดอก2ดอก)

เอาเถอะครับถึงรอบชิงชนะเลิศของ AFF Suzuki Cup 2008 จะไม่ได้เป็นการโคจรมาพบกันระหว่าง 2 ทีมที่ครองแชมป์มากที่สุด(ครองกันอยู่ 2 ทีมนี่แหละ) อย่างไทย กับ สิงคโปร์ แต่การชิงความเป็นหนึ่งกับทีมที่เล่นฟุตบอลได้ไหลลื่นอย่าง เวียตนาม ก็ถือเป็นแมตช์ที่น่าติดตามไม่แพ้กัน

ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ ปีเตอร์ รีด ที่ผ่านมา ทำผลงานได้เป็นที่น่าประทับใจในระดับหนึ่ง ในแง่ของผลการแข่งขันอาจดูไม่แตกต่างจากยุคก่อนๆมากนัก คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่เห็นทีมจากแดนสยามไล่ถลุง ลาวได้ถึง 6 ประตู หรือจะเป็นการเอาชนะ เวียตนาม และ มาเลย์เชีย ด้วยผลต่างประตูได้เสียเกิน 2 ลูกขึ้นไป(2-0 และ 3-0 ตามลำดับ) จุดที่เป็นข้อแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบทีมชุดนี้กับชุดก่อนๆคือ สภาพความฟิตของร่างกาย นักเตะไทยดูปราดเปรียวและแข็งแกร่งขึ้น จังหวะบีบเข้าหาบอลทำได้เร็วและหนักหน่วง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอดีตกุนซือ ซันเดอร์แลนด์ เน้นหนักไปที่การเสริมสร้างความฟิตเป็นหลัก อีกทั้งยังให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งได้มีส่วนร่วมในฐานะแกนหลักของทีมชาติมากขึ้น ซึ่งผู้เล่นยังเติร์กที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองเหล่านี้นี่แหละครับจะนำความกระตือรือร้นมาสู่ทีม เป็นแรงขับเคลื่อนให้ฟุตบอลไทยก้าวไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น

ทีมชาติไทยโดยภูมิปัญญาของ อิงลิช ชนอย่าง ปีเตอร์ รีด อาจเป็นส่วนผสมที่ลงตัวและมีอนาคตที่สดใสรออยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มร. รีด เองก็ยังมีบทพิสูจน์ในรายการสำคัญระดับทวีปรออยู่ ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก หรือ เอเชียน คัพ ซึ่งระดับความเคี่ยวมันต่างกัน แต่ก่อนที่จะมองไปไกลถึงจุดนั้น อดีตดาวเตะ ทีมเรือใบสีฟ้า ผู้รับอาศาแบกความคาดหวังอันหนักหน่วงของแฟนบอลทั้งสยามประเทศจำเป็นต้องปลดแอกทีมชาติไทย ที่ห่างหายจากความสำเร็จในรายการนี้มานานร่วม 6 ปีเต็ม ด้วยการคว้าแชมป์มาครองให้จงได้

เลก แรก ที่ สนาม ราชมังคลาฯ ชี้ชะตา ทีมไทย และ เวียตนาม วันพุธที่ 24 ธค. เริ่ม คิกอ๊อฟ เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ช่วยส่งแรงใจไปเชียร์กันด้วยนะครับ

River.

ปล. Mop*** = ไม้ถูพื้น(จะบอกทำโดเรมอนอะไรห๊ะ555+)

Views: 183

Reply to This

Replies to This Discussion

หายไปนานเลยนะครับ ^^
นักเตะเราเสียอย่าง ใจร้อน งุงิงุงิ
แต่สงสัยมากๆ บอลรายการนี้ FIFA รับรองป่าาวอ่าคับ ทำไมมันชิงชนะเลิศ 2 นัด ? เกิดมาเพิ่งเคยเจอนี่แหละคับ
มาลงชื่อ จร้า
เฮ้อออ เมื่อวานกลับบ้านมาดูไม่ทันซะอย่างนั้น ไม่รู้จะมี higlight เต็มๆให้ดูได้ที่ไหนบ้างนอกจาก youtube (- -*)
....วันที่ 28 ไปเยือนเวียตนามอีกที....
....นับลูกได้เสีย ก็เป็นแชมป์เลย.....

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.