ฤดูกาล 2017-2018 เป็นฤดูกาลที่เหลือเชื่อสำหรับฟุตบอลอังกฤษ เมื่อมีทีมหนึ่ง เอาชนะได้ 32นัด จาก 38เกมในลีก ยิงประตูได้ถึง 106 ประตู และทำแต้มได้ถึง100คะแนน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือสิ่งที่ ทีม "เรือใบสีฟ้า" แมนฯซิตี้ ทำได้เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา
ไม่มีทีมไหนที่จะเก็บชัย18นัดแบบสบายๆในแบบที่พวกเขาทำได้ในพรีเมียร์ลีก และไม่มีทีมไหนในประวัติศาสตร์ที่เดินทางไปโอลด์ แทรฟฟอร์ด และเล่นกับ แมนฯยูไนเต็ด อย่างที่พวกเขาทำ
ด้วยผลงานมหัศจรรย์เช่นนี้ แมนฯซิตี้ ในซีซั่นที่แล้ว จึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ทีมในอดีตอย่าง แมนฯยูไนเต็ด ที่ทำทริปเปิ้ลแชมป์ ในปี1999 ,อาร์เซน่อล ในยุคไร้พ่าย และ เชลซี ในชุดที่คว้าแชมป์ในปี 2004-05 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้มองว่า ทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า ชุดนี้ จะครองบัลลังค์ความยิ่งใหญ่ในพรีเมียร์ลีก ไปอีกหลายปี
อย่างไรก็ตาม ทีมที่พร้อมจะสอดแทรก ขึ้นมาท้าทายกับไม่ใช่คู่อริร่วมเมือง อย่าง ยูไนเต็ด หรือ บรรดายักษ์ใหญ่ในลอนดอน แต่เป็นทีมที่ตั้งอยู่ในย่านเมอร์ซีไซด์ ภายใต้การคุมบังเหียน ของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์
14 มกราคม 2018 เป็นวันที่ เป๊ป กวาดิโอล่า ตระหนักพบว่า มีหนึ่งทีมในพรีเมียร์ลีก ที่มีศักยภาพขึ้นมาขวางทางยิ่งใหญ่ของพวกเขา ซึ่งในเกมวันนั้น ลิเวอร์พูล สามารถเฉือนเอาชนะ แมนฯซิตี้ ไปอย่างสุดมัน 4-3 คว้าสามคะแนนต่อหน้าแฟนๆในแอนฟิลด์ ได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
ที่แอนฟิลด์ ได้ตอกย้ำในการเป็นอีกหนึ่งสนามอัปยศ สำหรับทีมเรือใบสีฟ้า อีกครั้ง ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก โดยในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ เกมแรก แมนฯซิตี้ โดนพลพรรค "หงส์แดง" ถล่มยับไป 0-3 ก่อนตกรอบบอลยุโรปไปด้วยสกอร์รวมถึง 1-5 ซึ่งถือเป็นจุดบอด แห่งความเศร้าจุดเดียว บนความยิ่งใหญ่ของ ซิตี้ ในฤดูกาลที่ผ่านมา
"หงส์แดง" ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทำการผ่าตัดเสริมทีมอีกครั้ง ด้วยการซื้อ ฟาบินโญ่ มาจาก โมนาโก นาบี้ เกอิต้า จาก ไลป์ซิก เซอร์ดาน ชากิรี่ จาก สโต๊ค และ ได้หนึ่งนักเตะคนสำคัญอย่าง อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูจาก โรม่า เรียกได้ว่า เป็นการกำจัดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งให้กับทีม หลังความผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อของ โลริส คาริอุส ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก กับ เรอัล มาดริด
นอกเหนือจากนั้น ยังมีสามแกนหลัก ที่เป็นผู้นำทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน , เจมส์ มิลเนอร์ และ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่คอยประคองน้องๆในสนามในยามที่ทีมต้องการความนิ่งจากความกดดัน
โดยที่มองข้ามไปไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง คือ3เครื่องจักรสังหาร แดนหน้า โม ซาลาห์ ,โรเบอร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ หรือแม้แต่ ผู้เล่นที่เหมือนจะร้างราสนามไปนาน อย่าง ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ก็ยังสามารถยิงประตูสำคัญให้กับทีมได้
นอกเหนือจากนี้ ชัยชนะ ที่ภาษาฟุตบอลเรียกว่า winning ugly ในเกมที่พบกับ ไบร์ทตัน และ คาร์ดิฟฟ์ หรือ การเก็บชัยในนาทีสุดท้ายกับ แมตช์เมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้ กับ เอฟเวอร์ตัน และ การได้แต้มจากทีมใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล และ เชลซี ในวันที่ฟอร์มโดยรวมของทีมไม่ดี ล้วนแต่เป็นภาพสัญลักษณ์ของทีมที่จะเป็นแชมป์ ทำได้เสมอมา
ซึ่งหลังผ่านไป17นัด พวกเขานำเป็นจ่าฝูง มีแต้มมากกว่า แมนฯซิตี้ อยู่1แต้ม รวมไปถึงฟอร์มของ โม ซาลาห์ ที่ค่อยๆคืนฟอร์มเก่งมาช้าๆ ยิ่งตอบย้ำความฝันของ ชาว "เดอะค็อป" ว่า การรอคอยแชมป์ในรอบ29ปีของพวกเขา ถึงเวลาสิ้นสุดแล้วหรือยัง
////////////////////////////////////////////////