Members

ปุจฉา
ใครลิขิตชีวิตเรา
อยากขอความรู้เรื่องการดูหมอเพิ่มเติมครับ


วิสัชนา

ใครลิขิตชีวิตเรา

                  เดือนเมษายน – พฤษภาคม ตามปกติ ถือว่า ยังอยู่ในช่วงหน้าร้อน แต่ปีนี้ สองเดือนนี้ทำท่าจะร้อนมากกว่าปกติ เพราะจู่ๆ ต้นเดือนเมษายน หมอดูชื่อดังระดับประเทศก็ออกมาฟันธง ว่า จะมีปฏิวัติอีกรอบ คราวนี้อันตรายที่สุด เพราะอาจมีรายการเลือดนองแผ่นดินเกิดขึ้น  เรื่องนี้ จะเป็นจริงหรือไม่ ให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่ทันทีที่คำทำนายนี้เผยแพร่ออกมา สังคมไทยก็วิตกอกไหม้กันไปทั่ว

                  การเมืองระส่ำ ธุรกิจมีสิทธิ์ชะลอตัว การต่างประเทศ เครดิตของประเทศไทยก็เสียหาย ใครจะกล้าเดินทางมาทำอะไรๆ ในประเทศที่มีแต่ข่าวปฏิวัติ

                  น่าสังเกตว่า ทำไมสังคมไทยของเรา จึงเชื่อหมอดูมากกว่า ปัญญาชน,นักวิชาการ

                  ในทางพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าตรัสถึงลัทธินอกพุทธศาสนาสามอย่างที่เป็นชนวนของความ “ยอมจำนนต่อปัญหา” ทำให้มนุษย์ไม่ก้าวไปข้างหน้า ลัทธิที่ว่านั้นก็คือ

                  (๑) ลัทธิกรรมเก่า      เชื่อกันว่า ความเป็นไปในชีวิตของคนเป็นผลมาจากกรรมเก่าล้วนๆ

                  (๒) ลัทธิเทพเจ้าบันดาล        เชื่อกันว่า  ชีวิตของคนจะเป็นไปอย่างไร “พระพรหม” ท่านลิขิตไว้หมดแล้ว

                  (๓) ลัทธิบังเอิญ                   เชื่อกันว่า  ชีวิตของคนจะเป็นไปอย่างไร ถึงเวลามันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง  ไม่มีที่มา  ไม่มีที่ไป อะไรจะเกิดมันก็เกิด

                  ลัทธิกรรมเก่า  นำไปสู่ภาวะ “ยอมจำนน” ต่อปัญหา

                  เช่น เกิดมาจน ก็ก้มหน้ารับความจน  ถูกเขาโกง ก็บอกตัวเองว่า ชาติที่แล้วไปโกงเขาไว้เยอะ พออธิบายอย่างนี้ คนโกงก็เลยลอยนวล สบาย  ไม่มีความผิด และถ้าเป็นเช่นนั้น คนไทยชาติที่แล้วคงเป็นขโมยกันค่อนประเทศ  ชาตินี้จึงถูกเขาโกงพร้อมกันทั้งชาติอย่างซ้ำซาก หรือบางทีมีวิกฤติการเมืองตีบตัน  ก็อธิบายกันว่า เป็นเพราะกรรมเก่าของประเทศ ดังนั้น จึงต้องแก้กรรมด้วยการทำบุญประเทศ  แต่แล้วยิ่งทำบุญประเทศ ยิ่งกรรมหนัก  จนคนนำทำบุญประเทศ  แทบไม่มีประเทศให้อยู่

                  ลัทธิเทพเจ้าบันดาล  นำไปสู่ภาวะ “ไม่พึ่งตนเอง” และ “ปัดความรับผิดชอบ”

                  เช่น เวลามีปัญหาขึ้นมาแทนที่จะมองหาวิธีแก้ปัญหา กลับมองหาวิธีบวงสรวง  สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา  ปั้นเทพขึ้นมาบูชา แล้วก็รอให้เทพมาช่วย  ซึ่งถ้าเทพมีอานุภาพจริง เมืองไทยไม่มีทางเข้าสู่วิกฤติเลย เพราะประเทศไทย เป็นประเทศที่มีเทพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก  (แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยปัญหามากที่สุดเช่นกัน)

              ลัทธิบังเอิญ นำไปสู่ภาวะ “หลักลอยทางความเชื่อ” และ “ไม่มุ่งมั่นทำการ” ไม่เชื่อมั่นในสติปัญญาของมนุษย์  เน้นการ “พึ่งพาอัศวินขี่ม้าขาว” มาโปรด

                  เช่น เวลามีปัญหาเกิดขึ้น  มักอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นโชค  เวลามีวิกฤติ เกิดขึ้นมักอธิบายว่าเป็นเคราะห์ พอถามต่อไปว่า เคราะห์และโชคเกิดจากอะไร ก็ตอบไม่ได้ ลัทธินี้เห็นชัดมาก ในช่วงใกล้วันหวยออก คนไทยจึงชอบ “เสี่ยงดวง” ใครจะดวงดี ใครจะดวงตก ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าดวงดีดีเพราะอะไร ถ้าดวงตก ตกเพราะอะไร ก็อธิบายลำบาก  ลัทธินี้ครอบงำสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และกำลังอหังการสุดๆ ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมานี้  เพราะคนที่เชื่อลัทธินี้ ล้วนแต่เป็นแม่ทัพนายกอง และผู้อยู่ในอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน

                  เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับประเทศไทย  เพราะในระยะเวลาที่ลัทธิดวงดาว โชคชะตาราศรี กำลังรุ่งในประเทศไทยในสี่ห้าปีมานี้เอง  ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม  ได้กลายเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในอาเซียน  มาเลเซียร่วมมือกับรัสเซีย  ส่งยานดาวเทียมไปเยือนห้วงอวกาศ  จีนส่งนักบินขึ้นไปโคจรในอวกาศได้สำเร็จเป็นครั้งที่สองในรอบสองปี สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีอำนาจทางธุรกิจครอบคลุมไปทั่วโลก  ฮ่องกงเป็นประเทศที่เป็นต้นแบบในการปราบคอรัปชั่น อินเดีย เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแห่งเอเชียและของโลก 

                  หันไปมองประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้สิ  เขามีเทพเยอะเหมือนเมืองไทยหรือเปล่า  เขามีหมอดูไว้เป็นที่ปรึกษาของการบริหารราชการแผ่นดินเยอะเหมือนเมืองไทยหรือไม่  เขาเอาแต่มอมเมากันด้วยหวยและเกจิอาจารย์เหมือนพวกเราไหม  ประเทศเหล่านั้นเคยทำบุญประเทศปีละหลายๆ ครั้งหรือเปล่า

                  เขาไม่ทำอะไรเหมือนเราคนไทยสักอย่าง  แต่ทำไมวิกฤติต่างๆ จึงคลี่คลายออกไปจากประเทศเหล่านั้น จนค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่ “พัฒนาแล้ว” โดยลำดับ ในขณะที่ประเทศไทย ทำไมจึงถอยหลังกลับไปเป็นประเทศที่ “ด้อยพัฒนา” ยิ่งๆ ขึ้น

                  ความจริงของสรรพสิ่งในโลกนี้มีอยู่ว่า  “ใดๆ ในโลกล้วนดำเนินไปในลักษณะตามเหตุตามปัจจัย  เหตุดี ก่อให้เกิดผลดี เหตุเสีย ก่อให้เกิดผลเสีย” ไม่มีหรอกมือที่มองไม่เห็นที่คอยเนรมิตอะไรต่อมิอะไรให้ตามที่เราวิงวอน บวงสรวง มีก็แต่ “มือที่มองเห็น” ของมนุษย์เราด้วยกันเท่านั้น  ที่จะสามารถบันดาลอะไรต่อมิอะไรได้ทั้งสิ้น

                  ยังจำได้ไหม พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อตฺตา  หิ  อตฺตโน  นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

                  ความจริงของโลกและชีวิตอย่างนี้มีสอนอยู่ในพุทธศาสนา และเป็นที่รับรองกันทั่วโลกของปัญญาชนทั้งหลาย

                  น่าแปลกว่า พุทธศาสนามั่นคงที่สุดก็ในเมืองไทย

                  แต่แล้วทำไม  คนไทย จึงไม่ (ค่อย) ได้รับอิทธิพลของแนวคำสอนเช่นนี้เลย

                  น่าแปลกว่า ทำไม ของดีๆ ที่มีอยู่  เราจึงไม่สามารถหยิบยกมากู้วิกฤติของสังคมไทยได้ เพชรอยู่ในมือ แต่ทำไมเรากลับไปเชิดชูก้อนกรวดก้อนหินก็ไม่รู้

Views: 239

Reply to This

Replies to This Discussion

ขอบคุณครับ
ครับผม....น้องเจมคนสวยยย...อิอิ

^^ ขอบคุณมากๆครับพี่จุ๊ 

 

ขอยคุณเช่นกันค่ะ....น้องโบ๊ทททท
ขอบคุณครับ ตนเปนที่พึ่่งแห่งตน และตนเองเท่านั้นที่รู้ตน ^^
ขอบคุณค่ะ...อันนี้ใช้ได้ตลอดมาเจ้า....

       อยากให้เขียนถึง พูดถึง อริยะสงฆ์ รุ่นเก่า ซึ่งคำพูด คำสอน เป็นอมตะวาจา  และปฎิบัติชอบ จงกระทั่งละสังขาร ในเมืองไทยของเรา มีเป็นสิบเป็นร้อย  เราควรระลึกถึงครูบาอาจารย์ซึ่งถือได้ว่าเป็นอริยะสงฆ์ ให้มากๆๆ

       ผมเห็นว่าคำ พูด ขอชี้แนะของพระสงฆ์ยุคนี้ หมุนตามโลก  (กระแสโลกนำท่าน)    ยิ่งถ้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่มีความรู้พื้นจากคนรุ่นเก่า ครูบาอาจารย์รุ่นเก่า (พระพุทธเจ้า ก็เป็นครูบาอาจารย์คนแรก ที่สอนมนุาย์และเทวดา)  คนรุ่นใหม่จะหลงทางไปจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้   น่ากลัว น่ะครับ

ขอบคุณค่ะ...จะจัดให้นะค่ะ...ไม่นานเกินรอเจ้าค่ะ

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.