หากจะถามผมว่า แมตช์ พรีเมียร์ ลีก คู่ไหนที่อยากติดตามชมมากที่สุดในรอบ 2 ฤดูกาลให้หลังมานี้ คำตอบคงหนีไม่พ้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมมหาเศรษฐีใหม่ ดวลแข้ง ไอ้ปืนใหญ่ อาเซนอล ละครับ...


ด้วยเหตุผลง่ายๆแต่ได้ใจความว่า ดูไปไม่มีเครียด เพราะก็...ไม่รู้จะเครียดไปทำไม ก็เพราะ...ไม่รู้จะเชียร์ทีมไหน(ดี) สำหรับผมแล้วแค่หวังจะได้ดูเกมที่สนุก(เท่านั้นแหละ)

หาก... แมนฯ ซิตี้ยิงเข้า ก็...เฮ!!!

หาก... อาเซฯ ยิงบ้าง ก็...เฮ่เฮ้!!!

แต่หากเมื่อไหร่เป็น แมนฯ ยูฯ ยิง(วิลล่า)ก็ ฮ...ฮี่...ย...ยา...เอ้ยยย!!!(555+)


ความสนุกสนานมันอยู่ตรงนี้เอง ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรในคืนวันเสาร์นั้น ไม่ซีเรียสมากมาย แต่ถ้าหากจะขอได้ อยากให้ทีมเจ้าบ้านเป็นฝ่ายเก็บชัยเสียมากกว่า(ซะอย่างนั้น ฮิๆๆๆ) ซึ่งหากจะว่ากันตามเนื้อผ้า หรือ หน้ากระดาษแล้ว อาเซนอล ของ อาแซน เวนเกอร์ ก็ยังดูดี มีภาษีกว่า ผู้มาเยือนจากฝั่ง อีสแลนด์ อยู่พอสมควร ทั้งในแง่ของ ฟอร์มการเล่นที่ช่วงหลังมีความสม่ำเสมอมากกว่า หรือ จะเป็นความได้เปรียบในการเล่นต่อหน้าแฟนบอลภายใต้ชายคา เอมิเรตส์ สเตเดียม ถิ่นของพวกเค้าเองก็ตาม


และแน่นอน หากหยิบ 3 คะแนนเพียวๆได้จากเกมนัดนี้ โอกาสที่ "เดอะ กันเนอร์ส" จะการันตีพื้นที่ UCL ด้วยการเป็นทีมอันดับสุดท้ายในโควตา(อันดับ4)ก็น่าจะสดใสคลายกังวลขึ้นมาอีกนิ๊ดส์ เนื่องจากคู่แข่งที่หายใจรดต้นคอมาติดๆอย่าง แอสตัน วิลล่า เริ่มทำตัวเป็นชาวประมง(ออกทะเล)อยู่บ่อยครั้งใน 4-5 นัดหลัง มิหนำซ้ำสุดสัปดาห์นี้ "สิงห์ผงาด" ยังต้องมีคิวยกพลไปเยือนว่าที่ทีม แชมป์(รึเปล่า) อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง โรงละครแห่ง คุณมีน และ ชิจัง เฮ้ยยย!!! ความฝันอีกต่างหาก (หึๆๆๆ)


ใน ขณะเดียวกัน "เรือใบสีฟ้า" ของ มาร์ค ฮิวจ์ ที่กำลังอยู่ในช่วงพักจิบน้ำกลั้วคอ ลงสมอปักหลักอยู่ใจกลางมหาสมุทร เอ๊ยยย... กลางตาราง มาพักใหญ่ๆแล้ว ผลงานยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ อีกทั้งโอกาสที่จะทำอันดับไปเล่น ยูฟ่า คัพ ในปีหน้าก็ดูเหมือนว่าจะเหลือน้อยลงทุกขณะจิต แม้หากวัดกันตามภาคทฤษฏีล้วนๆแล้ว ความเป็นไปได้จะยังพอมีอยู่บ้างก็เต๊อะ


ซิตี้ เก็บได้ทั้งหมด 38 คะแนน จาก 30 นัด ตามหลัง ทีมอันดับ 7 อย่าง วีแกน ที่มี 41 คะแนน ด้วยผลต่างเพียง 3 แต้ม เท่านั้นนะครับ ซึ่งโอกาสในการยื้อแย่งอันดับ 7 ยังคงเปิดกว้าง (อย่าลืมนับรวมทีมอย่าง เวสแฮม 41 , ฟูแล่ม 40, และ สเปอร์ส 38 ด้วยล่ะ)


*ในกรณีนี้ผมเว้นพื้นที่ว่างไว้ให้ทีมอันดับ 6 และ 7 ด้วย เพราะค่อนข้างมั่นใจว่า ทีมที่จะคว้าถ้วย FA Cup มานอนกอดในท้ายที่สุดแล้ว คงหนีไม่พ้นสมาชิกของกลุ่ม Big 4 ไม่ทีมใดก็ทีมหนึ่ง เหมือนดั่งที่เราเห็นกันจนชินตาในรอบหลายๆปีที่ผ่านมา ...ตีความหมายได้ว่าถึงอย่างไรก็ตามแต่นั้น 4 อรหันต์ มีอันต้องสละสิทธิอันพึงควรจากถ้วยใบเล็ก เพื่อลงโม่แข้งในสังเวียนที่ใหญ่กว่าอย่าง UEFA Champions League แหงแซะอยู่แล้นนน (จะลดชั้นลงมาเล่น ยูเอฟ่า คัพ ทำไม??? ไร้เหตุผลสิ้นดี!!!) ส่วนทีมที่อยู่ในข่ายว่าจะได้ส่วนบุญกุศลนี้ไปเต็มๆ ก็คือทีมที่มีอันดับป้วนเปี้ยนอยู่ในละแวกแรงค์ 6-7 นั่นปะไร


น่าสนใจนะครับว่า น้า "สปากี้" จะมีแนวทางการสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนผู้เล่นอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะมุ่งโฟกัสไปที่ถ้วยใบหลักอย่าง UEFA Cup ที่ทีมยังคงอยู่บนเส้นทางการลุ้นแชมป์เต็มตัว??? หรือแบ่งรับแบ่งสู้ เน้นทำคะแนนไต่อันดับบนตารางเพื่อสิทธิต่อการกลับมาชิงชัยในรายการนี้อีกคำรบ???


ซึ่งหากถ้าเป็นอย่างหลังแล้วมันก็น่าติดตามอยู่ไม่น้อยว่า อดีตกุนซือ แบล๊คเบิร์น โรเวอร์ส จะเลือกจัดทัพอย่างไรในเกมคืนวันเสาร์นี้ ภายใต้เงื่อนไขที่มี นักเตะคนสำคัญหลายต่อหลายรายเพิ่งเดินทางกลับมาสมทบหลังเกมส์ทีมชาติไม่นาน อาการล้าย่อมมีให้เห็นแน่ อีกทั้งยังมีแมตช์สำคัญกับ ฮัมบูร์ก รออยู่กลางสัปดาห์ถัดไป หากเกมกับ อาเซนอล ใส่กันไม่ยั้งและ ซิตี้ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา อาการช๊อตอาจถามหา และพลอยส่งผลกระทบไปถึงเกมนัดหน้าก็เป็นได้


อย่างไรก็ดี คาดว่า มาร์ค ฮิวจ์ คงไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะลำพังจะให้จัดผู้เล่นชุด ตัวจริง คละกับ ตัวปลอม เอ๊ยยย ทัพสำรอง ลงโม่แข้งกับ "ปืนโต" ณ เวลานี้ คงไม่ใช่ไอเดียที่บรรเจิดสักเท่าไหร่ อย่างที่เราทราบๆกันล่ะครับว่า ทีมรีเสิร์ฟ ของ เรือใบ นั้น ระดับคุณภาพฝีเท้ายังห่างชั้นกับบรรดานักเตะ 11 คนแรกอยู่หลายช่วงตัว


หากท่านๆจะยังพอจำกันได้ กับภาพแห่งความหลังที่ "เดอะ ซิติเซ่นส์" ไล่ยำ "ไอ้ปืนใหญ่"(ของผู้เขียน) เวอร์ชั่น:"เมิงจะเจ็บกันไปถึงหนายยย" ในนัดแรกของฤดูกาลที่เจอะเจอกัน(3-0) โฉมหน้าของเกมอาจเกิดขึ้นในทำนองนั้นอีกครั้ง หากแต่สลับขั้วกลายเป็นทางฝั่งทีมเจ้าบ้านที่เป็นฝ่ายไล่บี้จนได้ผลการแข่งขันตามต้องการบ้าง การวางตัวผู้เล่นแบบ ลูกผสม จึงอาจดูเป็นการเสี่ยงไปสักหน่อยสำหรับเกมที่ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเช่นนี้


ฮิๆๆๆ...ยิ่งเขียนยิ่งเครียดนะครับ(เครียดเพราะไม่รู้จะเขียนอะไรต่อดี555+)


บอกกันตามตรง หากจะนำเสนอมุมมอง(แบบลำเอียงๆ)ในฐานะ แฟนบอล อาเซน่อล คนหนึ่งแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกกังวลใจสักเท่าไหร่นัก และเชื่อมั่นว่า "เดอะ กันเนอร์ส" จะสามารถผ่าน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไรมากมาย ผมยังมั่นใจลึกๆด้วยว่า การเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ขาดของ อังเดร อาร์ชาวิน พ่วงด้วยการกลับมามีบทบาทในแดนกลางอีกครั้งของ มิดฟิลด์กัปตันทีม อย่าง เชส ฟาเบรกาส จะทำให้งานของ ซิตี้ ยากขึ้นเป็นกอง

ในขณะเดียวกันผมยังมองไม่เห็นโอกาสที่ "ซูปเปอร์สตาร์ ลูกหนัง" อย่าง โรบินโย่(กับฟอร์มบู่ๆแบบนี้) จะสร้างความหนักอกหนักใจให้ ฟูลแบ๊ค ที่เล่นได้สม่ำเสมออย่าง บาการี่ ซานย่า หรือ กาเอล กลิชี่ ได้อย่างไร(แม้ บินโญ่ เองจะเคยยิงลูกเหนือชั้น ผ่านมือ มานูเอล อัลมูเนีย ให้เกิดอาการ เสียหมา มาก่อนหน้าแล้วก็ตามที) ...มันอาจฟังดูเหมือนการคุยโม้โอ้อวดไปสักนิด รูปโฉมของเกมที่ผมคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ 1 อาทิตย์ คงไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงมากนัก หากวันนี้ ดาวเตะบราซิลเลี่ยน ไม่ชิงเจ็บไปเสียก่อน และคนที่มารับเผือกร้อนได้ทันท่วงที ดั๊นนน มีนามว่า...


...มาร์ติน เปตรอฟ...

นักเตะสไตล์อย่าง ปีก บัลแกเรียน นี่ละครับที่ทีมอย่าง อาเซนอล มักไม่ถูกโรคด้วย(จริงๆ) กับคุณสมบัติที่อาจพูดได้ว่าแทบจะสมบูรญ์แบบสำหรับผู้เล่นในตำแหน่งริมเส้น ทั้งเร็ว... ถึก... คึกคะนอง... เปิดบอลแม่น... ยิงหนัก... ทุ่มเทเกินร้อย และมี Passion ไปกับเกมส์ในทุกๆครั้งที่สตั๊ดแตะผืนหญ้า


ผมเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกชื่นชมทัศนะคติต่อเกมของ ดาวเตะเหม่งจ๋าย รายนี้เป็นอย่างมาก เห็น เปตรอฟ ควบห้อเมื่อไหร่ หรือ ตะบันบอลหนักๆเต็มข้อระยะไกล แล้วมันรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูกครับ(ซาดิสม์ 555+)

ปีกซ้ายผ่านตลอด รายนี้ถือเป็นผู้เล่นคนสำคัญของ ซิตี้ มาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในยุคของ สเวนนิส หรือ มาร์ค ฮิวจ์ ...เปตรอฟ เองก็มักทำผลงานได้อย่างเสม่ำเสมออยู่ในข่ายที่น่าพอใจ จะรู้สึกเสียดายก็ตรงที่ เจ้าตัวมักพกพาเอาอาการบาดเจ็บติดตัวไว้เป็นนิจ(ไม่แน่ใจว่าถือโชคลางหรือเปล่า... เง้อออ) ด้วยเหตุนี้โอกาสในการลงสนามจึงมีค่อนข้างจำกัด และนั่นส่งผลกระทบโดยตรงต่อฟอร์มการเล่น ของ เรือใบสีฟ้า มาจนบัดนาว...


พรีเมียร์ ลีก คู่ Saturday Night ที่กำลังจะมาถึงในช่วงไม่กี่อึดใจหลังจากนี้ ถือเป็นการเปิดฉากต้อนรับการกลับมาของ 2 สตาร์ ผู้ซึ่งสามารถจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า และแนวทางการเล่นของทั้ง 2 ฝ่ายอย่างแท้จริง แม้อาจคาดหวังให้โชว์ฟอร์มได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนดั่งในช่วงที่มีสภาพร่างกายฟิตสมบูรญ์เต็มร้อยไม่ได้ แต่อย่างน้อยคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า การหวนคืนสู่สังเวียนหญ้าของดาวดังทั้ง 2 คนนี้ คือแรงจูงใจชั้นดีต่อการปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมให้กลับมาหึกเหิมได้


ช่างบังเอิญ และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งนะครับที่ โรบิญโย่ เกิดประสบปัญหาได้รับบาดเจ็บกลับมาในเกมทีมชาติระหว่าง บราซิล – เปรู ในช่วงเช้าตรู่วัน พฤหัสบดีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นคงมีโอกาสได้ยลการวางหมากของ มาร์ค ฮิวจ์ ว่าจะปรับทัพอย่างไรให้ 2 ดาวเตะคนสำคัญสามารถเล่นร่วมกันได้อย่างกลมกลืน และจะเป็นผลดีต่อทีมขนาดไหน??? หากไม่เวิร์คจะตัดสินใจดรอปใคร???(รึเปล่า???)


ซึ่งเราคงยังหาคำตอบไม่ได้ทันท่วงทีภายในคืนวันเสาร์นี้ครับ...(เพราะ โรบิญโย่ ยังไม่น่าจะพร้อมลงเล่น)


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น "การคืนสู่เหย้า ของ ผู้ทรงอิทธิพลในระบบ"(การเล่น) อย่าง มาร์ติน เปตรอฟ จะทำให้งานของ เดอะ กันเนอร์ส ยากขึ้นอีกเป็นกองแหงๆ (เด็กปืน)รับรองให้(เอง)ได้เล้ยยย


River.