Members

หากกล่าวถึงซีซั่นฟุตบอลนี้ ทีมที่ถูกกล่าวถึงที่สุดในโลก หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น รีลมาดริด ที่ทุ่มเงินคว้าสองในสามนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกไปแบบชิลๆ หรือบาร์เซโลน่า ที่เ้จ้าของแคว้นคาตาลันแสดงสัมแดงเดชแผลงฤทธิ์ประหนึ่งมนุษย์ต่างดาวบุกโลก เล่นฟุตบอลที่ทีมอื่นโงหัวไม่ขึ้น

นี่ขนาดตลาดซื้อขายนักเตะยังไม่เปิดเต็มตัว แต่การซื้อขายก็เริ่มขึ้นอย่างกระจุยกระจายชนิดว่าทีมที่มีเงินทุนด้อยกว่าได้แต่ชะเง้อมองตาปริบๆ

ในขณะที่การจากไปของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำให้ทีมบิ๊กโฟร์ที่เหลือเกิดอาการคึกจัด เป็นข่าวเสริมทัพกระจายแทบจะไม่ลืมหูลืมตาในทันที และเป็นที่น่าสงสารสำหรับลีกกัลโช่ ที่เงียบเหงาจริงๆปีนี้ และอาจจะเงียบที่สุดเลยก็เป็นได้

แต่หากไม่กล่าวถึงการซื้อขายระดับโลกของรีล มาดริด หรือว่าการจากไปของโรนัลโด้แล้ว ประเด็นที่ร้อนแรงไม่แพ้กันคือประเด็นของ เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือที่มีฉายากันว่า The Citizens



ทีมนี้ถ้าให้สาวประวัติยาวยืด สำหรับคนนอกที่ไม่รู้จัก คงต้องเริ่มตั้งแต่ ตำนาน 99แต้มในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ที่นำโดย เควิน คีแกน ก่อนที่จะหนีตกชั้นอย่างยากลำบากในฤดูกาลถัดมา จากนั้นก็ตามมาด้วยการเข้ามาปูพื้นฐานของ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ที่เรียกได้ว่าเข้ามาเป็นจุดเปลี่ยนของสโมสร

ในตอนนั้น ดร. ทักษิณ ได้สร้างความหวัง และโยนแรกกดดันมหาศาลที่เรียกว่า "ความคาดหวัง" ลงไปจำนวนมาก โดยหลังจากนั้นก็ดึงผู้เล่นตัวหลักเข้ามาในทีมหลายคน และเอากุนซือฟรีเซกส์อย่าง "สเวน โกรัน อิริกซัน" เข้ามาในทีม

ในตอนแรก แมนเชสเตอร์ซิตี้ เต็มไปด้วยความมั่นใจ ผลงานเปรี้ยงปร้างมาก ต้องยอมรับว่าฝีมือทำทีมของ "เฮียเถิก" เยี่ยมจริงๆ และสามารถแบกรับความคาดหวังที่หนักหน่วงเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าภายหลัง สภาพจิตใจของนักเตะจะแย่ลงไปมาก รวมถึงเริ่มทนรับความกดดันต่างๆไม่ไหว บวกกับอาการที่มีนักเตะที่พอใช้งานได้ โรเตชั่นกันน้อยเกินไป ทำให้สุดท้าย "เดอะซิตี้เซน"ที่กำลังพุ่งแรง ต้องเป็นอันผลงานตกลง ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะปัจจัยกุนซือเสียทั้งหมด แต่เป็นเพราะปัจจัยทางด้านสภาพจิตใจและการกรำศึกหนักด้วย

การแพ้ เดอะโบโร่ เละเทะในสกอร์ที่ไม่อาจกล่าวถึงทำให้นักเตะท้อแท้อย่างมากที่สุด

มาร์ค ฮิวจ์ เป็นผู้จับการทีมที่ต้องมารับเผือกร้อนจากสภาพจิตใจย่ำแย่ของนักเตะ เขาเริ่มทำการรวมทีมขึ้นใหม่ ภายใต้ความกดดันที่ต่ำกว่าสเวน เพราะจุดประสงค์แต่แรกคือการสร้างทีมที่อยู่รอดในพรีเมียร์ลีกให้ได้ก่อนหนึ่งฤดูกาล โดยการเสริมทัพตอนแรกนั้น น้อยๆแต่พอดี เพื่อให้ประครองสถานะของตัวเองไว้ได้

แต่ปรากฏว่าจู่ๆ บุญก็หล่นทัีพหัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ มาร์ค ฮิวจ์ โดนกองเงินที่เรียกว่า "ชีคอาหรับ" หล่นใส่ จนความกดดันมหาศาลเข้ามาหาทั้งคนและนักเตะชนิดตั้งตัวไม่ติด และการเสริมทัพนั้น ฮิวจ์ที่เลือกมาแต่นักเตะที่สามารถปั้นเป็นเพชรได้ แต่ก็มีเพชรแท้เข้ามาก้อนสุดท้าย นั่นก็คือ "โรบิญโญ่"

ซึ่งแน่นอนว่าผู้จัดการทีมมั่วแทคติกผู้นี้ไม่ได้อยากได้หรือว่ามีความต้องการแต่อย่างใด แต่เพราะอยู่ๆเจ้าของก็เปลี่ยนมือใหม่ ความเชื่อมั่นในตัวเขาก็เริ่มคลอนแคลน จุดยืนและความกดดันก็โถมเข้ามามหาศาลทั้งคนทั้งนักเตะ ทำให้พอตลาดเปิดใหม่ ฮิวจ์ก็ต้องซื้อนักเตะที่มีคลาสกว่าเดิม แทนที่จะยอมเสียเวลาปั้นพวกเด็กเอ๊าะอีกหน่อย เพราะว่าตัวเองอยู่ภายใต้หัวข้อ "สร้างทีมที่มีความแข็งแกร่งในการแย่งชิงแชมเปี้ยนลีก" ขึ้นมา

การมาของนักเตะใหม่ของฮิวจ์ ถ้าไม่มองในแง่ร้าย ถือว่าเป็นการซื้อตัวที่ยอดเยี่ยมทุกตัวทีเดียว เบลลามี่ทำให้เกมส์รุกที่ตีบตันของแมนเชสเตอร์ซิตี้ กลับมาดีขึ้น เดอยอง ทำให้การจ่ายบอลสภาพคล่องตรงกลาง ถ่ายไปมาได้ตลอด และทำให้ไอร์แลนด์เล่นเกมส์รุกได้เต็มตัว ในขณะที่การมาของ บริดจ์ ก็พอที่จะกลบจุดอ่อนที่ค่อนข้างแย่ของ จาเบียร์ การิโด้ ได้ดีทีเดียว และถ้าไม่นับข่าววืดกาก้า ต้องเรียกว่า ซิตี้ โหดมากทีเดียวในการซื้อตัว

ส่วนที่เป็น เดอะ เบส มากที่สุด คงหนีไม่พ้น เชย์ กิฟเว่น

โจ ฮาร์ท ไม่ใช่ไม่ดี แต่ต้องบอกว่า เชย์ เหนียวกว่า โจ เป็นอย่างมาก ซึ่งเจ้าตัวก็ต้องยอมรับโดยสดุดี

แต่เป็นโชคร้ายของฮิวจ์ ที่พอซื้อตัวเสริมทัพปุ๊บ ความแพรวพราวของโรบิญโญ่ที่เคยมีในต้นซีซั่น ก็หายไปด้วยเช่นกัน

นั่นทำให้แมนเชสเตอร์ซิตี้ ไม่ได้เด่นเกมส์รุกเหมือนต้นฤดูกาลแรก ฮิวจ์กลับมากดดันอีกครั้ง พร้อมกับเสียงด่าของชาวแมนเชสเตอร์ซิตี้ไทยแลนด์ ประกาศว่า "มาร์ค ออกไป!!" ไม่อาจทราบว่าท่านกล่าวถึงมาร์คไหนนะ


ขณะนี้ ฮิวจ์ึคัมแบ็กกลับมาแล้ว พร้อมกับพยายามปิดจุดอ่อน และเสริมจุดแข็งของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้เต็มตัวอีกครั้ง

การมาของ แบร์รี่ จะทำให้การเชื่อมเกมส์ตรงกลางลื่นไหลขึ้น และการได้กองหน้าที่ไว้ใจได้อย่างซานตาครูซ น่าจะทำให้การครองบอลในแดนหน้าสูงขึ้น นั่นเท่ากับว่า โอกาสที่จะต่อบอลบุกไปทำประตูสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

แล้วยังมีข่าวของ เตเบซอีก ซึ่งความจริง ฮิวจ์อาจไม่ต้องการก็ได้ เพราะดูเหมือนตำแหน่งของทีมเต็มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ต้องดูกันต่อๆไป

และในตอนนี้เอง ที่ทำให้แฟนของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง การซื้อขายที่มองเห็นได้ชัดๆว่าทำเพื่ออะไร แต่สิ่งเหล่านั้นก็กลับมาพร้อมกับความกดดันมหาศาลที่หล่นทัน มาร์ค ฮิวจ์.... ความกดดันที่เรียกว่า "ความคาดหวัง"

หวังว่ามาร์คฮิวจ์ จะอยู่รอด






พึ่งเคยเขียนแนวแบบคอลัมน์ครั้งแรก เห็นคนอื่นเขียนกันเยอะ เลยลองเขียนดูบ้าง

Views: 121

Reply to This

Replies to This Discussion

ยอดเยี่ยม เขียนได้ครบถ้วนแถมมีภาพประกอบที่ไม่ขักเนื้อเรื่องด้วย ให้คะแนนเอาไป 5 กะโหลก
ok ครับอ่านเพลิดดี ว่างๆเขียนมาใหม่นะ
อย่างที่ผมเคยแสดงความเห็นก่อนหน้านี้ จบฤดูกาลนี้ไม่มีตั๋ว ucl ท่านหิ้ววววว... ลำบากแน่ การเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลล์ ก็เหมือนผู้จัดการบริษัท จะทำอย่างไรให้ศักยภาพของพนักงานได้พุ่งมาอย่างเต็มที่ บางคนไม่ติดตาผู้อยู่วงนอกแต่ความจริงเขาอาจมีจุดเด่นซ่อนอยู่ หรือบางคนศักยภาพสูงแต่มีจุดด้อยซ่อนอยู่เหมือนกัน ทำอย่างไรจุดเด่นที่มีอยู่จะออกมาพร้อมๆ กันกับจุดด้อยถูกฝังดิน
เขียนได้ดีนะ

แต่ผมว่าฮิวส์ต้องการเตเบซนะ
แหม..พี่แบล็ค ยอมออกมาวาดลวดลาย ร่ายปลายปากากาให้อ่านอีกคนแล้ว...
เห็นมั๊ยคะ..ยัยชิ บอกแล้ว "กรุงศรีอยุธยา ไม่สิ้นคนดี ฉันท์ใด...สมาชิกเรือใบก็ ไม่สิ้นคนมีฝีมือฉันท์นั้น" (สะกดถูกป่าวนิ??) ดีใจจังคะ ที่เห็นพี่ๆ ออกมาเขียนบทความเจ๋งๆ ให้ ทุกคนได้อ่าน ขอเป็นกำลังใจให้เลยคะ เยี่ยม!! อิอิ...
มาอ่านอีกคน แบล็ค เอาจนได้ ก้อคุยกัน เป็นอึกคนที่รู้เรื่องบอลดี

เขียนมาแบบนี้ก้อ โอเคเลยครับ เขียนบ่อยๆนะ จะรออ่านอีกครับ^^
ขอบคุณสำหรับคำชมครับ

ส่วนคนที่เอาคอลัมน์ผมไปลง soccersuck กรุณาลบข้อความคอลัมน์ด้วยครับ ผมไม่อนุญาติให้เอาไปลงครับ

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.