Members

     ปีนี้แมนเชสเตอร์ ซิตี้หลุดพ้นความผิดข้อหาละเมิดกฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ของยูฟ่าแล้วนะครับ
 
        นั่นหมายความว่าพวกเขาจะมีศักยภาพที่ดีกว่าเดิมเพราะไม่ถูกจำกัดสิทธิใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินซื้อนักเตะที่ถูกขีดเส้นไว้แค่ไม่เกิน 49 ล้านปอนด์รวมไปถึงโควต้าส่งรายชื่อนักเตะลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่น้อยกว่าทีมอื่น 4 คน (โควต้าเต็ม 25 ส่งชื่อได้แค่ 21) ยังไม่รวมเงินค่าปรับอีก 17 ล้านปอนด์ (เป็นเงินภาคทัณฑ์ 32 ล้าน) และต้องควบคุมไม่ให้ค่าเหนื่อยของนักเตะในทีมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมามากกว่าฤดูกาลก่อน
 
        ด้วยการใช้จ่ายที่ระมัดระวังผิดจากปกติวิสัย ทุ่มซื้อแค่ เอเลควิม ม็องกาล่า เกิน 30 ล้านปอนด์คนเดียว ซิตี้จัดการกับรายรับ-รายจ่ายในฤดูกาล 2014-15 ได้ดีและสุดท้ายผ่านเงื่อนไขที่ยูฟ่ากำหนดไว้ได้ ตัวเลขในบัญชีนั้นอาจจะยังสีแดงเกินลิมิต  แต่เมื่อหักค่าปรับ 17 ล้านปอนด์ออกไปงบขาดดุลของทีมเรือใบสีฟ้าก็ผ่านเกณฑ์
 
        เท่ากับว่าพวกเขาหลุดจากข้อจำกัดเรื่องการเงินภายใต้กฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์และสามารถกลับไปอาละวาดในตลาดนักเตะได้อีกครั้ง
 
        หากนี่เป็นแค่หลักการนะครับ ในทางปฏิบัตินั้นแมนฯ ซิตี้จะวางกลยุทธอย่างไรไม่รู้เพราะอย่าลืมว่ากฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์มันยังมีผลบังคับใช้อยู่ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่สโมสรละเมิดกฎอีกก็จะกลับไปถูกลงโทษอีก พูดง่ายๆ ว่าตอนนี้แมนฯ ซิตี้พ้นผิดจากกฎนี้แล้ว แต่ไม่ได้พ้นตลอดไป เหมือนนักโทษที่ออกจากคุกมาแล้วไปก่อคดีอีกก็อาจกลับไปเข้าซังเตรอบสองตามกฎหมาย
 
        ทางเลือกสำหรับซิตี้ในตลาดนักเตะซัมเมอร์นี้มีอยู่ 2 ทางคือทางแรกยังต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ถูกกฎนี้เล่นงานอีกในฤดูกาลต่อไป มันจะเป็นการซื้ออย่างยั่งยืนแต่ค่อยเป็นค่อยไป กับทางที่สองคือถล่มตลาดซื้อขายให้ราบเป็นหน้ากลอง เอาให้หายอยาก สร้างทีมใหม่ที่อุดมไปด้วยขุนพลหมื่นล้านการันตีความสำเร็จระยะยาวแล้วยอมถูกลงโทษด้วยกฎไฟแนนเชียลฯ
 
        ถ้าเราเป็นฝ่ายบริหารของแมนเชสเตอร์ ซิตี้เราจะเลือกเดินทางไหนดีครับ ทางแรกนั้นปลอดภัยเรื่องบทลงโทษแน่ๆ แต่ทีมจะไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมากนัก ส่วนทางที่สองทีมจะได้ขุนพลที่ต้องการมาเสริมในจุดที่ต้องการทั้งหมด ปรับศักยภาพไปสู่โหมดล่าความสำเร็จอีกครั้ง แต่ฤดูกาลต่อไปจะถูกลงโทษด้วยการจำกัดสิทธิ์ต่างๆ พร้อมค่าปรับที่น่าจะหนักกว่าเดิม
 
        จะพิจารณาว่าควรเลือกเดินทางไหนนั้นก็ต้องสำรวจตัวเองก่อน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2015-16 ยังขาดหรือต้องเติมในส่วนไหน ถ้าต้องเสริมไม่มากก็เลือกทางแรก ถ้าดูแล้วส่ายหัวต้องยกเครื่องใหม่กลายๆ ก็เลือกทางที่สอง โจทย์มันอยู่แค่ตรงนั้น
 
        โจทย์ข้อนี้ตอบไม่ยากเสียด้วยสิครับ กางกองทัพเรือสีฟ้าออกมาดูเราจะพบว่าข่าวที่บอกแมนฯ ซิตี้จะทุ่ม 160 ล้านปอนด์ซื้อ พอล ป๊อกบา, ราฮีม สเตอร์ลิง และ เควิน เดอ บรอยน์ มาร่วมทีมนั้นไม่ได้ไกลเกินความเป็นไปได้เลย
 
        ถ้าตั้งเป้าเอาไว้ที่การทวงแชมป์พรีเมียร์ลีกและการเขย่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซิตี้ต้องการเซนเตอร์แบ๊กระดับโลกมายืนคู่แว็งซ็องต์ ก็องปานี แบ๊กซ้ายระดับโลกมาแทนกาแอล กลิชี่กับอเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ มิดฟิลด์ระดับโลกมาแทนยาย่า ตูเร่ ตัวริมเส้นระดับโลกมาแทนซามีร์ นาสรี่และเฆซุส นาบาส กองหน้าระดับโลกมาแทนสเตฟาน โยเวติชกับเอดิน เชโก้
 
        ได้ครบทั้งหมดนี้เมื่อไหร่นั่นแหละถือว่าได้ทีมสำเร็จรูปชงน้ำร้อนกินได้เลย ตัวจริง-ตัวสำรองทดแทนกันได้ เหลือแค่การปรับจูนของมานูเอล เปเยกรินี่ให้บรรดาแข้งใหม่เข้ากับระบบ นักเตะอย่างยาย่า ตูเร่, ซามีร์ นาสรี่ หรือ นาบาส ไม่ใช่ไม่ดีแต่ฤดูกาลที่ผ่านมาสองคนแรกทั้งเจ็บและฟอร์มตก ส่วนนาบาสพอจะพูดได้ว่าทรงๆ หรือขาขึ้นนิดๆ เพียงแต่ยังพึ่งพาไม่ได้เต็มร้อยเท่านั้น
 
        หากพวกเขาได้ เซร์คิโอ รามอส หรือ ดีเอโก้ โกดิน มาเล่นกับก็องปานี ได้ ดาวิด อลาบา, เลห์ตัน เบนส์ หรือ จอร์ดี้ อัลบา มาเล่นแบ๊กซ้าย ได้ ปอล ป๊อกบา มาแทน ยาย่า ตูเร่ หรือถอยตูเร่ไปเล่นมิดฟิลด์ตัวรับเต็มตัว ทุ่มซื้อ แกเร็ธ เบล กลับอังกฤษหรือคว้า สเตอร์ลิง หรือขโมย ธีโอ วัลคอตต์ มาจากอาร์เซน่อล พร้อมสอย กอนซาโล่ อิกวาอิน หรือ เอดินสัน คาวานี่ มาช่วย เซร์คิโอ อเกวโร่ ปิดบัญชี
 
        ขุนพลตัวจริงของเปเยกรินี่ก็จะเป็น โจ ฮาร์ท - ปาโบล ซาบาเลต้า, ก็องปานี, โกดิน, อลาบา - เบล, ป๊อกบา, ยาย่า ตูเร่, ดาวิด ซิลบา - อเกวโร่, คาวานี่ โดยมีตัวสำรองเป็น วิลลี่ กาบาเยโร่ - บาการี่ ซาญ่า, มาร์ติน เดมิเคลิส, ม็องกาล่า, กลิชี่ - นาบาส, แฟร์นานโด, แฟร์นานดินโญ่, นาสรี่ - โยเวติช, วิลฟรีด โบนี่ ขนาดของทีมก็จะจัดว่ามหึมาพร้อมชนทุกทีมอีกครั้ง และดูเหมาะสมกับภาพลักษณ์ความเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาก
 
        ผมคิดว่าเปเยกรินี่เองก็มองอย่างนั้น แม้จะเสี่ยงต่อการถูกลงโทษต่อในฤดูกาลถัดไปแต่มันก็คุ้มค่าเพราะนักเตะกลุ่มนี้ยังอยู่กับทีม มันก็คล้ายๆ กับฤดูกาลนี้นี่แหละเพียงแต่ซีซั่นที่เพิ่งผ่านไปกลุ่มนักเตะที่อยู่เดิมนั้นฟอร์มหล่นหายจากช่วงดีที่สุดไปหลายคนผลงานก็เลยออกมาอย่างที่เห็น แต่ถึงกระนั้นการจบที่รองแชมป์ก็ยังบ่งบอกชัดเจนถึงคุณภาพในระดับท็อปของพวกเขา
 
        ไล่อ่านข่าวและคอลัมน์จากสื่อต่างๆ ผมเห็นว่านักข่าวบางคนยังมีมุมมองต่อแมนฯ ซิตี้ในภาพเดิมๆ คือมีเพียงค่าเหนื่อยมหาศาลเท่านั้นที่ดึงดูดนักเตะเข้ามาสู่เอติฮัด สเตเดี้ยม ทรรศนะตรงนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะสถานะของซิตี้ตอนนี้ยกระดับขึ้นไปจาก 5-6 ปีที่แล้วมาก
 
        ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะใช่ ซิตี้จำเป็นต้องใช้เงินค่าเหนื่อยแพงๆ เพื่อจูงใจพ่อค้าแข้งระดับโลกมาร่วมทีม ความสำเร็จเป็นเรื่องรอง จำได้ดีตอนที่พวกเขาพยายามซื้อกาก้านั้น เอซี มิลานต้นสังกัดยอมขายให้แล้วแต่ตัวเพลย์เมกเกอร์แซมบ้าไม่ยอมมา รวมถึงเป้าหมายระดับเขย่าวงการอีกหลายต่อหลายคนตอนนั้นมีทั้ง ลิโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ดาบิด บีย่า, เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ตกเป็นข่าว
 
        เพราะซิตี้ไม่มีต้นทุนอื่นที่น่าเย้ายวน ไม่มีอนาคตที่สดใสในเกมลูกหนัง พวกเขาจะไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกได้อย่างไรในตอนนั้นไม่มีใครนึกภาพออก ก็เพราะดีกรีของพวกเขามีแค่นั้น เป็นแค่ทีมระดับกลางๆ ไม่เคยประสบความสำเร็จ ยังมีเรื่องแซวกันเลยว่านักเตะระดับโลกบางคนยังเข้าใจผิดคิดว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเลยด้วยซ้ำ
 
        นั่นคือแมนฯ ซิตี้ในปีแรกๆ ของชี้คมานซูร์ พอจะพูดได้ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้พวกเขาก็ต้องเสียเวลาตั้งไข่อยู่พอสมควร เริ่มด้วยนักเตะอย่าง คาร์ลอส เตเวซ, โคโล ตูเร่, แกเร็ธ แบร์รี่ และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ที่เข้ามาในซีซั่นแรก 2009-10 ด้วยเงินเกือบ 120 ล้านปอนด์ และพอจะพูดได้ว่าค่าเหนื่อยอันเย้ายวนรวมทั้งความคุ้นเคยกับพรีเมียร์ลีกมาก่อนเป็นเหตุผลลำดับต้นๆ ของการตัดสินใจของตัวนักเตะ
 
        ฤดูกาลที่สอง 2010-11 น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของซิตี้เมื่อการหว่านเงิน 143 ล้านปอนด์แลกมาด้วยนักเตะเกรดสูงขึ้นทั้ง ยาย่า ตูเร่, ดาบิด ซิลบา, เอดิน เชโก้, มาริโอ บาโลเตลลี่ รวมทั้ง อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ กับ เจมส์ มิลเนอร์ ก็ย้ายมาสวมเสื้อสีฟ้าในซีซั่นนั้น เหตุผลเรื่องค่าเหนื่อยแสนแพงเริ่มถูกเจือด้วยความสำเร็จในสนามเพราะจากอันดับ 10 ในซีซั่น 2008-09 ซิตี้ปีนขึ้นมาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 ในซีซั่น 2009-10 พร้อมผลงานเข้าตาหลายๆ เกมโดยเฉพาะการสอยเชลซีไป-กลับและถล่มอาร์เซน่อล 4-2
 
        ผลงานในซีซั่น 2010-11 ที่จบด้วยอันดับสามไปเตะแชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นสปริงบอร์ดชั้นดีช่วยให้การลงทุนในฤดูกาล 2011-12 ของซิตี้ง่ายขึ้น เซร์คิโอ อเกวโร่, ซามีร์ นาสรี่ และ กาแอล กลิชี่ ในวงเงิน 94 ล้านปอนด์เข้ามาผนึกกำลังกับขุนพลที่มีอยู่ โอเคอาจจะมีเตะหลุดไปบ้างกับชื่ออย่าง โรเก้ ซานตา ครูซ, โจลีออน เลสค็อตต์, เยโรม บัวเต็ง แต่กองทัพสีฟ้าของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ใหญ่พอที่จะกระชากความสำเร็จแล้ว
 
        เกียรติยศที่พวกเขาได้มานั้นแลกมาด้วยเงินท่วมหัว แค่ 3 ซีซั่นก่อนจะถึงจุดสุดยอดด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก 2011-12 ซิตี้ใช้เงินท่านชี้คไปเหนาะๆ 355 ล้านปอนด์หรือ 17,750 ล้านบาท หากสิ่งที่ต่อเนื่องตามมาคือดีกรีที่แก่ขึ้น ชื่อเสียงที่ขจรขจายขึ้น แมนฯ ซิตี้ไม่ได้เป็นแค่ทีมเศรษฐีแสนล้านมีแต่เงินอย่างเดียวต่อไปอีกแล้ว แต่พวกเขามีอนาคตมานำเสนอ มีแชมป์ให้ลุ้นทุกปี มีเป้าหมายอันน่าตื่นเต้นให้ไล่ล่า
 
        ในวันนี้เหตุผลที่นักเตะจะย้ายมาอยู่กับซิตี้ไม่ได้มีแค่เรื่องค่าเหนื่อยอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นเรื่องเกียรติยศที่จับต้องได้ที่มันเย้ายวนไม่แพ้กัน สมน้ำสมเนื้อ เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งเงินทั้งกล่องมาครบอย่างนี้แล้วใครจะอยากปฏิเสธ สถานการณ์กลับกันเวลานี้ถ้าซิตี้อยากจะได้กาก้ามันคงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
 
        ชื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นไปวางอยู่บนหิ้งระดับท็อปทีมของยุโรปอย่างเต็มตัว ความสำเร็จอาจล้าหลังอยู่เยอะ แต่มีอนาคต นั่นคือสิ่งสำคัญที่จำเป็นมากสำหรับสโมสรในการดึงดูดนักฟุตบอลทั้งหลาย
 
        แมนฯ ซิตี้ต้องทุ่มเงินอีกครั้งเพื่อกลับมาสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น สามฤดูกาลหลังการซื้อตัวของพวกเขาเข้าข่ายเตะวืดมากกว่าเข้าเป้า แจ๊ค ร็อดเวลล์, สกอตต์ ซินแคลร์, ไมค่อน, มาติย่า นาสตาซิช, ฆาบี การ์เซีย ไม่ได้ฝากความทรงจำอะไรเอาไว้ อัลบาโร่ เนเกรโด้ ยังไม่ชัด แฟร์นานดินโญ่ กับ แฟร์นานโด ต้องดีกว่านี้ เช่นเดียวกับ เฆซุส นาบาส
 
        เข้าเกียร์ว่างมา 3 ปีเต็มทั้งซื้อแป้กทั้งโดนลงโทษ อายุของนักเตะตัวหลักก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แมนฯ ซิตี้เวลานี้จึงอยู่เฉยไม่ได้จริงๆ กฎไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์อะไรนั่นเอาไว้ก่อน ค่าปรับช่างมัน ตีราคาว่าค่าปรับสัก 50-60 ล้านก็ถือเป็นเงินค่าตัวนักเตะสักคน แล้วยิ่งมีข่าวว่ายูฟ่ากำลังจะปรับกฎนี้ให้ผ่อนคลายลงกว่าเดิมก็ยิ่งเป็นทิศทางที่ดีขึ้น
 
        การซื้ออย่างอุตลุดในช่วงซัมเมอร์น่าจะเกิดขึ้นที่เอติฮัด สเตเดี้ยม มันจะมีความบ้าคลั่งเกิดขึ้นที่นั่น..

----------------------------------------------------

siamsport.co.th

Views: 536

Reply to This

Replies to This Discussion

ีีนี้ขอแชมป์

ขอให้ทวงบัลลังค์แชมป์ให้สำเร็จในปีนี้ครับ แมนซิตี้สู้ๆๆๆ

โจ ฮาร์ท - ปาโบล ซาบาเลต้า, ก็องปานี, ม็องกาล่า, โคลารอฟ - ราฮีม, ป๊อกบา, ยาย่า ตูเร่, ดาวิด ซิลบา,เดอ บรุยน์ - อเกวโร่ โดยมีตัวสำรองเป็น วิลลี่ กาบาเยโร่ - ฟาบินโญ่, มาร์ติน เดมิเคลิส, เดนาเยอร์, กลิชี่ - นาบาส, แฟร์นานโด, แฟร์นานดินโญ่, นาสรี่ - เชโก้, วิลฟรีด โบนี่

ชุดแชมป์ชัดๆ

 จัดเต็มไปเลยท่านชีค !แชมป์ แชมป์ แชมป์พี่

เขียนดีแต่สรุปตอนท้ายแปลกๆไหม การซื้ออย่างอุตลุดในช่วงซัมเมอร์น่าจะเกิดขึ้นที่เอติฮัด สเตเดี้ยม มันจะมีความบ้าคลั่งเกิดขึ้นที่นั่น. เด็กหงส์เขียนหรือเปล่าไม่ดูทีมตัวเองเลยซื้อตัวเข้ามาจะครบโหลแล้วคับ

ทวงหนี้ยังจะง่ายกว่าการทวงแชมป์ซะอีกดูที่การเสริมตัวบ้าคลั่งตรงไหนเรือยังไม่ขยับเลย

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.