"ไล่หรือไม่ไล่ดี"
เชื่อว่าช่วงเวลาสั้นๆกับฟอร์มขึ้นๆลงๆของทีมเรือใบสีฟ้าตลอด 3-4 นัดให้หลัง คงพอทำให้แฟนบอลบางกลุ่มเริ่มค่อนแคะสงสัยกับแนวทางการทำทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ บ้างแล้ว
หลายเหตุหลายประเด็นเกี่ยวกับการวางแทคติคที่เน้นความรัดกุม ไม่เสียไว้ก่อนเป็นรอดตัว หรือจะเป็น การวางมาดนิ่งและนิยมใช้ไม้แข็งกับนักเตะตามระบอบเผด็จการ(คล้ายประเทศใดหว่า??? ฮิๆ) ประมาณว่าความคิดกรูเป็นใหญ่ อะไรเทือกนี้ดูเหมือนจะสร้างความอึดอัดให้กับเหล่าสตาร์ดังไม่น้อยเลย
กับสภาพการณ์ของทีมที่ก้าวขึ้นมาเป็น 1 ในทีมใหญ่แห่งเกาะอังกฤษด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว มีพร้อมสุดขีดทั้งกำลังทรัพย์ บุคลากร หรือแม้กระทั่งฐานแฟนบอล ก่อให้เกิดแรงกดดันมหาศาลแก่ ซินยอร์ มันชินี่ ผู้ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
แฟนบอลหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนครับ ไม่ใช่เพียง แข้งระดับสตาร์ที่หลั่งไหลเข้ามาด้วยแรงจูงใจที่เรียกว่า "เงิน" แต่เหมารวมไปถึงความชัดเจนในแนวทางการเล่น
"ก้าวแรก"สำหรับเทรนเนอร์ทีมระดับกลางๆทีมที่ลุ้นพื้นที่ถ้วยใบเล็กยุโรป หรือแม้แต่ทีมยักษ์หลับอย่าง ลิเวอร์พูล ในยุคปัจจุบัน คือการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ผู้จัดการทีมมีโอกาสได้ลองผิดลองถูก ทำความเข้าใจระบบการจัดการ หรือรากฐานการเล่นเก่าๆที่นักเตะคุ้นเคย เพื่อที่จะใช้เวลาในการปรับจูนแนวทางกันใหม่
แต่สำหรับ มันชินี่ "ก้าวแรก" คือการนับไปไกลถึงหลัก 50 แถมด้วยพื้นที่ให้นั่งๆยืนๆระดับ วีไอพี บนปล่องภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทุกความผิดพลาดคือหายนะ
การยึดแนวทางการจัดการในอุดมคติของตัวเองเป็นสิ่งแรกที่ผู้จัดการทีมชั้นยอดพึงมี จะเลือกปฎิบัติกับนักเตะอย่างไรให้ได้ความเคารพและเชื่อมั่น
เซอร์ เอล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวนเกอร์ สองผู้จัดการทีมลายครามที่ได้รับการยกย่องในระดับสูง ต่างก็มีอุดมการณ์ในการจัดการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
"แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการพาทีมประสบความสำเร็จโดยการคว้าแชมป์"
ถ้าเปรียบ เซอร์ เอล็กซ์ เป็นอาจารย์สอนหนังสือก็คงคล้ายๆอาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่คอยยืนถือไม้เรียว รอฟาดก้นเกรียนที่ชอบทำผิดกฎทั้งหลายแหล่ ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง จนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้วิชา ในขณะเดียวกัน เวนเกอร์ ก็คงไม่ต่างจากอาจารย์ สอนพระพุทธศาสนา ค่อยพูดค่อยจา ไกล่เกลี่ยให้เห็นทางสว่างกันถ้วนหน้า(ก็คือคำพูดปลอบใจกันทุกปีที่วืดแชมป์ 555+)
ผลงานของอดีตดาวเตะลาซิโอตั้งแต่ผันตัวมาเป็นกุนซือนั้นโดยรวมถือว่า มีคลาส สร้างบารมีได้ในระดับหนึ่งจากการพา อินเตอร์ มิลาน คว้า แชมป์ กัลโช่ และ โคปปา อิตาเลีย เป็นว่าเล่น
หากจะบอกว่า โรแบร์โต้ มันชินี่ เคยเป็นเทรนเนอร์เบอร์หนึ่งในลีกแดนมะกะโรนีคงไม่ผิดนัก แต่สำหรับเมืองผู้ดีเค้าเป็นเพียงผู้จัดการทีมระดับ Rookie ผู้ซึ่งมาใหม่เท่านั้น "สิ่งที่ มันโช่ ต้องเคารพ คือ การแข่งขันระดับสูงลิบในพรีเมียร์ลีก ที่ทีมใหญ่พร้อมที่จะแพ้ให้กับน้องใหม่ได้อย่างไม่อายฟ้าดิน ซึ่งก็มีให้เห็นกันทุกๆปี ไม่ใช่การไล่ทุบนักมวยคนละไซส์อย่างที่เคยทำได้ในอิตาลี"
การเริ่มต้นทีละก้าวจากการให้โอกาสนักเตะที่มีประสบการณ์เพาะบ่มแข้งใน อังกฤษ มาก่อนเป็นสิ่งแรกที่ควรตระหนัก นักเตะอย่าง คาร์ลอส เตเวส และ อดัม จอห์นสัน รู้วิธีปั่นหัว และเอาตัวรอดจากบรรดากองหลังที่เข้าบอลหนักหน่วง ในขณะที่โคโล่ ตูเร่ และ แวงซอง กอมปานี ตอบสนองการโจมตีที่รวดเร็วของแนวรุกทีมคู่แข่งด้วยความเด็ดขาดในการดักสกัดได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ผู้จัดการทีมยังต้องการเวลาศึกษาคู่แข่งใหม่ๆ นักเตะเก๋าๆที่กรำศึกหนักในลีกภายในประเทศมาก่อนนี่ละครับที่สำคัญยิ่งยวด คอยประคับประคองรูปทรงการเล่นของทีมให้มีความยืดหยุ่น และคงเส้นคงวามากที่สุด
แต่ ณ ที่นี้ เรากำลังพูดถึงนักเตะใหม่จำนวนหนึ่ง กับผู้จัดการทีมที่กำลังเก็บ Level นอกจากจะต้องทำความรู้จักทีมตัวเองให้ได้เร็วที่สุดแล้ว ยังต้องรีบทำความคุ้นเคยกับการแข่งขันบนเวที EPL นี้ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นที่สุดด้วยอีกต่างหาก
คงไม่ต้องทำไม่ทำมือบอกใบ้ให้มากความก็คงพอเดากันได้ว่ามันเป็นงานสุดหินของอดีต เทรนเนอร์ แห่งทีม เนรัซซูรี่ อย่างแท้จริง
มันโช่ อาจมีอีโก้สูงลิบ ด้วยผลงานในอดีตที่ไม่เป็นรองใคร แต่หากทัศนคติเข้ากับนักเตะไม่ได้ เก่งปานเทพแค่ไหนก็คงเค้นฟอร์มให้นักเตะเอาดีไม่ไหวแน่
หมากและมันสมองของโค้ช + ความสามารถและไหวพริบของนักเตะ แบ่งเป็นสัดส่วน 30/70 ต่อให้แผนดี แต่นักเตะ ไม่มีใจทำ หรือ ทำกันไม่ได้ก็เท่านั้น
มานู อเดย์บายอร์ ,อดัม จอห์นสัน และ กัปตันซูเปอร์สตาร์ คาร์ลอส เตเวส พาเหรดกันยี้ มันชินี่
การปล่อยให้มีข่าวฉาวมาทำลายบรรยากาศในห้องแต่งตัว ส่งผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นของนักเตะอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายปัญหาต่างๆก็ตามมาแบบ Non-stop เมื่อพ่อค้าแข้งดังๆที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสเริ่มงอแง ไม่พอใจกับการเริ่มต้นบนม้านั่งสำรองบ้าง ขู่จะย้ายทีมบ้าง หรือ ไม่เว้นแม้แต่การเอาเรื่องในมุ้งมาเปิดโปงกันให้สนุกปาก
ถามว่าคนที่ปวดใจมากที่สุดคือใคร???
"ตอบง่ายๆ ทุกฝ่ายที่เทใจให้เรือใบสีฟ้าไงครับ"
มีใครบางคนเคยบอกว่าไม่มีสตาร์คนไหนจะใหญ่ไปกว่าผู้จัดการทีม แต่นั่นเป็นกรณีที่เทรนเนอร์มีแรงหนุนที่ดีจากบอร์ดบริหารและเป็นที่บูชาเยี่ยงปูชนียบุคคลของแฟนบอล พูดง่ายๆคือบารมีถึงนั่นแหละ
ต่างจากในเคสของ น้ามันโช่ กับ ทีมมหาเศรษฐีแห่งเมือง แมนเชสเตอร์ ที่มีข่าวประโคมออกมาอยู่ตลอดว่านักเตะหลายคนเริ่มไม่มีความสุขกับการฝากอนาคตไว้ในถิ่น อีสแลนด์ เสียแล้ว เช่นเดียวกับแฟนบอลที่ไม่ค่อยประทับใจกับฟอร์มในสนามของทีมซึ่งขาดความต่อเนื่องในการเก็บชัยเหนือคู่แข่งที่ต่ำชั้นกว่า
ฉะนั้นความเชื่อดังกล่าว จึงไม่อาจใช้กับกรณีของ RM แอนด์ เดอะ ซิตี้ส์ ได้เลย
กลับกลายเป็น มันชินี่ เองเสียอีก ที่ต้องพยายามเกลี้ยกล่อม และหันมาปฎิสัมพันธ์กับนักเตะให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ปัญหาก็คือผู้จัดการทีมที่มีทิฐิสูงและยึดมั่นในแนวคิดของตนเองเป็นที่สุดอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ จะทำได้ดีขนาดไหน (และจะทำจริงจังหรือไม่???) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจในฝีมือ มันโช่ ของเบื้องบนอย่าง ชีค มานซูฮ์ อัล ราห์ยาน ด้วยว่าจะสนับสนุนแนวทางการทำทีมของผู้จัดการทีม มากกว่าการกังวลที่จะต้องสูญเสียสตาร์ตัวชูโรงภายในทีมไปหรือไม่
"มันโช่ VS นักเตะระดับสตาร์"
ฝั่งไหนจะมีน้ำหนักกว่ากันสำหรับ ผู้บริหารและแฟนบอล
เมื่อเป้าหมายข้างหน้ายังเป็นการเก็บชัยชนะในทุกๆนัด(หากเป็นได้)เพื่อรักษาโอกาสในการลุ้นแชมป์ต่อไป
แต่ก่อนอื่นและเหนือสิ่งอื่นใดคงต้องภาวนาให้กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ค้นหาวิธีเอาชนะใจลูกทีมบางคนให้ได้เสียก่อน
ถึงเวลานั้น ชัยชนะ ของ มันชินี่ และ ชัยชนะของบรรดา Star Players คงเป็นเรื่องเดียวกันที่ทำได้อย่างสนิทใจซะที
พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าว่าชัยชนะ ของ "ทีม" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากกว่าการพยายามเล่น/ทำให้ดี เพื่อหักหน้าใคร
River
ปล. ผมขออภัยหากบทความ ขาดตกบกพร่องในการเรียบเรียง เนื่องจากแอบใช้เวลาทำงานในการจรรโลงบทความนี้ขึ้นมา พอดีรู้สึกเหมือนมีอะไรให้ขีดๆเขียนๆ
ปล.2 ขอบคุณท่านที่สนับสนุนงานเขียนมาโดยตลอด ท่าน MancityEagle พี่รุ่ง ลุงเล็ก คุณ Bluesea ท่าน Kimsung ชิจัง คุณไม่ให้ฟ้อง ป๋า CC และอีกหลายๆท่านที่จำชื่อไม่ได้และไม่ได้เอ่ยถึง ขอให้บทความนี้กล่าวแทนคำว่าสวัสดี และความคิดถึง
Tags:
© 2024 Created by thaiMCFC. Powered by