Members

พรีเมียร์ลีกไม่มีลาก่อน(อาจจะก่อนเดือนแห่งความรักก็เป็นได้)

ผ่านไป 10 นัดแล้วนะครับสำหรับสงครามแข้งพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้

    ว่าแล้ว คอลัมนิสต์ลูกหนังผู้มีอาการทางจิตเล็กน้อยอย่างผมขออนุญาตสรุปสถานการณ์สำคัญของสมรภูมิลูกหนังที่มีอัตราความฮาร์ดคอร์มากที่สุดของเมืองมนุษย์ หลังผ่านไป 10 เกมแบบคร่าวๆ ก่อนดีกว่า

    1. จ่าฝูงและว่าที่แชมป์

    หลังจากทำได้แค่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ในเกมที่ 2 ของฤดูกาลที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม - แมนฯ ซิตี้ ก็ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว-แรงระดับท่านยมบาลยังต้องร้องขอชีวิตพลางพุ่งชนชัยชนะถึง 8 เกมติดต่อกันด้วยฟอร์มการเล่นอันเปล่งปลั่งอย่างน่าสยดสยองดีนักแล

     เกมรุกคือจุดเด่นของ "เดอะ ซิติเซนส์" โดย 10 เกมที่ผ่านไป พวกเขากะซวกตาข่ายคู่แข่งได้ถึง 35 ดอก

    เฉลี่ยทำได้เกมละ 3.5 ประตู

    นอกจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเจอส่วนผสมที่ลงตัวแล้ว ลูกทีมของเขายังระเบิดฟอร์มสะเด่าไปเลยอีน้องส์ออกมาอีกต่างหาก เฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นในหน่วยล่าสังหาร

    เควิน เดอ บรอยน์ กับ ดาบิด ซิลบา คือ 2 จอมทัพผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเกมรุกได้อย่างทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในตอนนี้

      เท่านั้นไม่พอ 

     ลีรอย ซาเน่ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง กระหน่ำไปคนละ 6 และ 7 ประตู

    ส่วนกองหน้าอย่าง กุน อเกวโร่ ก็ไม่ได้เจ็บหนักจากอุบัติเหตุอย่างที่เป็นข่าว กระทุ้งไปแล้ว 7 ดอก - กาเบรียล เชซุส ไม่ยอมน้อยหน้า ซัดไปแล้วถึง 6 ดอกด้วยกัน

เกมรุกช่างร้อนแรงแบบเกินห้ามใจ ขณะเดียวกับที่เกมรับก็เหนียวแน่นและแข็งแกร่งกว่าเดิมแบบผิดหูผิดตา ผ่านไป 10 นัด โดนคู่แข่งแย่งไปแค่ 6 ประตูเท่านั้น แตกต่างจากฤดูกาลที่แล้วที่เสียไป 8 ประตูจาก 10 นัดแรก


    ตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ นำเป็นจ่าฝูง โดยทิ้งนำห่างผู้ตามอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ 5 แต้ม

     เหมือนจะไม่เยอะนะครับ แถมเส้นทางยังเหลืออีกยาวไกล แต่ผมยังมองไม่ออกเลยว่าทีมเรือใบสีฟ้าจะพลาดอย่างไร อีท่าไหน และเมื่อไหร่ถึงจะสะดุดหัวทิ่ม ในเมื่อเกมรุกกับเกมรับถูกปรับปรุงและแก้ไขจนเกิดสมดุลย์เช่นนี้ มิซ้ำผู้เล่นก็ไม่ถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปอีกต่างหาก (มีเหมือนกัน  กอมปานี และ เมนด์ดี้ )

 
    แมนฯ ซิตี้ สถาปนาตัวเองเป็น "ว่าที่แชมป์" ไปแล้วนะครับ-ขอบอก

    แต่บางทีพวกเขาอาจมองข้ามเรื่องการเป็นแชมป์ไปแล้วก็ได้ เพราะมีโอกาสเลียนแบบสิ่งที่ อาร์เซน่อล เคยจารึกเอาไว้เมื่อฤดูกาล 2003-04 
    นั่นคือการเป็นแชมป์แบบ...ไร้พ่าย!

    2. ผู้ท้าชิง

    หลังจากยัดเยียดความปราชัยให้ สเปอร์ส ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด - แมนฯ ยูไนเต็ด คือผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกของอริร่วมเมืองเดียวกันอย่างชัดเจน

     สถิติของปีศาจแดงจากการทำงานของ โชเซ่ มูรินโญ่ ไฉไลขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจนในทุกด้าน โดยเฉพาะเกมในบ้านที่ชนะรวด และยังไม่เสียเลยสักดอกเดียว

    นาทีนี้พวกเขาคือทีมที่เล่นเกมรับได้ยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของพรีเมียร์ลีก แถมเสียประตูน้อยที่สุดอีกต่างหาก

    อย่างไรก็ตาม

     ด้วยวิธีการเล่นแบบ "Park The Bus" เน้นผลการแข่งขันมากกว่าการเล่นเกมรุกบุกแหลกแล้วแหวก...ชิมิ เพื่อสนองตัณหาของท่านผู้ชม กว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะเอาชนะคู่แข่งในแต่ละนัดมันช่างยากเย็นและเหนื่อยหนักมิใช่น้อย


    มิเท่านั้น ตัวผู้เล่นสำคัญๆ ก็ดันมาถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปอีกต่างหาก 


    พูดง่ายๆ ว่าถ้าวัดกันดอกต่อดอก - ด้วยวิธีการเล่นของ "ผัวเจ๊เกียว" ทำให้ลูกทีมของตัวเองเอาชนะคู่แข่งได้ยากกว่า แมนฯ ซิตี้ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือต้องเดินหน้ากะซวกชัยไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้รับอนุญาตให้พลาดทำแต้มหล่นหาย 

     ทว่าเกมต่อไป แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องบุกไปเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ อาร์เซน่อล

    โอกาสที่แต้มจะถูกถ่างให้ห่างออกไปมีสูงเหลือเกิน!

    3. แชมป์เก่า

    เดี๋ยวนี้การป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกกลายเป็นเรื่องยากมากกว่าเดิมอีกนะครับ เพราะนับตั้งแต่ฤดูกาล 2008-09 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ป้องกันแชมป์ของตัวเองได้สำเร็จ (คว้าแชมป์ 3 ฤดูกาลติดต่อกัน) ก็ยังไม่มีแชมป์เก่าทีมใดที่ป้องกันตำแหน่งของตัวเองได้อีกเลย

     เหตุผลสำคัญคือแรงจูงใจหลังประสบความสำเร็จที่ย่อมลดน้อยลงไปตามระเบียบ ขณะเดียวกับที่คู่แข่งจะระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ทุ่มเทมากขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับแชมป์เก่า

    โทษฐานที่เป็นแชมป์เก่า - เชลซี เลยเจออะไรแบบนี้เข้าไปเต็มๆ จนทำแต้มสำคัญหล่นหายแบบดื้อๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ เบิร์นลี่ย์ แบบคาบ้าน - ทำได้แค่เสมอ อาร์เซน่อล ที่ เดอะ บริดจ์ - ถูก แมนฯ ซิตี้ บุกมาเหยียบจมูกถึงถิ่น รวมถึงการเสียท่าให้ทีมบ๊วยที่ตอนนั้นยังยิงใครไม่เป็นอย่าง คริสตัล พาเลซ จนถูกทิ้งห่างถึง 9 แต้ม

    โอกาสป้องกันแชมป์ในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะครับคุณ 

     คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ยืดยาว นอกจากคำเพียง 2 คำว่า "เหมือนเดิม" อิอิอิ

    5. ทีมที่ไร้โชคลาภและวาสนา

    สเปอร์ส จากขุมกบาลของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เป็นทีมที่เล่นเกมรุกรวดเร็วและดุดันชนิดที่ไม่มีเกียร์ถอยหลัง โดย 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาสะสมแต้มในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่าแชมป์อย่าง เลสเตอร์ กับ เชลซี ซะอีก

     ด้วยวิธีการเล่น และด้วยประสิทธิภาพของเกมรุกทำให้พวกเขามีลุ้นแชมป์อีกฤดูกาล แต่จากความปราชัยในเกมล่าสุดทำให้คลับไก่ถูกจ่าฝูงทิ้งห่างไปถึง 8 แต้มเข้าให้แล้ว แถมการปราศจาก แฮร์รี่ เคน ในเกมล่าสุด มันแสดงให้เห็นชัดเจนเลยนะครับว่า สเปอร์ส ขาดดาวยิงตีนติดเดือยคนนี้ไม่ได้

    ดูแล้วก็คงทำได้เพียงแค่ลุ้นเท่านั้นเหมือนเดิม

    6. หงส์แดงผู้อหังการ

    ล่วงเข้าฤดูกาลที่ 3 ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ - เขาน่าจะเสกให้ ลิเวอร์พูล มีความน่าขามเกรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่เกมรับกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ตก...ซะอย่างนั้น!

     ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้กองหลังตัวใหม่อย่าง เวอร์กิล ฟาน ไดค์ มาร่วมทีม อีกทั้งยังปล่อยกองหลังที่พอมีชาติตระกูลอย่าง มามาดู ซาโก้ ออกจากทีม - ลิเวอร์พูล จึงยังคงเป็นทีมที่เสียประตูง่าย แถมมักเสียแบบไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาจึงเสียไปแล้วถึง 16 ประตูจาก 10 เกมแรก 

    มิซ้ำยังเสียประตูนอกบ้านมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก

    ทีมที่จะเป็นแชมป์ ไม่ได้รับอนุญาตให้เสียประตูมากมายขนาดนี้นะครับ ว่าแล้วก็ถูกทิ้งห่างถึง 12 แต้มแล้ว

    ย้ำอีกครั้งว่าถูกทิ้งห่างถึง 12 แต้ม

    กระนั้นก็ดี

    ดูเหมือน "เด็กหงส์" บางคนยังเชื่อมั่นแบบเต็มประดาว่าทีมรักของพวกเขายังมีสิทธิ์เป็นแชมป์ในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้เหมือนในทุกๆ ฤดูกาลที่ผ่านมานั่นแหละ!

     ทุกคนมีสิทธิ์ฝัน - ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง - ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป

    อืมมมมม...ว่าแล้วเอาที่พวกพี่ๆ สบายใจเลยครับ

        7. อัตราความมันส์

    แม้น แมนฯ ซิตี้ จะโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงแบบทะลุนรกโลกันตร์ทำท่าจะพุ่งเข้าเส้นชัยแบบม้วนเดียวจบ แต่ขอบอกว่านั่นไม่ได้ทำให้อัตราความเมามันของสมรภูมิแข้งพรีเมียร์ลีกลดลงเลยสักนิดเดียว เพราะแฟนบอลของแต่ละทีมยังลุ้นทีมตัวเองด้วยความสนุกสนานบนความตื่นเต้นจั๊กแหล่นในทุกสัปดาห์


    เฉพาะอย่างยิ่ง "เด็กผี" กับ "เด็กหงส์" ที่จ้องถล่มกันสัปดาห์ต่อสัปดาห์แบบ "มึงอย่าพลาดนะครับ"

    ฉะนั้น & ฉะนี้

    ต่อให้ทีมจ่าฝูงนำโด่งพลางทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าหรือความมันส์ของพรีเมียร์ลีกลดลงเลย

      "บอ.บู๋" (แห่งสยามกีฬา) ขออนุญาตตัดและเพิ่มบางส่วนนะครับ พี่ “บอ.บู๋” (ขอให้สมชื่อนะครับ อิอิอิ    เขียนได้ดีมากครับ)

Views: 511

Reply to This

Replies to This Discussion

หนทางยังอีกยาวไกล โฟกัส เเละ เน้นไปทีละเกม ทำให้ดีที่สุด

เส้นทางล่าแชมป์ของซิตี้คงต้องตัดตอนกันเป็นช่วงๆ..

..ช่วงแรกตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนสิ้นปีใหม่ มาถึง ณ เวลานี้ผ่านไป 10 นัดแล้ว..

..นัดที่ 11 ก็จะต้องเจอทีมใหญ่คืออาร์เซอลในวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ย..

..และต้องเจอทีมใหญ่อีก 2 ครั้งในเดือนธันวา แมนยูวันที่ 10 สเปอร์สวันที่ 16..

..ซิตี้จะยังรักษาตำแหน่งจ่าฝูงไว้ได้หลังปีใหม่หรือไม่ก็น่าจะขึ้นอยู่กับ 3 เกมนี้..

..3 เกมที่ต้องเจอกับ ปืน ผี ไก่ ระหว่างเส้นทางลุ้นแชมป์..

..เรือเป็นจ่าฝูง เดินทางก็ต้องระวังพวกดักปล้นด้วย !?!

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.