ความมั่นใจที่ไม่แน่นอน

        เมื่อเวลากลางดึกในคืนวัน จันทร์ที่ผ่านมามีศึกแห่งศักดิ์ศรี หรือ ศึกแห่งการ ''ยืดเวลา'' ไม่ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เร็วกว่ากำหนด!!

        ...การเป็นพบกันระหว่างคู่ปรับร่วมเมืองที่ความเข้มข้นและดีกรี ความรุนแรงกำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะที่ 2 ทีมโคจรมาเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นถ้วยใดๆ ก็ตาม แมนฯ ยูฯ เปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี้ ในช่วงจังหวะเรียกว่าพอดิบพอดี หรืออาจจะสายเกินไปก็ได้

        ถ้าจะว่าเป็นจังหวะที่พอดี ก็คือเป็นช่วงเวลาที่แมนฯ ซิตี้ กำลังกระหายชัยชนะเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ 3 แต้มจากปีศาจแดง เพื่อในทางทฤษฎีแล้ว ถ้า แมนฯ ซิตี้สามารถเอาชนะ แมนฯ ยูฯ ได้ จะเป็นการต่อลมหายใจให้ตัวเองได้ลุ้นแชมป์ต่อไป ถึงแม้ว่าอาจจะต้องยืมมือคนอื่นช่วยในบางแมตช์ก็ตาม

        แต่ถ้าจะให้มองอีกนัยหนึ่ง อาจจะเป็นช่วงเวลาที่สายเกินไปสำหรับแมนฯ ซิตี้ และผลการแข่งขันในแมตช์นี้คงจะไม่มีความหมาย เพราะด้วยช่องว่างของคะแนนของทั้ง 2 ทีมห่างกันจนแมนฯ ซิตี้ ไม่อาจจะลุ้นอะไรได้อีกแล้ว

        ...ก็คงจะไม่ผิดนักถ้าจะให้มองว่า ฤดูกาลนี้แต้มของแมนฯ ซิตี้ตามหลัง แมนฯ ยูฯ จนเกิดระยะห่างขนาดนี้เพราะว่าเรือใบสีฟ้าจะหนักไปทางเสมอซะส่วนใหญ่ตัวผม เอง ตั้งใจเป็นอย่างมากครับกับการตั้งนาฬิกาปลุกในเวลาตี 2 เพื่อที่จะตื่นมาดู แมนฯ ยูฯคว้าชัยชนะเหนือแมนฯ ซิตี้ เพื่อที่จะได้ทำคะแนนทิ้งห่างไปเป็น 18 แต้ม ซึ่งจะทำให้โอกาสในการกระชากถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกกลับคืนมามีมากขึ้นไปอีก

        ...เมื่อถึงเวลาตี 2 ช่วงที่นาฬิกาปลุกกำลังบรรเลงเสียงเพลงอยู่นั้น ผมมีอาการง่วงนอนโคตรๆ ครับ ไม่สามารถลุกขึ้นมาตามเวลาที่นัดเอาไว้ได้จริงๆ แต่! ดันมาตื่นเอาตอนนาทีที่ 52 ของเกมซึ่งเป็นจังหวะภาพช้าในขณะที่ เจมส์ มิลเนอร์ กำลังสับไกผ่านบรรดากองหลัง แมนฯ ยูฯ เข้าไปซุกที่ก้นตาข่ายอย่างพอดิบพอดี จึงถามตัวเองเบาๆ ว่า "ตื่นมาทำไมตอนนี้ฟะ"

        ภาพรวมของ แมนฯ ยูฯ เล่นสู้ แมนฯ ซิตี้ไม่ค่อยได้ครับ ถึงแม้ว่าจะเล่นในโรงละครแห่งความฝันของตัวเองก็ตาม ...แกเร็ธ แบร์รี่ เป็นนักเตะของเรือใบสีฟ้าคนนึงที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในจังหวะตัดเกม หลายครั้งนะครับที่นักเตะ แมนฯ ยูฯ กำลังต่อเกมขึ้นมา และกำลังจะพลิกตัวเพื่อเล่นบอลต่อ เป็นเวลาไม่ถึง2 วินาทีครับ คุณจะเห็น แกเร็ธ แบร์รี่ อยู่ตรงหน้า และเข้าปะทะเพื่อแย่งบอลอย่างหนักหน่วง ทำให้เกมแดนกลางของ แมนฯ ยูฯ ไม่มีความต่อเนื่อง

        แต่แล้ว แมนฯ ยูฯ ก็มาได้ประตูตีเสมอจากการใช้ไหล่เป็นอาวุธแทนการใช้หัวโหม่งของ ฟิล โจนส์ ซึ่งลูกบอลก็ไปชนตัวของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี เซนเตอร์แบ็กเบลเยียม เป็นประตูตีเสมอให้กับ แมนฯ ยูฯ ...ซึ่งเครดิตการทำประตูนี้ก็กลับกลายเป็นของ ก็องปานี ไป แบบที่เจ้าตัวคงไม่ค่อยปลื้มนัก

        ฟอร์มของ ฟิล โจนส์ หลังจากที่สะใจในการทำประตูแล้ว ดูมีความมั่นใจมากขึ้น วิ่งไล่บอลและเข้าสกัดจังหวะสวยๆ ได้หลายครั้ง แต่ก็ต้านทานความเก๋าและความแข็งแกร่งของกองหน้าชาวอาร์เจนไตน์อย่าง กุน อเกวโร่ไม่ไหวจริงๆ

        ...ในนาทีที่ 78 หลังจากที่กุนจัดการแหวกเฟอร์ดินานด์ที่ตามไม่ทัน แถมยังมี เวลเบ็ค ที่ลงมาช่วยกดดันถึงกรอบเขตโทษ และ ฟิล โจนส์ ประกบเป็นแซนด์วิชอยู่ด้านหน้าเพื่อป้องกันการยิง แต่ กุน ก็ยังใช้ความสามารถเฉพาะตัวจากจังหวะการแตะบอลหาช่องที่ได้เปรียบอันน้อยนิด ซัดด้วยขวาเต็มข้อเสยหน้า เด เคอาเข้าไปอย่างงดงาม

        อึ้งสิครับ... เจอนักเตะคนเดียวแหวกกองหลังเข้ามายิงแบบนี้ แถมเวลายังเหลือประมาณ 10 นาทีเศษๆรวมทดเวลาด้วย รูปเกมก็ยังเป็นรองอีกต่างหากแมนฯ ยูฯ พยายามโหมบุกหนัก แต่ก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร การเปลี่ยน วาเลนเซีย, ชิชาริโต้ และ คางาวะลงมาก็ช่วยอะไรทีมไม่ได้มาก จนกระทั่งหมดเวลาการแข่งขันแมนฯ ยูฯ จึงพ่ายแพ้คาบ้านไป 1-2 ทำให้โอกาสในการคว้าแชมป์ที่มากขึ้นกลับยังต้องมีลุ้นอีกต่อไปในนัดที่เหลือ

        ดูจากฟอร์มการเล่นในแมตช์นี้แล้วต้องบอกว่าเรือใบสีฟ้า น่ากลัวครับ บอกได้เลยว่า แมนฯ ซิตี้ เครื่องติดช้าไปจริงๆ ในฤดูกาลนี้ ถึงฟอร์มของปีศาจแดงในช่วงต้นฤดูกาลจะเสียประตูง่าย เสียประตูก่อน แต่ก็สามารถเก็บ 3 แต้มได้อยู่ตลอด

        ณ ขณะนี้ 2 ทีมบนหัวตารางพรีเมียร์ลีก ผ่านการแข่งขันไปแล้วทั้งหมด ทีมละ 31 นัด ดูจากสถิติแล้วเรือใบสีฟ้าทำผลงานแบบใจดีๆ แบ่งแต้มกับคู่ต่อสู้ ทั้งในบ้านและนอกบ้านรวมกันแล้วเสมอไปถึง 8 นัด! ส่วนปีศาจแดงนั้นใจร้ายไม่ชอบแบ่งแต้มให้คู่ต่อสู้เท่าไหร่ จึงมีผลเสมอจากการเป็นทีมเยือนเพียง 2 นัดเท่านั้น! ...แต่ยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ทีมพ่ายแพ้ไปทีมละ 4 นัดเท่ากัน

        เพื่อความชัวร์แบบที่สุดโดยไม่ต้องนับผลต่างจากประตูได้เสียและ ไม่ต้องพึ่งพาทีมอื่น ถึงแม้ว่า แมนฯซิตี้ จะชนะทุกนัดที่เหลืออยู่ก็ตาม แมนฯ ยูฯ จะคว้าแชมป์ได้แน่นอนก็ต่อเมื่อเก็บอีก 10 คะแนนจาก 7 นัดที่เหลือ

        ทั้งหมด ...และเงื่อนไขนี้ก็ขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันของแมนฯ ซิตี้ ด้วย ถ้าเรือใบสีฟ้าเกิดพลาดท่าเสมอหรือแพ้ขึ้นมาสักนัด แมนฯ ยูฯ ก็จะคว้าแชมป์ได้ง่ายขึ้นเยอะเลยทีเดียว

        อีก 7 นัดที่เหลือของ แมนฯ ยูฯ นั้น มีดังนี้ครับ... สโต๊ค (เยือน), เวสต์แฮม (เยือน), แอสตัน วิลล่า (เหย้า), อาร์เซน่อล (เยือน), เชลซี (เหย้า), สวอนซี (เหย้า), เวสต์บรอมวิช (เยือน) ...จากการคาดการณ์ของผมนะครับ ทีมที่มีลุ้นแบ่งแต้มและคาดว่าอาจจะแย่งแต้มไปจาก แมนฯ ยูฯ ได้ก็มี อาร์เซน่อล, เชลซีและ เวสต์บรอมวิช นี่แหละครับ ถึงแม้ว่าทั้ง 3 ทีมนี้จะไม่ได้ลุ้นแชมป์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีกและยูโรปา ลีก ให้แย่งชิงกัน จึงต้องใส่กันเต็มที่อยู่ดี

        ส่วนกรณีของ แมนฯ ซิตี้ มีที่น่าหนักใจและเป็นก้างขวางคออยู่ทีมเดียว ก็คือ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์นอกนั้นทีมอย่าง เวสต์บรอมวิช, วีแกน, เวสต์แฮม, สวอนซี,เร้ดดิ้ง และ นอริช คงไม่น่าหนักใจเท่าไหร่สำหรับทีมที่กระหายในชัยชนะอย่างแมนฯ ซิตี้ ในตอนนี้...

        จบสิ้นฤดูกาล ถ้า แมนฯ ยูฯ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกจริงๆ จะบอกว่าบรรดายักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่แข่งนั้นเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานก็คงจะไม่ ผิดนัก แต่ฤดูกาลหน้าถ้า แมนฯ ยูฯไม่มีการเปลี่ยนแปลงทีมให้ดีกว่านี้ บอกได้เลยว่า บัลลังก์ความยิ่งใหญ่ได้สะเทือนอีกรอบแน่ๆ

        ก็ลองมาลุ้นกันดูครับว่า แมนฯ ยูฯ จะสามารถคว้าแชมป์ได้ในแมตช์ไหน หรือว่าจะไม่ได้เลย?!

        ฤดูกาลที่แล้ว ผมก็มั่นใจแบบนี้แหละครับ...ถามว่า "แล้วตอนนี้ ยังมั่นใจอยู่มั้ย?" ตอบได้เลยว่า "มั่นใจมาก! แต่ มันก็ไม่แน่นอนน้าาาา 555" ...รักคนอ่านนะครับ

เครดิต สยามสปอร์ต