Members

        บิ๊กแมตช์ในสัปดาห์นี้ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นข้อแตกต่างระหว่างสองสโมสรในช่วงห่างกันเพียงไม่กี่ปีที่ชัดเจน

        4 ปีเศษหลังจากที่ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ปาดหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซิวโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก แบบสุดแสบสันบนสนามแห่งนี้ เส้นทางของ "ไก่เดือยทอง" กลับนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" ยิ่งใหญ่คับเกาะอังกฤษ         เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี 2010 เมื่อแมนฯ ซิตี้ และสเปอร์สกำลังแย่งอันดับท็อปโฟร์ ขณะที่เชลซีกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นคู่ต่อสู้แย่งแชมป์ลีกกัน         นั่นทำให้การเจอกันเมื่อเดือน พ.ค. ปีนั้น สำคัญอย่างยิ่งยวด เมื่อสเปอร์สของ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ บุกไปเยือนรังเอติฮัดในชื่อเก่า ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะปราบเศรษฐีใหม่ของลีกให้ได้         ทีมเจ้าถิ่นของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ต้องชนะสถานเดียวเพื่อลุ้นไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่วนสเปอร์สขอเพียงยันเอาไว้ได้ก็สมหวังแล้ว         ไม่เพียงแค่ผลงานในสนามที่ต้องสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิงในฤดูกาลนั้น เรื่องวิวาทนอกสนามระหว่างสองสโมสรก็เขม็งเกลียวถึงขีดสุด เมื่อเร้ดแน็ปป์ไม่สบอารมณ์ที่ซิตี้ ยื้อเรื่องขอซื้อ เคร็ก เบลลามี่ หัวหอกเวลส์เอาไว้จนถึงที่สุด และทำให้บรรยากาศของเกมตึงเครียดหนักขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว         ขณะที่เกมกำลังเสมอกัน 0-0 จนถึง 10 นาทีท้าย ปีเตอร์ เคร้าช์ ก็สังหารประตูโทนให้ทีมเยือนสำเร็จในนาทีที่ 82 เขี่ย "ซิตี้" ของ ชีค มานซูร์ หลุดวงโคจรถ้วยบิ๊กเอียร์แบบสุดช้ำ

ปีเตอร์ เคร้าช์ ยิงประตูดับฝันซิตี้เมื่อปี 2010

        อย่างไรก็ดี สองสโมสรกลับอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างหลังจากนัดนั้น เมื่อเงินของมหาเศรษฐีตะวันออกกลาง เนรมิตทัพ "เรือใบสีฟ้า" ให้กลายเป็นมหาอำนาจแห่งพรีเมียร์ลีก         ส่วน "ไก่เดือยทอง" ดูเหมือนเดินย่ำอยู่กับที่ โดยเฉพาะเมื่อปล่อย แกเร็ธ เบล ออกไปให้เรอัล มาดริด แต่ลงทุนซื้อนักเตะใหม่เมื่อฤดูกาลก่อนแบบไม่คุ้มค่านัก         ระหว่างทาง แมนฯ ซิตี้ ประสบความสำเร็จมหาศาล ทั้งเอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และพรีเมียร์ลีกอีก 2 สมัย ขณะที่สเปอร์สไม่ได้อะไรมาประดับตู้โชว์ ถือเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนเหลือเกิน         นอกจากเม็ดเงินมหาศาลแล้ว การบริหารงานของแมนฯ ซิตี้ ก็ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายด้วยในเวลาเดียวกัน เริ่มตั้งแต่อันดับ 4 ตามด้วยการลุ้นแชมป์ และคว้าแชมป์ในบั้นปลาย         บนเวทียุโรป พวกเขาก็ค่อยๆ ก้าวผ่านรอบแรก ก่อนเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ และน่าจะมีโอกาสถึงรอบลึกๆ ได้อีกในเร็วๆ นี้         ด้านบอร์ดบริหาร แม้จะเปลี่ยนกุนซือในอัตราถี่พอกัน แต่แมนฯ ซิตี้ หันไปหามืออาชีพ ชิกิ เบกิริสไตน์ และเฟร์ราน โซเรียโน่ มาจากบาร์เซโลน่า พร้อมกับเริ่มเมกะโปรเจกต์เรื่องสร้างศูนย์ฝึกใหม่ในอีสต์แลนด์ส ซึ่งเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วในปีนี้         ไม่เพียงแค่นั้นสโมสรยังปลด โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ควบคุมไม่ค่อยได้ออกจากตำแหน่งกุนซือ และหันไปหา มานูเอล เปเยกรีนี่ ที่สุขุมนุ่มลึกกว่ามาแทน         ส่วนฟากสเปอร์สภายใต้การนำของ แดเนียล เลวี่ ประธานบอร์ด ยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่ชัดเจนนัก ทั้งโปรเจกต์สร้างสนามใหม่ เช่นเดียวกับอันดับที่มุ่งมั่นไว้ที่การกลับไปแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างสม่ำเสมอ         เบื้องบนเหนือตำแหน่งกุนซือแต่ละราย ไล่ตั้งแต่ยุคของเร้ดแน็ปป์, อันเดร วิลลาช-โบอาช, ทิม เชอร์วู้ด มาจนถึง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ยังมีผู้อำนวยการฟุตบอลเหมือนๆ กัน เริ่มตั้งแต่รายแรก ดาเมี่ยน โกโมลี่ และล่าสุด ฟรังโก บัลดินี่ ก่อนล้มเลิกไปเมื่อแนวทางนี้ไม่สำเร็จอย่างที่ต้องการ         ไม่เพียงแค่นั้นสเปอร์สยังขาดความสม่ำเสมอเรื่องตัวกุนซือที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเกือบตลอด ไม่ว่าจะเป็นกุนซือต่างชาติ คนท้องถิ่น ไปจนถึงมือใหม่หัดขับที่ทำได้ไม่ตรงเป้าสักคน         หนักที่สุดคือการซื้อนักเตะแบบไร้ทิศทาง เมื่อเลวี่วางเป้าหมายไว้ที่ความสำเร็จระยะสั้น แต่เลือกที่จะซื้อดาวรุ่งอายุน้อยเข้ามา         กว่า เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะถูกดึงเข้ามาคุมทีม และใช้นักเตะที่ลงตัวในฤดูกาลนี้ สเปอร์ส ก็เสียเวลากับการลองผิดลองถูกไปนานเกือบ 2 ปี         เวลาที่ผ่านไปนั้นถือเป็นความแตกต่างในการสร้างทีมของทั้งสองสโมสร เห็นได้จากสกอร์เมื่อฤดูกาลก่อน ซึ่งสเปอร์สแพ้ขาดลอยถึง 0-6 และ 1-5 ในยุคของ อันเดร วิลลาช-โบอาช และทิม เชอร์วู้ด         เข้าสู่ยุคใหม่ในไวท์ ฮาร์ท เลน ที่กุนซือชาวอาร์เจนไตน์นำความสม่ำเสมอมาสู่ทีม         ไม่ว่าจะเป็นเกมรับที่เสียไปแค่ 7 ลูกใน 7 นัดแรก และสไตล์การเล่นแบบเพรสซิ่งสูงที่เขาใช้ได้ดีกับเซาธ์แฮมป์ตัน ถือว่าสเปอร์สเริ่มต้นฤดูกาลใหม่แบบมีแนวทางชัดเจนกว่าที่ผ่านๆ มา         ไม่เพียงแค่นั้น เกมรุกยังมี นาเซอร์ ชาดลี่ ที่ยิงไปแล้ว 4 ลูกจากแดนกลาง แม้ทีมต้องเช็กความฟิตของดาวเตะเบลเยียม ที่ถอนตัวจากทีมชาติเมื่อกลางสัปดาห์ก่อนเกมนี้ก็ตาม         มันอาจยังร้อนแรงไม่เท่า เซร์คิโอ อเกวโร่ หัวหอกตัวเก่งของซิตี้ที่กดไปแล้ว 5 ลูกจาก 5 นัด พร้อมค่าเฉลี่ยทำประตูต่อนาทีที่ดีที่สุดในทำเนียบดาวยิงพรีเมียร์ลีก         ฟอร์มนอกบ้านของสเปอร์สก็ยังไม่แพ้ใครในฤดูกาลใหม่ ขณะที่ซิตี้ชนะกับเสมออย่างละครั้งในรัง         อีกทั้งสภาพร่างกายของดาวเตะระดับอินเตอร์ของเจ้าถิ่น ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเต็มร้อยแค่ไหนหลังจากสโมสรไปเกือบสองสัปดาห์เต็ม รวมทั้ง ยาย่า ตูเร่ ที่บินกลับจากแอฟริกามาช้ากว่าใครเพื่อน         และนี่คือเกมที่สาวกไก่เดือยทอง อยากเห็นเช่นกันว่าพวกเขาจะลดช่องว่างที่เคยใกล้เคียงกันมากๆ เมื่อ 4 ปีก่อนได้หรือยัง

ชู้ตเอ๊าต์

ผลงานนัดตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนปี 2010
14/8/2010 สเปอร์ส 0 แมนฯ ซิตี้ 0
10/5/2011 แมนฯ ซิตี้ 1 สเปอร์ส 0
อันดับ แมนฯ ซิตี้ 3 สเปอร์ส 5
28/8/2011 สเปอร์ส 1 แมนฯ ซิตี้ 5
22/1/2012 แมนฯ ซิตี้ 3 สเปอร์ส 2
อันดับ แมนฯ ซิตี้ 1 สเปอร์ส 4
11/11/2012 แมนฯ ซิตี้ 2 สเปอร์ส 1
21/4/2013 สเปอร์ส 3 แมนฯ ซิตี้ 1
อันดับ แมนฯ ซิตี้ 2 สเปอร์ส 5
24/11/2013 แมนฯ ซิตี้ 6 สเปอร์ส 0
29/1/2014 สเปอร์ส 1 แมนฯ ซิตี้ 5
อันดับ แมนฯ ซิตี้ 1 สเปอร์ส 6
ประตูที่ยิงได้

แมนฯ ซิตี้ 23 สเปอร์ส 8

ที่มา : http://www.siamsport.co.th/Column/141018_044.html

Views: 353

Reply to This

Replies to This Discussion

ความห่างชั้นเริ่มชัดเจน

เรือเราจะทําให้ดีที่สุด เพื่อชัยชนะ

ยังจำได้ดีครับ ที่เราต้องพลาดเพราะลูกยิงของปีเตอร์ เคร้าซ์ ในยุค จ่าเฉยยิงลูกเดียว เราอดไปเลย และต่อมาปีเตอร์ เคร้าซ์ขอแก้ตัวยิงเข้าประตูตัวเองคืนให้ ต่อจากนั้นเรือใบก็แล่นฉิว อยู่ในระดับ TOP4 มาตลอดจวบจนถึงวันนี้ครับ ยิ่งหลังๆเจอกันเหมือนบอลแพ้ทางกลายๆ น้องไก่มีอันต้องโดนยิงเละทุกที และวันนี้ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นอีกครับ เปิดบ้านเชือดก่กัน แมนซิตี้สู้ๆ

ซิตตี้ติดลมบนไปแล้ว....

ส่วนสเปอร์ยังอยู่เพียงความคาดหวัง....

ต้องพูดว่าเป็นบอลแพ้ทางอีกคู่เลยทีเดียว พักหลังๆ

จำได้แม่น ปีนั้นเราพลาด ucl เพราะเคร้า ปีต่อมาก็ได้เคร้าเนี่ยแหละ ที่ทำให้เราได้ไป ucl 5555 

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.