ประตูล่าสุดของเจ้าตัวเป็นลูกที่ 5 เข้าไปแล้ว แบ่งเป็น 3 เม็ดในลีก, 1 เม็ดเกมแคปปิตอล วัน คัพ และล่าสุดเกมแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อวันพุธอีก 1 เม็ด แถมการแอสซิสต์ให้อีก 4 ดอกส์ จากการลงสนาม 9 นัด แน่นอนผลงานของเขากลบเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา ที่ค่อนขอดเรื่องค่าตัวที่แพงเกินไปหรือเปล่ากับแข้งที่เคยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองเพียงน้อยนิดในเวทีพรีเมียร์ลีก เสียงนกเสียงกาพวกนั้นหายวับไปประหนึ่งการกดของเสียที่อยู่ในโถส้วมแล้วถูกดูดกลืนหายไป นี่แค่ 9 เกมเองนะครับยังเล่นได้ดีขนาดนี้ ขืนเล่นดีต่อเนื่องคงจะเข้าขั้นคำว่า "สยดสยอง" อย่างแน่นอน

 
         การมาของ เดอ บรอยน์ ถือว่าเป็นการยกระดับให้เกมรุกของ ซิตี้ มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เขามีความหลากหลายอยู่ในตัว ไม่ใช่จะเทพแอสซิสต์เพียงอย่างเดียว หากแต่ว่า เขาเป็นคนที่จบสกอร์ที่แม่นยำเด็ดขาดอีกหน่อหนึ่ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยิงเข้ากรอบเฉพาะเกมลีกอยู่ที่ 61.54 % รวมถึงลูกยิงยากๆ ก็ทำได้เช่นกัน มาอยู่กับทีมปุ๊บลงล็อคปั๊บไม่ต้องปรับตัวอะไรกันมากทั้งแท็กติก การประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมใหม่ หรือแม้กระทั่งการปรับตัวให้เข้ากับดินแดนที่มีเกมฟุตบอลที่หนักหน่วง รวดเร็ว รุนแรง อันตราย ฯลฯ ซึ่งอดีตแข้งของ เชลซี ที่ลงเล่นไป 9 เกม 391 นาทีรวมทุกรายการ เมื่อปี 2013 ก็ลงเล่นได้อย่างไม่ขัดเขินอะไรแถมดันทะลึ่งทำผลงานได้อย่างแจ่มอีกต่างหาก

 
         เขานี่แหละ "เกมชาร์จเจอร์" ที่จะมาครั่นครามให้บรรดาเกมรับอีก 19 ทีมในพรีเมียร์ลีกและทีมจากทั่วยุโรปได้หวาดผวากัน

         สมัยอยู่กับ เชลซี เจ้าตัวไม่ค่อยได้รับโอกาสลงมาปล่อยของบนฟลอร์หญ้าของ "เดอะ บริดจ์" ซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่ตอนนั้นเห็นว่าเจ้าเด็กน้อยหัวทองมันน่าจะมีอะไรดีเลยไปสอยมาจาก เคอาร์ซี เกงค์ สโมสรในศึก จูปิแลร์ โปร ลีก เบลเยียม ซึ่งเขาแจ้งเกิดกับชุดใหญ่ในวัย 17 ขวบเท่านั้น แถมการรับใช้ต้นสังกัดดังกล่าว เดอ บรอยน์ ซัดไป 17 ดอกส์ แอสซิสต์ 36 ประตู พาทีมคว้าแชมป์ เบลเจี้ยน โปรลีก 2010-11, เบลเจี้ยน คัพ 2008-09 และ เบลเจี้ยน ซุปเปอร์คัพ 2011ก่อนเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋ามาตามล่าฝันในลีกผู้ดี

 
         แต่มันก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่วาดเอาไว้ หลังจากดีลดัน เชลซี ซื้อแล้วให้ เกงค์ ยืมใช้งานจนจบซีซั่น 2011-12 พอได้มา สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ถูกปล่อยให้ แวร์เดอร์ เบรเมน เอาไปใช้งาน 1 ฤดูกาลเต็มๆอีก กว่าจะได้กลับมารับใช้สโมสรจริงๆก็ล่อไปกลางปี 2013 แต่การย้ายก้นขาวๆ ไปเล่นให้ "นกนางนวล" ก็ทำให้เจ้าตัวเริ่มฉายแสงแล้วว่า ข้าก็มีของนะโว้ย ไม่ใช่ไก่กาอาราเล่อะไร! หลังกดไป 10 ประตู 10 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 34 เกม ทำให้ เฟาเอฟแอล โวล์ฟสบวร์ก ยอมทุ่มเงิน 18 ล้านปอนด์ ให้ เดอ บรอยน์ ไปวิ่งเล่นที่ โฟล์คสวาเก้น อารีน่า

         หลังมาเป็นสมาชิกของ เฟาเอฟแอล โวล์ฟสบวร์ก ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดของเขาอย่างเต็มสูบ เพราะในฤดูกาลที่สองเจ้าตัวแสดงศักยภาพออกมาให้ชาวโลกเห็นและแฟนๆ สิงโตน้ำเงินครามบางส่วนบ่นอุบเสียดายเพชรที่อยู่กับทีมแล้วแท้ๆ แต่กลับปล่อยทิ้งออกไปซะอย่างนั้น ซึ่งซีซั่นที่สองนี่เองกับผลงานพาต้นสังกัดไปถึง รองแชมป์บุนเดสลีกา และแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล โดยทำไป 16 ประตู กับอีก 28 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 51 นัดทุกรายการ แถมยังได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมันปี 2015 และเป็นผู้เล่นเบลเยียมคนแรกอีกด้วย

         ทันใดนั้น แมนฯซิตี้ ไม่รอช้า กระชากคอไอ้หนุ่มวัย 24 กะรัตผู้นี้มาขึ้นเรือใบลำใหญ่ทันที

         ที่เขาตัดสินใจกลับมาอังกฤษ เพื่ออยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าเขาสามารถลงเล่นในลีกที่มีเสน่ห์แห่งนี้ได้ และต้องประสบผลสำเร็จ ไม่รู้ว่าจะเป็นการตอกหน้า เชลซี ที่ไม่เห็นคุณค่าของเขาด้วยหรือเปล่า

         แฟนๆ ซิตี้ เซนส์ น่าจะเริ่มคิดกันแล้วว่า ซีซั่นนี้ทีมรักของพวกเขาคงไม่มือเปล่าเป็นแน่ ถ้าหาก เดอ บรอยน์ ยังคงความเจ๋งเอาไว้ได้จนมีส่วนพาทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ใดแชมป์หนึ่งหรืออาจจะมากกว่า

         ถ้าทำได้ถือว่าเป็น "การเกิดใหม่" อีกครั้งในดินแดนผู้ดีของ "เควิน เดอ บรอยน์" ได้อย่างเพอร์เฟกต์ที่สุด

 
    มิเนียเซอิส

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////