ผู้ทรงอิทธิพล

         พลิกปฏิทินหน้าที่ 11 นอกจากจะเห็นตัวเลข 30 วันของพฤศจิกายนแล้ว
         หลายๆ ท่านอาจคาดเดาได้ถึงบรรยากาศเย็นๆ ในช่วงออกสตาร์ตฤดูหนาวของอังกฤษ ซึ่งท้องฟ้าเริ่มมืดเร็ว และเปิดโอกาสให้ดวงอาทิตย์ทำงานน้อยลงๆ ตามลำดับ
         นั่นคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้านสภาพอากาศในสหราชอาณาจักรทั้งหมด ซึ่งรวมถึง แมนเชสเตอร์ เมืองใหญ่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ แต่สิ่งนึงยังเหมือนเดิมก็คือสายฝนชุ่มฉ่ำที่ซู่ซ่าตกโปรยปรายมาตลอด และโดนตั้งฉายาว่า "Rainy City"
         ขณะเดียวกันเมืองนี้ยังถูกเรียกด้วยนามอื่นๆ ตามลักษณะโดดเด่นต่างๆ เช่น"Cottonopolis", "Warehouse City", "Capital of the North" และ "Madchester" เพราะในยุควิคตอเรียเคยผูกขาดเป็นตลาดสินค้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีบทบาทฉกาจของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีต
         แต่สถานะบนสังคมลูกหนังปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ผงาดขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งฟุตบอลอังกฤษอย่างเต็มตัว และมีหลักฐานแจ่มแจ้งด้วยตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ปีหลังสุด โดยสลับสับเปลี่ยนบัลลังก์เสมอภาค ฝั่งละ 2 สมัยระหว่าง ยูไนเต็ด และ ซิตี้
         แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เปิดฉากโรมรันเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1881 และวันอาทิตย์นี้จะเป็นไฟต์ที่ 168 โดยความแตกต่างของสีเสื้อ รวมถึงอุดมการณ์หลากหลาย ย่อมทำให้รู้สึกได้ถึงอารมณ์ขัดแย้งเกลียดชัง แต่วันวานตอนถึงคราวลำบากโดนพิษภัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ซิตี้ ก็ยอมให้ ยูไนเต็ด ร่วมใช้ เมนโร้ด เป็นบ้านหลังเดียวกัน เพราะ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้องซ่อมแซมบูรณะเปลวไฟและควันระเบิดกระหน่ำใส่
         บนเส้นทางขับเคี่ยวแข่งขันก็ยังมีมิตรภาพเชื่อมกลางระหว่าง ซิตี้ กับ ยูไนเต็ด และมีถึง 24 คนที่เคยเล่นรับใช้ทั้งสองสโมสร โดย โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ (ผีแดง 2007-2011 และเรือใบสีฟ้า 2011-2012) เป็นรายล่าสุด
         กรณี ฮาร์โก้ นั้นหมดสัญญากับเร้ด เดวิลส์ และจึงมาเซ็นร่วมถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม คล้ายๆ เรื่องราวของ คาร์ลอส เตเวซ แต่ดีกรีแสบสันต์นั้นเทียบกองหน้าอาร์เจนไตน์ไม่ติดฝุ่นเลยจริงๆ
         อำนาจเงินนับตั้งแต่กลุ่มมหาเศรษฐีอาบูดาบีเข้าเทกโอเวอร์เนรมิตให้ ซิตี้ กลายเป็นศูนย์รวมสตาร์ลูกหนังในเวลาอันรวดเร็ว เพราะจ่ายถึงใจทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย จึงโดนเพ่งเล็งว่าละเมิดกฎ ไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ ของยูฟ่า
         ทุ่มไปเยอะ ไอ้พวกล้มเหลวขาดทุนย่อยยับก็เพียบ แต่ก็มีหลายรายที่เข้าตากรรมการ และหนึ่งในนั้นย่อมรวมมีชื่อของ ยาย่า ตูเร่ ติดอยู่ในโผด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
         ยาย่า ย้ายจากบาร์เซโลน่าด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ ช่วงปีกรกฎาคม 2010 และพัฒนาฝีเท้ารุดหน้าคุ้มเม็ดเงินที่สโมสรจ่ายให้ ด้วยชั้นเชิงลีลาคุณภาพและไม่ใช่แค่มิดฟิลด์ตัวรับเหมือนตอนสวมเครื่องแบบเลือดหมู-น้ำเงิน โดยใช้เวลาแค่ 4 ปีก็สามารถกวาดทุกโทรฟี่ในอังกฤษ เรียงลำดับตามความสำคัญจากพรีเมียร์ลีก (2012, 2014), เอฟเอ คัพ (2011), ลีก คัพ (2014), คอมมิวนิตี้ ชิลด์ (2012)
         นอกจากจะเป็น "นางกวัก" เรียกความสำเร็จเข้าสู่อีสต์แลนด์แล้ว ยาย่า ยังเป็นตัวละครเอกแบบขาประจำ ในยามทำศึกสงครามผ่าเมืองแมนเชสเตอร์
         สถิติของ ตูเร่ ในการลงเล่นให้ ซิตี้ ปะทะ ยูไนเต็ด แบ่งแยกเป็น ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 3 จาก 10 นัด โดยกระทุ้งไป 4 ประตู
         เริ่มจากประตูโทนที่ช่วยให้ ซิตี้ เชือด ยูไนเต็ด 1-0 รอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ และก้าวถึงบัลลังก์แชมป์ในที่สุด
         ต่อด้วยลูกตีไข่แตกในเกมพรีเมียร์ลีก 2012/13 แม้สุดท้ายจะโดน ยูไนเต็ด โกงความตายเหลือเชื่อบุกมาชนะ 3-2 ถึงเอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยฟรีคิกของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
         ส่วนอีก 2 ตุงล้วนเกิดขึ้นในลีกซีซั่นก่อน ซึ่ง เรือใบสีฟ้า ในคอนโทรล มานูเอล เปเยกรีนี่ สยบ ผีแดง ในกำมือ เดวิด มอยส์ เรียบวุธเหย้า-เยือน 4-1 และ 3-0 ตามลำดับ
         ก่อนกระโดดลงเรือสำราญสีสกายบลูส์ "ตูเร่ผู้น้อง" เป็นหนึ่งใน 11 ขุนพลตัวจริงของบาร์เซโลน่าที่เผด็จศึกปีศาจแดง 2-0 ในนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2009 ที่กรุงโรม โดยวันนั้นเขาได้รับบัญชาจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้ยืนเซนเตอร์ฮาล์ฟจำเป็น
         แล้วนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้สอนให้ตัวเขาเข้าใจโลกมากขึ้นว่ายังไงคงเบียดแย่งตำแหน่งกับ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ลำบาก เลยตัดสินใจย้ายจากคัมป์ นูในอีก 1 ปีถัดมา และสามารถการันตีได้อัตโนมัติ หากไร้ปัญหาบาดเจ็บหรือติดโทษแบน ทั้งในยุคของบอสเก่า โรเบร์โต้ มันชินี่ และนายปัจจุบัน เปเยกรีนี่
         ยาย่า สร้างปัญหาให้กับกองกลางยูไนเต็ดได้เสมอ ไม่ว่าจะส่งนักเตะสไตล์ไหนมาประจัญหน้าด้วย
         นับจากวันที่หวดสกอร์น็อก ผีแดง ตกรอบรองฯ เอฟเอ คัพ 2011 และยกพาไปไล่ขยี้ 6-1 ถึงโรงละครแห่งความฝัน ก็ดูเหมือนว่าแข้งยูไนเต็ดจะออกอาการแหยงและขยาด ยาย่า อย่างเห็นได้ชัด
         ยุคปลายก่อนปลดเกษียณของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มาถึงขวบแรกและปีเดียวสำหรับ เดอะ โชสเซ่น วัน "มอยส์" ไม่สามารถแก้โจทย์ความแกร่งกล้าของ ยาย่า ได้เลยจริงๆ มันจึงเป็นภาพชินตาที่จะเห็นดาวดังไอวอรี่โคสต์วาดลวดลายหลอกแข้งผีอย่างมีอิสระสบายอารมณ์อยู่ตลอด
         ก่อนถึงซูเปอร์ซันเดย์ที่อีสต์แลนด์วีกนี้ เชื่อเหลือเกินว่าคนแปลกหน้าแห่งแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ย่อมเตรียมตัวทำการบ้านอย่างละเอียดเนี้ยบนิ้ง ก่อนประเดิมเปิดซิง และคงสั่งให้หน่วยสอดส่องศัตรูคู่บารมีอย่าง มาร์เซล โบลท์ ไปสะกดรอย เรือใบสีฟ้า ว่าแข็งและรั่วตรงไหนบ้าง
         หากโฟกัสเน้นๆ ช่วง 2 แมตช์หลังที่ ซิตี้ แพ้รวด (พ่ายเกมลีก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-2 และปราชัยต่อ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 0-2 แคปปิตอล วัน คัพ) โบลท์ คงได้ข้อมูลไปรายงานเจ้านายเพียบ
         แต่ปัญหาคือ เปเยกรีนี่ คงไม่ยอมพลาดท่าอีก และตลอดปีแรกก็มีแค่หนเดียวที่ ซิตี้ พ่าย 2 เกมติด โดยออกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 2-3 ในลีก และโดน บาเยิร์น มิวนิค บุกกะซวก 3-1 ในชปล.
         กุนซือชิลีออกมายอมรับว่ากังวลผลงานล่าสุดของลูกทีม และทราบดีถึงหายนะว่าจะเลวร้ายแค่ไหน หากเพลี่ยงพล้ำให้กับผีแดง
         ในเกมเสียท่า สาลิกาดง ล่าสุด เปเยกรีนี่ ต้องเสีย ดาบิด ซิลบา ที่เจ็บตั้งแต่ต้นเกม และรายของ ยาย่า ตูเร่ ก็เดี้ยงจนอยู่ในสนามได้แค่หนึ่งชั่วโมง แต่อาทิตย์นี้ยังไงก็ต้องพยายามเข็นยอดแข้งกาฬทวีปรายนี้ลงสนาม อย่างน้อยๆ ก็เพื่อข่มขู่อริจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
         นั่นคืออารมณ์เดียวกับฝั่งอสูร ซึ่งได้ กัปตัน เวย์น รูนี่ย์ พ้นโทษแบน 3 นัดกลับมาเรียบร้อย แต่ดันเจ็บตอนซ้อม
         อย่างไรก็ตาม รูน กด ซิตี้ ไปแล้ว 11 เม็ด และนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดคนปัจจุบันในแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้
         ยกแรกการประลองกึ๋นระหว่าง เปเยกรีนี่ กับ ฟาน กัล ยิ่งเพิ่มเรตติ้งให้บิ๊กแมตช์ที่เอติฮัด น่าดูชมยิ่งขึ้นไป
         ขณะที่คีย์แมนสองฝั่งทั้ง ยาย่า และ รูน อาจไม่ฟิตสมบูรณ์เต็มพิกัด แต่กุนซือสองค่ายจำเป็นต้องใส่ชื่อลงเล่น
         ในฐานะนักรบทรงอิทธิพลที่เคยทำให้ศัตรูวอดวายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
         * เปริมี่ *

Credit : siamsport