Members

คอลัมน์ :: ศึกหนัก


     หลังกลับจากอิสตันบูลด้วยความผิดหวังในยูโร ปา ลีก ไม่กี่ชั่วโมง ''หงส์แดง'' ลิเวอร์พูล ก็ต้องเจอศึกหนักกับแชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ ในทันที

 

        ไม่เพียงแค่ความสำคัญในการลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์ของตัวเอง ขณะที่ผู้มาเยือนตั้งเป้าลดช่องว่างระหว่างเชลซี ที่ติดภารกิจในเวมบลีย์ ให้เหลือแค่ 2 แต้มเช่นเดียวกัน
 
        ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายสำคัญของตัวเอง และทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจพัก ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กับจอร์แดน เฮนเดอร์สัน จากชุดเยือนเบซิคตัส เพื่อเก็บความสดไว้ลุยเกมใหญ่โดยเฉพาะ
 
        บวกกับอาการเจ็บของมามาดู ซาโก้ ทำให้กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ ปรับทัพในเวทียุโรป ด้วยการส่ง เดยัน ลอฟเรน, มาริโอ บาโลเตลลี่ ยืนตัวจริงเช่นเดียวกับ โคโล่ ตูเร่ แทนตำแหน่ง เอ็มเร่ ชาน ที่ขึ้นไปช่วยแดนกลาง
 
        เมื่อทีมพลาดหวังกลับมาจากการดวลลูกจุดโทษ ลิเวอร์พูล จึงเหลือแค่ 2 เป้าหมาย นั่นคือการทำอันดับกลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก และทำให้ดีที่สุดในถ้วย เอฟเอ คัพ
 
        และเมื่อพลิกดูผลงานตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา ถือว่าทีมของร็อดเจอร์ส ทำได้ดีเกินคาดเมื่อเทียบกับช่วงแรก
 
        สกอร์ 2-0 เมื่อสัปดาห์ก่อนที่เซนต์ แมรี่ส์ ของเซาธ์แฮมป์ตัน การันตีสถิติไม่เสียประตูนอกรังติดต่อกัน 5 นัดหนแรกในลีก หรือให้ถูกต้องก็ต้องย้อนไปถึงปี 1985 โน่นทีเดียว
 
        ผลงานนับแต่แพ้แมนฯ ยูฯ 0-3 เมื่อปลายปีก่อน ก็กระเตื้องขึ้นตามลำดับ บวกกับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลภายใต้การนำของร็อดเจอร์ส ลิเวอร์พูลจึงมีโอกาสทำได้ดีอยู่เหมือนกัน
 
        เกมบุกชนะนักบุญ ทำให้หงส์แดงไม่แพ้ใครในลีก 10 นัดติด โดยเสียแต้มแค่ 2 หนในปี 2015 และเมื่อรวมเอาสถิตินับแต่มาคุมทีมเมื่อ 3 ฤดูกาลก่อน ร็อดเจอร์สก็คุมทัพแพ้รวมกันเพียง 4 นัด ระหว่างเดือนม.ค. ถึง พ.ค. ด้วย
 
        แม้เกมรุกตอนนี้จะไม่เด่นเท่าปีก่อน แต่ผลงานเกมรับก็ดีขึ้นผิดหูผิดตา จากที่เคยเสีย 19 ลูกใน 25 นัดแรก ปรากฎว่า 7 นัดหลังสุดกลับโดนเจาะไปแค่ 4 ลูกเท่านั้น
 
        3 แต้มจากการเยือนแดนใต้ ยังทำให้ลิเวอร์พูล ขยับเข้าไปใกล้กลุ่มท็อปโฟร์แค่ 2 แต้ม ยิ่งเมื่อตกรอบบอลยุโรป เป้าหมายที่เหลือจึงน้อยลงโดยอัตโนมัติ
 
        อย่างไรก็ดี คิวเตะที่สุดชุกในช่วงนี้ ทำให้ลิเวอร์พูล เจอกับปัญหาหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคืออาการบาดเจ็บและอาการล้าของนักเตะ ล่าสุดคือการเดินทางกลับจากอตาเติร์ก นั่นเอง
 
        เกมเมื่อคืนวันพฤหัสบดี ทำให้นักเตะมีเวลาพักราว 50 ชั่วโมงเศษก่อนลงเตะกับแมนฯ ซิตี้ ตอนเที่ยงวันอาทิตย์ แม้ร็อดเจอร์ส จะพักตัวหลักไว้ แต่ผลจากเกมที่ตุรกียังทำให้ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ เจ็บเพิ่มอีกคน
 
        ขณะที่ฟากของ แมนฯ ซิตี้ นี่คือโอกาสไล่กวดเชลซี ให้กระชั้นเข้าไปอีกนิด
 
        ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทีมของมานูเอล เปเยกรินี่ ทำท่าจะแผ่วปลายโดนทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ หลังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นติดต่อกันถึง 5 นัด ระหว่างที่ ยาย่า ตูเร่ ไปเล่นทีมชาติในศึกชิงเจ้าแอฟริกา
 
        จังหวะฟื้นคืนชีพของแชมป์เก่า ประจวบเหมาะกับการกลับมาของมิดฟิลด์ไซส์ยักษ์ หลังยำใหญ่สโต๊ค 4-1 โดยไม่มีตูเร่ และพอกลับมาก็ช่วยให้แดนกลางแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ในเกมอัดนิวคาสเซิ่ลอีก 5-0
 
        บวกกับการพลาดทำแต้มหล่นในบ้านของเชลซีกับเบิร์นลี่ย์ เปิดช่องว่างให้แชมป์เก่ากลับมาอีกครั้ง แม้กลางสัปดาห์จะเพิ่งเจอเกมหนักกับบาร์เซโลน่า แต่เวลาพักผ่อนนั้นก็ทำให้พวกเขาไม่เสียเปรียบแต่ประการใด
 
        ยิ่งกว่านั้น ตัวเลือกที่มีอยู่ทั้งตูเร่ ที่ติดโทษแบนในบอลยุโรป วิลฟรีด โบนี่ และเซร์คิโอ อเกวโร่ ซึ่งฟิตอีกครั้ง เช่นเดียวกับฟอร์มของดาบิด ซิลบา และซามีร์ นาสรี่ ที่กลับมามั่นใจเต็มเปี่ยม
 
        เมื่อตูเร่กลับมาสู่แดนกลาง โอกาสที่เปเยกรินี่ จะดร็อปทั้ง เจมส์ มิลเนอร์ กับแฟร์นานโด เพื่อเปิดทางให้แฟร์นานดินโญ่ คู่กับดาวเตะไอวอรี่ โคสต์
 
        สถิติเยือนแอนฟิลด์ของแมนฯ ซิตี้ อาจไม่ถือว่าสดใสนัก แต่ด้วยตัวเลือกที่มีอยู่ และสภาพของเจ้าถิ่นที่อาจอ่อนล้าจากแมตช์ที่กระชั้นชิด
 
        ล้วนเป็นตัวแปรที่ทำให้แชมป์เก่า ไม่เสียเปรียบเท่าไรนัก แม้หงส์แดงจะอยู่ในช่วงเข้าฟอร์มก็ตามที

ชู้ตเอ๊าต์

 

ปริศนาที่แอนฟิลด์
 
        นับตั้งแต่ เชค มานซูร์ มาเทคโอเวอร์สโมสร เมื่อปี 2008 คำถามหนึ่งเมื่อแมนฯ ซิตี้ มาเยือนลิเวอร์พูล ก็คือผลงานที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะหงส์แดงในลีกได้เลย
 
        นั่นคือสิ่งที่พลพรรค "เรือใบสีฟ้า" ทำไม่ได้เหมือนที่เคยออกไปชนะที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด, สแตมฟอร์ด บริดจ์ หรือเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ตลอด 6 ฤดูกาลล่าสุด หรือหากจะเอ่ยถึงชัยชนะหนสุดท้าย ต้องย้อนไปถึงปี 2003 สมัยนิโกล่าส์ อเนลก้า มาเบิ้ลสองประตูที่นี่เลยทีเดียว
 
        อย่างไรก็ดี ฤดูกาลนี้ มหาเศรษฐีจากอีสต์แลนด์ส ได้ล้างอาถรรพ์บนสนามอื่นๆ อีก 3 แห่งที่ไม่เคยบุกไปชนะได้ในช่วงหลังหมดแล้ว ทั้งสกอร์ 3-0 ที่เซาธ์แฮมป์ตัน, 4-1 ที่ซันเดอร์แลนด์ และ 4-1 ที่สโต๊ค
 
        เหลือแค่แอนฟิลด์สนามเดียวเท่านั้นที่ "ซิตี้" ยุคใหม่ยังล้างสถิติย่ำแย่ไม่สำเร็จ หลังเสมอมา 4 และแพ้อีก 2 รวมทั้งสกอร์ 2-2 ในรอบตัดเชือก ลีก คัพ ปี 2012
 
        และนี่คือผลงานของทัพเรือใบที่แอนฟิลด์ 6 ครั้งหลังสุดในลีก ตั้งแต่ปี 2008

        ลิเวอร์พูล 1 แมนฯ ซิตี้ 1
ก.พ. 2009 -
มาร์ค ฮิวจ์ส อดีตกุนซือเรือใบ ซื้อ เคร็ก เบลลามี่ อดีตเด็กหงส์มาร่วมทัพ ด้วยเงินราว 14 ล้านปอนด์ และหัวหอกเวลส์ก็ยิงประตูแรกในเกมนี้ ก่อนโดนตีเสมอจาก เดิร์ก เค้าท์ ก่อนหมดเวลา 12 นาที

        ลิเวอร์พูล 2 แมนฯ ซิตี้ 2
พ.ย. 2009 -
ทีมของฮิวจ์ส อยู่ระหว่างเสมอรวด 8 จาก 10 นัด โดยเจ้าถิ่นขึ้นนำจาก มาร์ติน สเคอร์เทล แต่โดน เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และสตีเฟ่น ไอร์แลนด์ ยิงให้ทีมเยือนนำ ปิดท้ายลูกตีเสมอของ ยอสซี่ เบนายูน

        ลิเวอร์พูล 3 แมนฯ ซิตี้ 0
เม.ย. 2011 -
แอนดี้ แคร์โรลล์ เล่นคุ้มค่าตัว 35 ล้านปอนด์เพียงไม่กี่นัด แต่นัดนี้หัวหอกร่างใหญ่เหมาคนเดียว 2 ลูก ปิดท้ายด้วยเดิร์ก เค้าท์ ตั้งแต่ก่อนหมดครึ่งแรก

        ลิเวอร์พูล 1 แมนฯ ซิตี้ 1
พ.ย. 2011 -
เรือใบสีฟ้า มุ่งหน้าไปแอนฟิลด์พร้อมสถิติชนะรวด 7 นัด นำจ่าฝูงอยู่ 5 แต้ม แถมขึ้นนำก่อนจากลูกโหม่งของแว็งซ็อง ก็องปานี แต่โดนตีเสมอจากลูกพลาดของ โจลีออน เลสค็อตต์ และใบแดงของ มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่ลงเล่นเป็นตัวสำรองของทีมเยือน

        ลิเวอร์พูล 2 แมนฯ ซิตี้ 2
ส.ค. 2012 -
มาร์ติน สเคอร์เทล เป็นหนามยอกอกของเรือใบอีกครั้ง ด้วยลูกโหม่งจากเตะมุม ยาย่า ตูเร่ ตีเสมอ ก่อนฟรีคิกของ หลุยส์ ซัวเรซ สังหารฟรีคิกขึ้นนำ 2-1 ทว่าจังหวะส่งคืนหลังพลาดของสเคอร์เทล ก็มอบของขวัญให้ คาร์ลอส เตเวซ พาเข้าไปยิงตีเสมอเมื่อเหลืออีก 10 นาที

        ลิเวอร์พูล 3 แมนฯ ซิตี้ 2
เม.ย. 2014 -
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และมาร์ติน สเคอร์เทล ยิงให้เจ้าถิ่นนำ 2 ประตู แต่เรือใบตีเสมอจากดาบิด ซิลบา และลูกสกัดพลาดของ เกล็น จอห์นสัน ก่อนตัดสินด้วยลูกยิงของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เมื่อ แว็งซ็อง ก็องปานี สกัดบอลมาเข้าทางพอดี

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

Cr.www.siamsport.   ติดตามข่าวสารทีมได้ที่เวปหลักแมนชิตี้ไทย :http://mcfcin.th/

Views: 355

Reply to This

Replies to This Discussion

อิอิ สถิติไปเยือนแอนฟิลด์ไม่ค่อยสวยหรูเลย หนักไปทางเสมอ แต่ปีนี้ล่ะครับ น่าจะเปนโอกาสดี ในการบุกเอาชนะหงส์ จัดเต็มไปเลยครับ สถิติมีไว้ทำลายเหมือนในนัดบุกชนะสโต้ค 4-1 แมนซิตี้สู้ๆๆ

เรือ โอกาสที่จะล้างอาถรรพ์มาถึงเเล้ว

ล้างอาถรรพ์ให้สำเร็จนะ....

นัดนี้ต้องสู้ให้เต็มที่ เอาชนะให้ได้ครับ เพื่อเรียกความมั่นใจ

สู้ๆๆๆๆ

ศึกหนักสักแค่ไหนก็ต้องชนะเพื่อให้แต้มไล่จี้สิงห์ครับพี่

พึ่งเห็นสถิติ เยือนถิ่นนี้น่ากลัววุ๊ยยย

..เกมกับหงส์มาถึงชั่วโมงนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่้เรือจะเก็บ 3 แต้มไม่ได้..

..ไปเยือนแอนฟีลด์มันน่ากลัวน้อยกว่า สตาดิโอ โอลิมปิโก รังหมาป่าที่เรือบุกไปถล่มมาแล้ว 2-0..

..หรืออัลลิอันซ์ อารีนา รังของบาเยอร์นที่้เรือเคยบุกไปเบียดชนะ 3-2..

..ซีซั่นนี้เรือเรามีเกมเยือนที่ร้อนแรง และที่สำคัญแมทช์นี้ฟูลทีม กุน ซิลบา นาสรี กำลังท้อปฟอร์ม..

..แถมได้ยาย่าตัวโคตรโฮลดิ้งมิดฟิลด์กลับมาสร้างจังหวะเปิดบอลแม่นๆให้แถวหน้าด้วย..

..สรุปสิงห์บลูน่าจะร้อนต้นคอแน่ อย่าทำแต้มหล่นอีกก้อแล้วกัน^^

ปีนี้เป็นปีล้างอาถรรพ์ครับ จัดมา 3 สนาม ลายขาวแดง นัดนี้จัดให้โทนแดงซะหน่อย อิอิ

เสียวเหมือนกันคับ แต่ย่าย่าหญิงอยุ่ ชนะแน่ๆครัช

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.