ทีมปืนใหญ่ออกอาการ ''รวน'' ไปเหมือนกันตอนโดน ยาย่า ตูเร่ ยิงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นช่วงสิบนาทีสุดท้ายที่แฟนบอลยืนลุ้นกันตัวเกร็งอยู่นานก่อนเป่าปากโล่งในท้ายที่สุด

        การปิดเกมที่ยังไม่เนี้ยบคือปัญหาที่ชัดเจนที่สุดของอาร์เซน่อลในเกมนี้ หลายต่อหลายครั้งมีโอกาสฝังแมนฯ ซิตี้เป็น 3-0 หรือ 4-0 แต่ก็ใช้โอกาสที่มีอย่างเสียของ

        ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับครึ่งแรกที่มีโอกาสเพียง 2 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง และเป็น 2 ประตูของ ธีโอ วัลค็อตต์ และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์

        ทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ มักมีปัญหาในลักษณะนี้ เกมนี้รอดตัว แต่หากสมมุติว่าโดนตีเสมอ 2-2 หรือแย่ถึงขั้นแพ้ไปเลย สิ่งที่เสียไปจะไม่ใช่แค่ 2 หรือ 3 คะแนน แต่ความมั่นใจจะหดหายไปด้วย และแน่นอนว่าจะส่งผลถึงเกมต่อๆ ไปอีกต่างหาก

        ช่วงท้ายเกมที่หวุดหวิดจวนเจียนเหมือนเป็นภาพสะท้อนการยืนระยะลุ้นแชมป์ของอาร์เซน่อลในหลายฤดูกาลที่ผ่านมา

        เริ่มต้นสวย ทรงบอลดี มีคะแนนตามเป้า แต่พอพลาดสักนัดสองนัดบวกเข้ากับอาการบาดเจ็บของตัวหลักก็ออกทะเลและหลุดวงโคจรลุ้นแชมป์ก่อนจบฤดูกาล

        ดังนั้น การจบด้วย 3 คะแนนจึงนับว่าสำคัญอย่างยิ่งต่ออาร์เซน่อล เพราะนี่คือเกมใหญ่ที่เจอเต็งหนึ่งในการลุ้นแชมป์ เป็นเกมที่เรียกว่า ''ไป-กลับ 6 คะแนน'' ที่ส่งผลต่ออันดับในตารางอย่างแท้จริง

        ชัยชนะของปืนใหญ่ทำให้ร้านพูลถูกกฎหมายในอังกฤษปรับอัตราต่อรองการลุ้นแชมป์กันใหม่ โดยยกให้ลูกน้องของเวนเกอร์ขึ้นมาเป็นเต็งหนึ่งแทนเรือใบ ส่วนเลสเตอร์ยังเป็นเต็ง 3 แม้รั้งจ่าฝูงก่อนเข้าสู่ช่วงโปรแกรมหนักบ็อกซิ่ง เดย์

        นอกจากการปิดเกมไม่สนิทแล้ว ปัญหาอื่นและเป็นปัญหาเดิมๆ ของอาร์เซน่อลคือ อาการบาดเจ็บของผู้เล่น

        อันที่จริงเกมนี้ อเล็กซิส ซานเชซ น่าจะหายเจ็บกลับมามีชื่อในทีม แต่หายหัวไปเลยไม่มีทั้งไลน์อัพแรกและสำรอง

        เวนเกอร์บอกหลังเกมว่า ดาวเตะทีมชาติชิลีเจ็บซ้ำระหว่างเร่งความฟิตทำให้ต้องพักยาวไปจนถึงกลางเดือนมกราคม นั่นหมายความว่าไม่สามารถช่วยทีมได้ในช่วงโปรแกรมโหด 3 นัดใน 8 วันที่กำลังมาถึง

        เจ็บซ้อนเจ็บคือเรื่องซ้ำซากของอาร์เซน่อล เพราะก่อนหน้านี้่ไม่กี่วันเพิ่งมีข่าวออกมาว่าทั้ง แดนนี่ เวลเบ็ค และ ซานติ กาซอร์ล่า จะหายไม่ทันตามกำหนดที่คาดกันไว้ที่แล้ว

        การขาดหายไปของตัวหลักส่งผลในเกมนี้ตรงที่ขุมกำลังสำรองที่เวนเกอร์ส่งลงมา ไม่ว่าจะเป็น คีแรน กิ๊บบ์ส, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ คาลั่ม แชมเบอร์ส ทำให้การต่อบอลของอาร์เซน่อล ''ดร็อป'' ลงไปพอสมควร

        แค่เปลี่ยนจาก เมซุต โอซิล มาเป็นแชมเบอร์เลน ก็ต่างกันสุดขั้วแล้ว โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นตอนนี้

        โอซิลคือทุกสิ่งทุกอย่างในเกมรุกของทีมอย่างแท้จริง เกมนี้มีอีก 2 แอสซิสต์ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 15 ตามหลังสถิติสูงสุดของ เธียร์รี่ อองรี เพียง 5 แอสซิสต์

        โอกาสสร้างสถิติใหม่ของโอซิลมีสูงมากเพราะฤดูกาลนี้ยังเหลือเกมให้ลงเล่นถึง 21 นัด สถิติในตอนนี้เกือบๆ จะเป็น ''หนึ่งนัดหนึ่งแอสซิสต์'' อยู่แล้ว

        ดาวเตะทีมชาติเยอรมนีเล่นบอลง่ายแต่ทรงประสิทธิภาพ ต่างจากนักเตะอังกฤษ รวมไปถึง อารอน แรมซี่ย์ ที่มักเล่นยากแบบไม่จำเป็น

        เวนเกอร์ได้แต่ภาวนาไม่ให้ผู้เล่นเจ็บเพิ่มไปมากกว่านี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าขุมกำลังสำรองที่เหลือซึ่งช่วงหลังหมดทางเลือกจนต้องใส่ชื่อเด็กวัย 17 อย่าง เจฟฟ์ เรเน่-แอดิเลด ไว้ข้างสนามด้วย ยังทดแทนตัวจริงไม่ได้

        ถ้าลองมองย้อนกลับไปสักหนึ่งเดือนที่แล้ว ไม่มีใครคิดแน่ว่านักเตะอย่าง มาติเยอ ฟลามินี่ และ โจเอล แคมป์เบลล์ จะลงได้ลงตัวจริงต่อเนื่องและแบกความหวังของทีมเอาไว้เหมือนที่เป็นในตอนนี้ และคงอีกหลายนัดนับจากนี้

        แคมป์เบลล์ดีขึ้นเมื่อได้ลงเล่นต่อเนื่อง ส่วนฟลามินี่ก็ ''ได้เท่าที่มี'' แต่ชั่วโมงนี้ยังไงก็ต้องลงโดยเฉพาะรายหลังที่ออปชั่นอื่นในการตัดเกมแดนกลางไม่มีแล้ว

        สิ่งที่เวนเกอร์ทำได้ในตอนนี้คือประคับประคองทีมในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ตัวหลักกลับมา หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างในช่วงตลาดเปิดเดือนหน้า

        อันดับในตารางตอนนี้ถือว่าเข้าทางแล้ว มีเพียงเลสเตอร์ที่ขวางหน้า เทียบประสบการณ์ลุ้นแชมป์ปืนใหญ่เหนือกว่าเยอะ รอลุ้นแค่ว่าปรากฏการณ์จิ้งจอกผยองเดชจะสิ้นสุดตอนไหน

        และเมื่อเทียบกับแมนฯ ซิตี้แล้ว ทิศทางของเรือใบดูจะน่าห่วงมากกว่า

        ตอนจัดตัวแมนฯ ซิตี้มีข่าวดีกว่าอาร์เซน่อลด้วยซ้ำ ตรงที่ได้ เซร์คิโอ อเกวโร่ หายเจ็บกลับมาเป็นตัวจริง และการจัดตัวของเปเยกรีนี่ก็เหมือนให้ ดาบิด ซิลบา ขยับสูงไปเล่นหน้าคู่ด้วย และอัดแดนกลาง 4 คนเรียงหน้ากัน

        ยาย่า ตูเร่ กับ แฟร์นันดินโญ่ ปักหลักตรงกลาง ด้านข้างเป็น เควิน เดอ บรอยน์ กับ ฟาเบียน เดลฟ์ ที่ถูกเลือกก่อนหน้า ราฮีม สเตอร์ลิง เพราะช่วยแดนกลางได้ดีกว่า  

        ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกเกมของผู้มาเยือนดีกว่าเจ้าถิ่นชัดเจน ทั้งการครองบอล การวิ่งหาพื้นที่ และโอกาสทำประตู ทว่าไม่สามารถชิงขึ้นนำไปก่อน

        โอกาสมีเพียบแต่ทำไม่ได้ ตรงกันข้ามกับโอกาสแรกของอาร์เซน่อลที่เป็นประตูทันที

        โดนเข้าไปแบบนี้โฉมหน้าของเกมเปลี่ยนไปเลย และหงายหลังอีกครั้งเมื่อโอซิลจ่ายให้ชิรูด์กดมุมแคบเป็น 2-0 ในครึ่งแรก  

        การกลับมาอีกครั้งของ ''กุน'' ช่วยทีมได้ระดับหนึ่ง แต่ด้วยสภาพที่ยังไม่เต็มร้อยและโดน โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ อัดน่วมหลายครั้ง ทำให้อยู่ในสนามเพียง 63 นาทีก่อนโดนถอดออก

        ช่วงปีสองปีหลังหัวหอกร่างตันมีปัญหาบาดเจ็บโดยตลอดและเล่นได้ไม่ต่อเนื่อง และฤดูกาลนี้ยังยิงประตูนอกบ้านไม่ได้เลย เพราะทั้ง 7 ประตูเกิดขึ้นที่เอติฮัด สเตเดี้ยมทั้งหมด

        เมื่อ ''กุน'' ยิงไม่ได้ ตัวรุกอื่นก็คาดหวังลำบาก ไม่ว่าจะเป็น ดาบิด ซิลบา หรือ เควิน เดอ บรอยน์ ที่มีโอกาสจะแจ้งยิงให้ทีมนำไม่กี่อึดใจก่อน ธีโอ วัลค็อตต์ จะซัดวาบจมตาข่าย

        หากไม่นับประตูเหนือเมฆของตูเร่แล้ว แมนฯ ซิตี้ยิงใครนอกบ้านไม่ได้เลยนับตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่พ่ายสเปอร์สยับ 1-4

        การเปลี่ยนตัวของเปเยกรีนี่ให้ผลลัพธ์คล้ายๆ กับเวนเกอร์ ตรงที่ไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้นแต่อย่างใด

        ราฮีม สเตอร์ลิง ไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นเลยว่า นี่คือนักเตะที่มีค่าตัว 44 ล้านปอนด์ เช่นเดียวกับการลงมาของ วิลฟรีด โบนี่ และ เฆซุส นาบาส ที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้พูดถึง

        กลายเป็นว่า ยาย่า ตูเร่ ต้องทำเองอยู่คนเดียว โดยในช่วง 15 นาทีสุดท้ายกองกลางไอวอรี่โคสต์สัมผัสบอลถึง 28 ครั้งจากทั้งหมด 109 ครั้งในเกมนี้ เทียบเป็นสัดส่วนคือเกิน 1 ใน 4

        หากเป็นช่วงพีกๆ สัก 2-3 ปีก่อน อาร์เซน่อลเจอปัญหาหนักแน่หากปล่อยให้ยาย่าได้เล่นขนาดนี้ แต่ไม่ใช่ในวัยและสภาพร่างกายที่โรยไปเยอะแบบนี้

        ทว่าปัญหาจริงๆ ของแมนฯ ซิตี้ไม่ใช่เกมรุกที่ขาดความเฉียบขาดและอาการปืนฝืดยามเล่นนอกบ้าน หากแต่เกมรับก็มีข้อผิดพลาดเต็มไปหมด

        ประตูแรกที่เสียต้องให้เครดิตวัลค็อตต์ที่แต่งหาจังหวะยิงเองสวยงาม แต่ประตูที่ 2 แมนฯ ซิตี้ต้องโทษตัวเองก่อนเลย เพราะเล่นพลาดจนนำไปสู่การเสียประตู

        เอเลียควิม ม็องกาล่า คือชื่อแรกที่ต้องถูก มานูเอล เปเยกรีนี่ ตำหนิก่อนใคร ปราการหลังเจ้าของค่าตัว 32 ล้านปอนด์จ่ายบอลจากจังหวะที่ไม่ได้ถูกกดดันอะไรมาก ไปเข้าเท้าผู้เล่นอาร์เซน่อลซึ่งรอดักโต้และใช้ความเร็วเล่นงานอยู่แล้ว

        ไม่ใช่แค่จังหวะเสียประตู แต่การเล่นโดยรวมของม็องกาล่าก็มีชอตวืดวาดให้เห็นเรื่อยๆ และก็ไม่ใช่แค่เกมนี้ แต่มีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายจากปอร์โต้มาเล่นให้แมนฯ ซิตี้เมื่อปี 2013

        ขณะเดียวกัน แนวรับอื่นทั้ง นิโกลัส โอตาเมนดี้, บาการี่ ซาญ่า และ อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ ก็ไม่ได้ช่วยให้ทีมเหนียวแน่นขึ้นแต่อย่างใด ตอนที่กล้องถ่ายทอดสดจับภาพ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ที่ทำได้เพียงตามมาเป็นผู้ชมบนอัฒจันทร์ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เกมรับคือเรื่องใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ในตอนนี้

        2 นัดหลังทัพเรือใบไม่เสียประตูแค่นัดเดียว คือเกมที่บุกเสมอแอสตัน วิลล่า 0-0 ซึ่งไม่ใช่เกมที่เอามาอ้างความดีความงามในเกมรับได้เลย

        ถึงตอนนี้แมนฯ ซิตี้ไม่ชนะใครนอกบ้านมา 5 นัดติดต่อกัน แต่ช่วงเวลาเดียวกันนี้เลสเตอร์เก็บชัยชนะได้ 4 นัด เสมอ 1 นัดยามเล่นนอกรังคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม

        อาร์เซน่อลมีปัญหา มีข้อผิดพลาด แต่แมนฯ ซิตี้มีมากกว่า และต้องยอมรับในความพ่ายแพ้ซึ่งทำให้การลุ้นแชมป์นับจากนี้ยากยิ่งขึ้นไปอีก

 เสือเตี้ย

เครดิตจาก http://www.siamsport.co.th/Column/151223_062.html