Members

คอลัมน์น่าสนใจ:: ของจริง/ของปลอม?



     พรีเมียร์ลีกเปิดตัวนัดแรกกันไปเรียบร้อยแล้วด้วยผลงานที่น่าแปลกใจสำหรับหลายๆ ทีมนะครับ
 


        โอเคบรรดาตัวเต็งต่างมีชัยกันถ้วนหน้า เต็งหนึ่งถึงเต็งสามทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี เก็บสามคะแนนได้หมด แต่ดูให้ลึกลงไปในรายละเอียดของเกมแล้วทั้งสามทีมชนะด้วยฟอร์มที่ไม่แตะมาตรฐานความคาดหวังของแฟนๆ เลย


        เชลซีพอเข้าใจได้เพราะเจอเวสต์แฮมจัดว่าเป็นงานหนัก เป็นทีมชั้นดี เป็นดาร์บี้แมตช์ แต่กับแมนฯ ยูไนเต็ดและแมนฯ ซิตี้ แฟนบอลของทั้งสองทีมน่าจะหนักใจพอสมควรนะครับกับผลงานที่โชว์ออกมาในสนาม มันยังไม่สะใจ ไม่สมใจ พูดง่ายๆ ว่าชนะไม่ประทับใจเท่าไหร่เมื่อเทียบกับความคาดหวังทั้งปวงที่มีก่อนเริ่มเกมอันสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสโมสร


        ได้ โชเซ่ มูรินโญ่ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือระดับท็อปของโลกฟุตบอลเข้ามาทำงานให้ ได้นักเตะชั้นนำมาเป็นขุมกำลัง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ปอล ป๊อกบา, เฮนริค มคิทาร์ยาน, อิลคาย กุนโดกัน, โนลิโต้, จอห์น สโตนส์, ลีรอย ซาเน่ ฯลฯ บางคนนี่ระดับเวิลด์คลาสแท้ๆ


        ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นแค่เกมเปิดตัว สามคะแนนสำคัญที่สุด สำคัญกว่าเล่นดีดุดันแต่ไม่ได้แต้มหรือมีแค่หนึ่งคะแนน ทว่าที่น่าอึดอัดก็คือในความเข้าใจนั้นทุกคนก็ยังพิศวงด้วยเช่นกันกับเกมรุกที่ฝืดเคือง ความปะติดปะต่อมีน้อย การประสานงานสวยๆ แทบไม่ได้เห็น ประตูที่ได้กลายเป็นจากความผิดพลาดของคู่แข่ง


        กระนั้นถ้าจะบอกว่าใครน่าผิดหวังมากกว่าคงต้องชี้ไปที่ทีมเรือใบสีฟ้า..


        เกมรุกไหลลื่นจากบอลสั้นทำชิ่งสวยงามหายไปเลย หายไปเหมือนไม่เคยเล่นฟุตบอลสไตล์นี้มาก่อน เท่าที่เห็นเป็นความสามารถเฉพาะตัวของขุนพลเรือใบเสียมาก มันก็น่าแปลกเพราะซิตี้มียีนฟุตบอลสไตล์ชิ่งสั้นรวดเร็วอยู่แต่กลับเล่นผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทั้งๆ ที่คนคุมทีมข้างสนามอย่างเป๊ปก็เป็นกุนซือที่ชื่นชอบวิธีการเล่นสไตล์นี้


        อดคิดไม่ได้ว่าเป๊ปมองไปไกลกว่านั้น เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร กำลังทดลองอะไร เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นจอมไอเดียมักออกแบบแนวทางการเล่นใหม่ๆ แหวกแนวออกมาเสมอ เอาแค่ฤดูกาลสุดท้ายกับบาเยิร์น มิวนิคที่ผ่านมา เขาใช้รูปแบบการเล่นหลากหลายละลานตา กองหน้าตัวเป้า กองหน้าคู่ กองหน้าสามคน หลังสาม หลังสี่ มิดฟิลด์ตัวรับหนึ่งคน มิดฟิลด์ตัวรับสองคน มิดฟิลด์ไดมอนด์ มิดฟิลด์เรียงแผงชิดเส้น กองกลางห้าคนเต็มพื้นที่ มิดฟิลด์ตัวรุกหลังสามหัวหอก เล่นแบบมีปีก เล่นแบบไม่มีปีก ฯลฯ


        เปรียบเทียบกับทีมที่เป็นแชมป์เหมือนกันอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ เคลาดิโอ รานิเอรี่ แทบไม่เปลี่ยนวิธีการเล่นเลย 4-4-2 ยืนพื้น กองหน้าสไตล์เบอร์ 10 เล่นกับเบอร์ 9 นักเตะตัวจริงทั้งสิบเอ็ดไม่เปลี่ยนนอกจากเจ็บหรือติดโทษแบน


        บางทีอาจเป็นเพราะเงื่อนไขไม่เหมือนกัน ที่บาเยิร์นเป๊ปทำตัวเหมือนผู้บรรลุโสดาบันทางฟุตบอลได้เนื่องจากคู่แข่งจริงๆ จังๆ มีแค่ทีมเดียวแถมยังอยู่ห่างจากทีมเสือใต้ของเขาร่วมสองช่วงตัว ในขณะที่เลสเตอร์คือม้านอกสายตาของแท้ เสือสิงห์กระทิงแรดควายป่าคชสารอสรพิษรายรอบตัว ขุมกำลังของทีมก็มีจำกัดไม่มีเวลามาทดลองอะไรใหม่ๆ หรอก


        ผมรู้สึกว่าเป๊ปกำลังจะบรรลุอีกแล้วในการทำงานที่แมนฯ ซิตี้ แค่เกมแรกเขาก็ทดลองใช้รูปแบบการเล่นที่แตกต่าง ฟูลแบ๊กกับตัวรุกริมเส้นไม่ได้เล่นด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็นแต่จะมีคนหนึ่งปักหลักอยู่ริมเส้นส่วนอีกคนหุบเข้ามาเล่นตรงกลาง ยามที่ทีมได้ครองบอลฟูลแบ๊กสองข้างทั้ง กาแอล กลิชี่ และ บาการี่ ซาญ่า ขยับเข้ามายืนเป็นเซนเตอร์ แฟร์นานดินโญ่เป็นมิดฟิลด์ตัวรับ จอห์น สโตนส์ กับ อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ คู่เซนเตอร์แบ๊กแซงขึ้นไปเป็นมิดฟิลด์ สนับสนุนตัวรุกทั้ง เควิน เดอ บรอยน์ และ ดาบิด ซิลบา มีริมเส้นประจำอยู่ทั้งโนลิโต้และราฮีม สเตอร์ลิง กองหน้าเป็นเซร์คิโอ อเกวโร่ มันคือระบบ 2-3-5 แบบโบราณชัดๆ


        มีความสะเปะสะปะอยู่บ้าง ความไหลลื่นไม่มีเลย แต่นี่เป็นการสื่อสารที่ตรงและทรงพลังของเป๊ป มันสมองของเขาทำงานแล้ว ฟันเฟืองเดินแล้ว รอแค่น้ำมันหล่อลื่นที่ชื่อความเข้าใจในสิ่งที่ผู้จัดการทีมต้องการ ถึงจุดๆ หนึ่งขุนพลของซิตี้จะต้องตอบสนองแท็คติกของเป๊ปได้ทุกรูปแบบ โค้ชแบบนี้ ทีมแบบนี้ ศักยภาพแบบนี้น่ากลัวมากในระยะยาว


        เชื่อว่าถ้าคู่แข่งของซิตี้ในเกมแรกเป็นทีมอื่นที่อันตรายกว่าซันเดอร์แลนด์ เป๊ปอาจมองเกมในอีกลักษณะหนึ่งและอาจไม่กำหนดให้ลูกทีมเล่นแบบนี้ 4-3-3 จะยังเป็น 4-3-3 บอลสั้นลื่นไหลจะเหมือนเดิม


        ด้วยความที่เป็นเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทุกคนจึงเผื่อใจไว้สำหรับอะไรที่แปลกๆ และขัดหูขัดตาอยู่แล้ว ก็เพราะเขาพิสูจน์ความแปลกของเขาด้วยแชมป์ 21 รายการใน 6 ปีที่ทำหน้าที่กุนซือให้บาร์เซโลน่าและบาเยิร์น มิวนิค


        มีคนบอกว่าพรีเมียร์ลีกจะเป็นบททดสอบสำคัญของเป๊ปเพราะที่บาร์ซ่ามีคู่แข่งแย่งแชมป์เพียงสองทีมคือเรอัล มาดริดกับแอตเลติโก มาดริด ที่บาเยิร์นมีคู่แข่งแค่ทีมเดียวหรือความจริงไม่มีเลยด้วยซ้ำ แต่ที่อังกฤษเขาจะเจอคู่ต่อสู้ในระดับลุ้นแชมป์ด้วยกันอย่างน้อย 3-4 ทีม


        เอาเข้าจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นหรือ สามสี่ทีมลุ้นแชมป์ที่ว่ากันคงไม่หนีไปจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส แถมลิเวอร์พูลให้อีกทีมเป็นห้าทีมด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับลา ลีกา แมนฯ ซิตี้-เชลซี-แมนฯ ยูฯ คงเป็น บาร์เซโลน่า-เรอัล มาดริด-แอต.มาดริด ส่วนอาร์เซน่อลไม่ได้แชมป์ลีกมาตั้งแต่ปี 2004 สเปอร์สกับลิเวอร์พูลไม่เคยเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย ถ้ายกเอาสถานะของสามทีมนี้ไปทาบกับทีมในลา ลีกาถ้าเราจะพูดว่าปืนใหญ่-ไก่เดือยทอง-หงส์แดง คือ บาเลนเซีย-เซบีย่า-บียาร์เรอัล ก็คงไม่น่าเกลียด ดีไม่ดีอาจจะด้อยกว่าด้วยซ้ำ ลีกไหนแข็งกว่าอ่อนกว่ากันแน่?


        ความยากของเป๊ปจึงไม่ใช่ประเด็นเรื่องจำนวนทีมที่แย่งแชมป์ด้วยกันเพราะเปรียบเทียบแล้วก็ไม่ได้หนีไปจากลา ลีกาเท่าไหร่ แต่อาจจะเป็นความพลิกผันของผลการแข่งขันทั่วลีกมากกว่า ด้วยคำพูดที่ว่าแชมป์ของลีกอื่นที่ไม่ใช่อังกฤษนั้นไล่ตบเด็กสบายแต่พรีเมียร์ลีกนั้นไม่ใช่ อธิบายให้พอเข้าใจก็คือมาตรฐานระหว่าง 20 ทีมไม่ได้ห่างกันมากนัก แมนฯ ซิตี้เตะกับซันเดอร์แลนด์มีโอกาสพลิกล็อกเสียแต้มมากกว่าบาร์เซโลน่าเจอกรานาด้าหรือบาเยิร์นเจออิงโกลสตัดท์


        คำถามเดิมนะครับ.. แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ


        ฤดูกาลที่แล้วเลสเตอร์เป็นแชมป์โดยแพ้แค่ 3 หน เป็นการแพ้อาร์เซน่อลรองแชมป์แบบไปกลับและอีกนัดแพ้ลิเวอร์พูลอันดับแปดที่แอนฟิลด์ เท่ากับแชมป์อังกฤษแทบไม่ได้ทำแต้มหลุดมือเลยในการเจอกับทีมนอกกลุ่มพื้นที่ยุโรป ในขณะที่บาร์เซโลน่าแชมป์สเปนแพ้ 5 เกมโดยในจำนวนนี้มีแพ้ เรอัล โซเซียดาดอันดับเก้า แพ้บาเลนเซียอันดับสิบสอง ยูเวนตุสแชมป์อิตาลียิ่งแล้วใหญ่ทั้งซีซั่นแพ้ 5 นัดซึ่งมีเกมที่แพ้เวโรน่าทีมตกชั้น แพ้อูดิเนเซ่อันดับสิบเจ็ด แพ้ซาสซูโอโล่อันดับหก


        กลายเป็นว่ายักษ์ใหญ่ในลีกอื่นเขาไล่ตบเด็กกันสนุกอย่างที่พูดกันมันอาจไม่ใช่เสียแล้ว ลองย้อนไปดูเมื่อสองฤดูกาลก่อนดูบ้าง เชลซีแชมป์อังกฤษแพ้สามเกม สองในสามเป็นการปราชัยเวสต์บรอมวิชอันดับ 13 และนิวคาสเซิ่ลอันดับ 15 นี่ถือว่าเข้าข่ายแต่ในลีกอื่นทั้งสามเกมที่ยูเวนตุสแพ้ในฤดูกาล 2014-15 เป็นการแพ้ต่อทีมนอกพื้นที่ยุโรปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเจนัวอันดับ 6 โตริโน่อันดับ 9 หรือปาร์ม่าทีมบ๊วย บาร์เซโลน่าก็เหมือนกันแพ้ทั้งเซลต้า บีโก้อันดับ 8 มาลาก้าอันดับ 9 เรอัล โซเซียดาดอันดับ 12


        ย้อนกลับขึ้นไปอีกสักฤดูกาล แมนฯ ซิตี้แชมป์อังกฤษในซีซั่น 2013-14 แพ้ 6 นัดแยกเป็นแพ้เชลซีอันดับสามแบบไปกลับ แพ้ลิเวอร์พูลรองแชมป์ แพ้ซันเดอร์แลนด์อันดับ 14 แอสตัน วิลล่าอันดับ 15 และคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ทีมบ๊วย แต่ในขณะเดียวกัน แอตเลติโก้ มาดริด แชมป์สเปนแพ้ 4 นัดโดยทั้งหมดเป็นการแพ้ต่อทีมที่จบซีซั่นด้วยเลขสองหลัก เลบันเต้อันดับ 10 เอสปันญ่อลอันดับ 14 อัลเมเรียอันดับ 17 โอซาซูน่าอันดับ 18


        สรุปว่าลีกไหนกันแน่ที่ยากกว่ากัน? ลีกอื่นๆ ที่ว่าตบเด็กเป็นประจำเห็นจะหมายถึงเยอรมันแค่ที่เดียวเพราะสามฤดูกาลหลังสุดบาเยิร์นเป็นแชมป์เรียบวุธแพ้รวมกัน 9 นัด เป็นการแพ้ทีมนอกกลุ่มพื้นที่ยุโรป (อันดับ 1-6) แค่ 2 ครั้ง คิดเป็น 22.22% เท่านั้นเอง


        อังกฤษต่างหากที่อยู่ถัดมาจากลีกตบเด็ก แชมป์อังกฤษ 3 ฤดูกาลหลังสุดแพ้รวมกัน 12 ครั้ง (เลสเตอร์ 3 เชลซี 3 แมนฯ ซิตี้ 6) แต่แพ้ทีมนอกกลุ่มพื้นที่ยุโรป (อันดับ 1-5) อยู่ 6 ครั้ง คิดเป็น 50%


        อิตาลีตามมาเป็นอับดับสาม แชมป์เมืองมะกะโรนีแพ้ทีมนอกกลุ่มพื้นที่ยุโรป (อันดับ 1-5) ถึง 6 จาก 10 ครั้ง คิดเป็น 60% พูดง่ายๆ ว่าลีกกัลโช่ฯ ยากกว่าพรีเมียร์ลีกนะครับถ้าดูเฉพาะสถิติตรงนี้ และที่โหดหินที่สุดคือสเปน แชมป์ลา ลีกาสามซีซั่นหลังแพ้รวมกัน 13 ครั้งเป็นการแพ้ทีมในพื้นที่ยุโรป (อันดับ 1-5) แค่ 3 ครั้ง ที่เหลืออีก 10 หนแพ้ทีมระดับกลางๆ ลงไปถึงล่างทั้งสิ้น คิดเป็นสัดส่วนถึง 77%


        เป๊ปนั้นผ่านมาแล้วทั้งลีกที่เปอร์เซนต์พลิกล็อกระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็กมากที่สุด (สเปน) และน้อยที่สุด (เยอรมัน) เพราะฉะนั้นอย่าพูดอีกเลยว่าเขาจะได้เจอของจริงสักทีที่พรีเมียร์ลีก พูดอย่างนี้เหมือนกับพรีเมียร์ลีกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของโลกฟุตบอลอย่างนั้นแหละ เป๊ปผ่านลีกที่หินกว่าอังกฤษมาแล้วครับอันนี้ว่ากันตามสถิติเลย ชีวิตในพรีเมียร์ลีกก็เป็นความท้าทายครั้งใหม่เท่านั้น ไม่ใช่เวทีพิสูจน์ฝีไม้ลายมืออย่างที่ถูกบางคนปรามาส


        พรีเมียร์ลีกที่ว่าโหดที่สุด หินที่สุด พลิกผันมากที่สุด ความห่างใกล้เคียงกันที่สุด ใครเป็นคนพูดกันแน่ คนสเปน คนอิตาลี คนเยอรมัน หรือสื่ออังกฤษเขาคุยของเขากันเอง


        ลีกอังกฤษคาดเดายากน่ะใช่เพราะแชมป์ลีกสี่ปีหลังสุดไม่ซ้ำหน้ากันเลย แต่พวกเขาไม่อาจประกาศตัวได้ว่าจะเป็นลีกที่ทดสอบความเป็นของจริงสำหรับใครต่อใครหรอก มันมียากมีง่ายมีเงื่อนไขน้อยใหญ่กันทุกลีก จะเป็นแชมป์ที่ไหนมันก็การันตีว่าของจริงทั้งนั้นไม่เห็นต้องยกว่าเอ็งต้องมาผ่านลีกของข้าก่อนข้าถึงจะยอมรับ


        เป๊ปคงจะสนใจคำพูดเหล่านี้หรอกนะครับ เขาก็แค่ทำงานของเขาไป ออกแบบฟุตบอลในจินตนาการของเขา ปรับแต่งไปตามขุมกำลังที่มีให้ใช้ในมือ อาจจะเปรี้ยงปร้างหรือเตะแป้กเราไม่รู้ แต่ถ้าเขาจะล้มเหลวที่แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นของปลอมทำเหมือนเสียหน่อย..


ตังกุย

///////////////////////////////////////////////////////////////

Cr.siamsport.  ติดตามข่าวสารได้ที่เวปหลักของประเทศไทยย www.mcfc.in.th

Views: 1077

Reply to This

Replies to This Discussion

เอาเรื่องการทำทีม เป๊ปของจริงครับเพียงแดค่อยู่ในช่วงที่ทดลองทีมดับแบบแผนการเล่นซึ่งถือว่ายังใหม่สำหรับนักเตะ แต่ถ้าปรับจูนได้ลงตัวเมื่อไหร่ล่ะก็ ได้เห็นรูปเกมในแบบซิตี้เล่นเหมือน หรือดีกว่าอย่างแน่นอน รอติดตามชม ตามเชียร์กันได้เลยครับ อิอิ

ตรงนี้ยังมีคนสงสัยอีกอ่อ เขาของจริงแต่จะใช้เวลาทำความเข้าใจกับลีกพรีเมียร์ลีกได้เร็วแค่ไหนเท่านั้นเอง

ตังกุยพูดก็มีเหตุผล..แต่ปีนี้พิเศษน่ะเฮ้ย เหมือนมังกรหยกภาค ยูเค เลย สุดยอดปรมาจารลูกหนังของโลกมาอยู่ที่นี่ มูรินโยคืออาวเอี้ยงฮง เวนเกอคือซือไท้ คอนเต้คือ จิวแปะทง รานิเอลี่คือ เอี้ยก้วย เป้ปคือ ก๋วยยี้ที่กำลังท้าดวลกับ สุดยอดสำนัก มันไหมล่ะตังกุย หรือเกิดไม่ทัน

มันลืมเอาเรื่องสกอร์ การถล่มประตูของลีกสเปน เยอรมันมาคิด บอลอังกฤษยิงกันขาดแบบนั้นซะที่ไหน นานจะเห็นมีที

ของจริงอย่างไม่มีข้อสงสัย

ไม่อยากเชื่อเลย ตังกุยเด็กหงส์ เขียนได้ขนาดนี้ ทุกทีจัดรายการ ตลกๆไร้สาระจริงๆ 

เขาดันฟูลแบ็คมาเป็น มิดฟิล ไม่ได้ดัน เซ็นเตอร์ไปเป็นมิดฟิล

ขอบคุณที่เขียนให้อ่าน  ทุกๆคนเลย  สนุกดี

ของจริงแน่นอน รอแค่ลงล็อคพาเรือใบแล่นฉิว แน่นอนครับ

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.