Members

ภัยกัมมันตรังสี มันน่ากลัวขนาดไหน โดย ศ. ดร.สุทัศน์ ยกส้าน

ลองอ่านบทความนี้ดูแล้วท่าจะกลัวนิวเคลียร์ และคำว่ารังสีน้อยลงนะครับ




เมื่อเอ่ยคำว่า กัมมันตรังสี คนส่วนมากมักจะนึกถึงระเบิดปรมาณู โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์หรือเตาปฏิกรณ์
ปรมาณู และมักจะคิดว่าเมื่อประเทศไทยเรายังไม่ถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู และยังไม่มีโรงไฟฟ้าดังกล่าว
ภัยกัมมันตรังสีก็ยังไม่มี แต่ในโลกของความจริงแล้ว ร่างกายเราได้รับกัมมันตรังสีตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าร้อยละ ๘๗ ของรังสีที่ร่างกายได้รับมาจากธรรมชาติ และอีกร้อยละ ๑๓ ที่เหลือมาจากฝีมือมนุษย์

เมื่อโลกถือกำเนิดใหม่ ๆ โลกยังไม่มีบรรยากาศและไม่มีมหาสมุทร ผิวของโลกเป็นหินแข็งที่มีธาตุกัมมันตรังสี เช่น ยูเรเนียม และทอเรียมอยู่ภายใน เมื่อธาตุเหล่านี้สลายตัวไปเป็นธาตุอื่น มันจะปลอดปล่อยพลังงาน
ความร้อนออกมา นักวิทยาศาสตร์คิดว่าพลังงานความร้อนนี่เองที่ได้ไปจุดชนวนทำให้สิ่งมีชีวิต
ต่าง ๆ อุบัติได้บนโลก ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าถ้าโลกไม่มีกัมมันตรังสี โลกก็ไม่มีชีวิตนั้น ดู ๆ ก็ไม่ผิดเลย
มาจนถึงปัจจุบันนี้ธาตุกัมมันตรังสีใต้โลกก็ยังมีอยู่และกำลังสลายตัวตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์คำนวณพบ
ว่าทุกวันนี้พลังงานความร้อนที่ได้จากการสลายตัวมีปริมาณมากถึง ๘๐ เท่าของพลังงานไฟฟ้าที่โลก
ใช้ในแต่ละวันอีกด้วย

นอกจากกัมมันตรังสีจากใต้พิภพแล้ว ร่างกายเรายังได้รับกัมมันตรังสีจากแหล่งต่าง ๆ ที่อยู่เหนือโลกและ
บนโลกอีกด้วย เช่น จากจอโทรทัศน์ จากนาฬิกาเรืองแสง จากการทดลองระเบิดปรมาณู เอกซเรย์ และจาก
รังสีคอสมิกนอกโลก กัมมันตรังสีจากใต้พิภพและจากรังสีคอสมิก เป็นกัมมันตรังสีธรรมชาติ
แต่รังสีจากจอโทรทัศน์ จากนาฬิกา และจากเอกซเรย์ เป็นรังสีประดิษฐ์ที่ถูกทำขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

กัมมันตรังสีที่ร่างกายคนเราได้รับนั้นมี ๒ ลักษณะ คือ ในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และรูปแบบของอนุภาค
เราหลายคนคงไม่รู้ว่า ขณะที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราได้รับรังสีในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตลอดเวลา
เพราะสรรพสิ่งรอบตัวเราทุกชนิดในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เม็ดฝุ่น ดอกไม้ เพื่อนบ้าน หรือตัวเราเอง
ต่างก็แผ่รังสีทั้งสิ้น ส่วนรังสีที่เปล่งออกจากสารกัมมันตภาพนั้นจะมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก และในรูปของอนุภาค จึงมีอำนาจในการทำลายสูง นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจ
พบว่าในแต่ละปี ร่างกายของคนทุกคนบนโลกได้รับรังสีโดยเฉลี่ย = ๐.๐๐๒๒ Sv (Sv เป็นคำย่อมาจากคำว่า Sievert ซึ่งเป็นหน่วยวัดกัมมันตรังสีที่ตั้งตามชื่อของนักฟิสิกส์ชาวสวีเดน R.M. Sievert)

ตัวเลขนี้อาจจะไม่สื่อความรู้สึกใด ๆ เพราะเมื่อเรารู้เพิ่มเติมว่า ตลอดชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เขาจะได้รับกัมมันตรังสีตามธรรมชาติประมาณ ๐.๑๕๐ Sv เท่านั้นเอง ซึ่งปริมาณรังสีที่ว่านี้ นักวิทยาศาสตร์ไม่พบว่าสามารถทำให้คน
สัตว์ หรือพืชล้มป่วย หรือล้มตายแต่ประการใด เมื่อครั้งที่เกิดอุบัติเหตุกัมมันตรังสีรั่วไหลที่โรงไฟฟ้าที่
Chernobyl ในรัสเซีย เมื่อเดือนกันยายน ใน พ.ศ. ๒๕๒๙ นั้น ปริมาณรังสีในบริเวณเกิดเหตุมีอยู่ระหว่าง ๐.๐๐๖-๐.๐๖ Sv ซึ่งเป็นอันตรายมาก รัฐบาลรัสเซียจึงได้สั่งอพยพคน ๒๗๐,๐๐๐ คนออกจากพื้นที่เกิดเหตุ
ทันที ดังได้กล่าวแล้วว่า โลกของเรานี้ถูกระดมยิงด้วยรังสีต่าง ๆ ตลอดเวลา ในอดีตเมื่อ ๓,๕๐๐ ล้านปีก่อน
ขณะที่โลกยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ปริมาณรังสีที่ปกคลุมห่อหุ้มโลกสูงกว่าปัจจุบันตั้งแต่ ๓-๕ เท่า
และถึงแม้รังสีจะเข้ม แต่สิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์เซลล์เดียว ก็สามารถอุบัติได้ เพราะ DNA ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
ได้วิวัฒนาการตัวจนสามารถมีภูมิคุ้มกันภัยจากรังสีได้ตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ถึงแม้รังสีธรรมชาติจะได้ลดความเข้มไปมากก็ตาม แต่มนุษย์ก็รู้จักทำรังสีประดิษฐ์ เช่น เอกซเรย์ หรือระเบิดปรมาณู ขึ้นมา
ทำให้ในบางครั้งร่างกายได้รับรังสีประดิษฐ์มากกว่ารังสีธรรมชาติถึงหมื่นเท่า มีผลทำให้คนคนนั้นล้มป่วย
หรือตาย แต่ระเบิดปรมาณูก็มิใช่สาเหตุเดียวที่สามารถให้กัมมันตรังสีมาก อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ใช้สารกัมมันตรังสีในการทำงาน (เช่น เครื่องตรวจสมอง) หากทำงานบกพร่องก็สามารถปล่อยกัมมันตรังสีให้
ไหล่ท่วมร่างกายได้มากเช่นกัน เมื่ออุบัติเหตุกัมมันตรังสีสามารถเกิดได้เช่นนี้ การที่คนเราจะกลัวภัยกัมมัน
ตรังสีก็เป็นเรื่องสมควร แต่ถ้าจะกลัวไปเสียทุกกรณีไม่ว่าภัยนั้นจะน้อยเพียงใดก็ไม่สมควร
เสมือนกับการที่กลัวว่าอุณหภูมิของอากาศ ๓๐ องศาเซลเซียส จะเป็นอันตราย เพราะอุณหภูมิดวงอาทิตย์ที่
สูงถึง ๖,๐๐๐ องศา สามารถจะเผาเราทั้งเป็นได้ เช่นนี้เป็นต้น รายงานการวิจัยด้านการแพทย์ได้ชี้ให้เราเห็นชัดว่า DNA ในเซลล์ของคนตามธรรมดาจะสลาย เพราะถูกทำร้ายด้วยอนุมูลอิสระ เวลาเซลล์สร้างพลังงาน
โดยในแต่ละเซลล์จะมีเหตุการณ์ทำร้าย DNA ถึง ๗๐ ล้านครั้งต่อปี แต่ร่างกายเราก็มีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ซ่อมแซม DNA ดี เราจึงมีชีวิตอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่ DNA ถูกทำร้ายตลอดเวลา รังสีต่าง ๆที่ร่างกายได้รับก็สามารถทำร้าย DNA ได้เช่นกัน เช่น สมมุติว่า ร่างกายได้รับรังสี ๐.๐๐๒๒ Sv. ต่อปี นั่นหมายความว่า จะมีเหตุการณ์ทำร้าย
DNA เพียง ๕ ครั้ง ใน ๑ ปีเท่านั้นเอง ดังนั้น ปริมาณรังสีระดับปรกติจึงไม่สมควรทำให้เรากลัวภัยรังสีแต่ประการใด และเมื่อเรารู้เพิ่มเติมว่าการที่ร่างกายมนุษย์ไม่มีอวัยวะสำหรับทำหน้าที่ ตรวจรับกัมมันตรังสี นั่นก็เพราะ
ร่างกายมนุษย์มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีพอจะปกป้องภัยรังสีระดับนี้ ดีแล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องมีอวัยวะพิเศษเพื่อทำหน้าที่เตือนภัยชนิดนี้แต่ประการใด ขอให้สังเกตว่ามนุษย์มักจะมีประสาทสัมผัสรับความรู้สึกร้อน-เย็น
ที่ไวมากเพื่อป้องกันชีวิตตน เช่น ผิวหนังจะรู้ว่าน้ำที่อุณหภูมิ ๒๐ องศาเซลเซียส หากร้อนถึง ๑๐๐ องศาเซลเซียส จะเป็นอันตรายในทันทีทันใด และลิ้นก็มีประสาทสัมผัส คือ ต่อมรส ที่จะปกป้องร่างกายมิให้เป็นอันตรายจาก
สารพิษ เป็นต้น และเมื่อข้อมูลเกี่ยวกับรังสีเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดคนทั่วไปจึงตื่นกลัวภัยด้วย ในวารสาร Physics Today ฉบับเดือนกันยายนนี้ Z. Jaworowski แห่ง Central Laboratory for Radiological Protection ที่กรุง Warsaw ในโปแลนด์ได้ให้เหตุผลหลายประการว่าเป็นเพราะ
(๑) ความกลัวว่าเหตุการณ์ปรมาณูระเบิดที่ Hiroshima และ Nagasaki จะเกิดขึ้นอีก
(๒) สงครามทางจิตวิทยาที่มีมาตั้งแต่สมัยโลกอยู่ในสมัยสงครามเย็นคือ ขู่ให้ทุกคนกลัวอาวุธนิวเคลียร์
(๓) อิทธิพลการโฆษณา กระตุ้นเราให้สังคมกลัวโดยบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันเสนอมิให้ประเทศต่าง ๆ
หันมาใช้โรงงานไฟฟ้าปรมาณูแทนการใช้น้ำมัน
(๔) นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานด้านนี้ ได้พยายามกระตุ้นสังคมให้กลัว เพื่อของบประมาณในการทำวิจัย
(๕) ความกลัวของนักการเมืองที่กลัวกัมมันตรังสีจนเกินสมควร
(๖) วงการหนังสือพิมพ์ที่ต้องการชี้นำให้สังคมกลัว เพื่อจะทำให้ยอดขายสูง
(๗) ความเชื่อที่ว่า เมื่อใดก็ตามหรือที่ใดก็ตามที่มีรังสี ร่างกายจะเป็นอันตรายทันที
การไม่รู้จริงเกี่ยวกับกัมมันตรังสีและเมื่อมีคนมาบอกว่ารังสีจากสงคราม นิวเคลียร์จะทำลายมนุษยชาติและ
ชีวิตทุกชีวิตบนโลกจนหมดสิ้น สามารถทำให้บุคคลเกิดอาการประสาทได้ แต่ความจริงก็มีอยู่ว่าในระหว่าง
พ.ศ.๒๔๘๘-๒๕๒๓ นั้น ได้มีการทดลองระเบิดปรมาณูในอากาศ ๕๔๑ ครั้ง คิดเป็นระเบิดที่มีอานุภาพในการทำลายเท่ากับระเบิด TNT ที่หนัก ๔๔๐ ล้านตัน มีผลทำให้บรรยากาศของโลกมีพลูโตเนียมหนัก ๓ ตัน แต่
พลโลกก็ยังมีชีวิตอยู่หาได้ล้มตายไปเพราะระเบิดปรมาณู ๕๔๑ ลูกไม่ เพราะปริมาณรังสีที่คนแต่ละคนได้รับ
จากผลการทดลองนี้ = ๐.๐๐๑ Sv เท่านั้นเอง นักวิทยาศาสตร์การทหารยังได้ประเมินต่อไปอีกว่า
หากทุกประเทศที่มีระเบิดปรมาณูทิ้งระเบิดที่มีมากถึง ๕๐,๐๐๐ ลูกพร้อมกัน ในสถานที่เดียวกัน คนโลกแต่ละ
คนก็จะได้รับกัมมันตรังสีเพิ่มขึ้น๐.๐๕๕ Sv เท่านั้นเอง ซึ่งน้อยกว่าปริมาณ ๓ Sv ที่สามารถฆ่าคนได้ทันที
จึง เป็นว่าการสรุปใด ๆ ที่จะใช้อ้างถึงภัยกัมมันตรังสีจะต้องได้จากการสำรวจจากประชากรจำนวนมาก
และต้องรู้ปริมาณรังสีที่เกี่ยวข้อง ข้อสรุปที่ได้จึงจะเป็นข้อสรุปที่รับฟังได้ วันหนึ่งในอนาคตเมื่อประเทศไทย
จำเป็นต้องมีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพราะประเทศ รับสถานการณ์น้ำมันแพงไม่ไหว เราก็ต้องมีมาตรการป้องกัน
ภัยนิวเคลียร์ที่ดี และประชาชนทั่วไปก็ต้องเข้าใจว่าภัยกัมมันตรังสีนั้นมีแต่ป้องกันได้ ถ้าเราระมัดระวังและรอบรู้ครับ.

ผู้เขียน : ศ. ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ประเภทวิทยาศาสตร์กายภาพ สาขาวิชาฟิสิกส์ สำนักวิทยาศาสตร์

Views: 630

Reply to This

Replies to This Discussion

น่ากลัวทั้งนั้นแหละ
ทีวีดูมาก ๆ ก็ตาพัง
มือถือใช้บ่อยก็สมองเสื่อม
เอ๊กซเรย์บ่อย ๆ ก็เป็นมะเร็ง
เหอๆ
ถึงว่า รู้สึกตอนนี้จะเป็นยอดมนุษย์ไงๆก้ไม่รู้ มีกัมมันตรังสีรอบตัว อิอิ
ขอบคุณครับ พี่มีนดีที่สุดครับ ไม่น่ากลัว แถมน่ารั้กมากๆ(บอกสาวๆนะ) อิอิ
ลุงขอเตือน...สาวๆเรือใบ..."พี่มีน" นั่นแหละน่ากลัวกว่ากัมมันตรังสีทุกๆตัว เฮอ...เฮ่อๆ
5555
555 ตายรุย ไม่น่าเล่นเร้ย เข้าตัวจนได้ๆๆๆ อิๆๆๆๆ;b
สมๆๆพี่มีน ฮ่าๆๆๆๆ
สรุป...โลกปัจจุบัน.....มะดีรุยนึ
ถึงหลายๆคนจะกลัว

แต่ตอนนี้มันจำเป็นแล้วครับ ที่จะต้องใช้โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเครียร์

หลายคนต่อต้านเพราะไม่รู้จักประโยชน์ของมัน หลายคนอยากได้เพราะอยากจะโกงกินบ้านเมือง

แต่ขอบอกเลยถ้าหากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเครียร์ มีการโกงกินกันล่ะก็ บ้านเมืองวายวอดแน่ๆ
ถูกต้องเลยครับ มันถึงเวลาแล้วที่จะใช้ โรงไฟฟ้า นิวเครียล์
ควรจะเริ่มต้นสร้างกันได้แล้วใน ปัจจุบัน ดูอย่าง เวียดนาม สิครับ
เขาวางแผนให้เสร็จภายใน 2020 แต่ของประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มสักอย่าง
ระยะเวลาในการสร้าง คือ 10 เฮ้อ ชาติหน้าคงได้ใช้กัน อิๆ โชคดีประเทศไทย
ชอบน้องนิวเคลียร์ครับ

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.