ลำพังข่าวการเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ย่อมไม่สร้างข่าวตื่นตะลึงอะไรมากมายนัก เนื่องจาก “ซิตี้” นั้นก็เป็นเพียงแค่ทีมระดับกลางและสถานการณ์ในการบริหารทีมก็มีปัจจัยเสี่ยงเป็นทุนเดิมจากกรณีปัญหารุมเร้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตเจ้าของซิตี้คนเก่าใชเพียงจะมีปัญหาเรื่องการเงินที่ถูกอายัดไว้ที่ไทยหลายหมื่นล้านบาทแล้ว กรณีเรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติจากทางพรีเมียร์ลีกที่เข้มงวดและส่งสัญญาณอันตรายว่าอาจจะไม่ผ่านการตรวจสอบเนื่องจากมีหนีคดีความที่ไทยมาอยู่ในอังกฤษ ซึ่งอยู่ในฐานะไม่ต่างะไรจากผู้ร้ายข้ามแดน
การที่จะมีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจกันเพื่อปลดภาระของ พ.ต.ท.ทักษิณ และความมั่นคงของซิตี้ก็เป็นทางออกสำหรับทุกฝ่าย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงการผ่องถ่ายอำนาจจากนายทุนคนหนึ่งไปสู่นายทุนอีกคนหนึ่ง
มันกลับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความตื่นตะลึงและกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกคาดว่าอาจจะพลิกโฉมหน้าของเกมฟุตบอลอังกฤษอย่างสิ้นเชิงอีกครั้ง
ด้วยอำนาจเงินมหาศาลของอาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป ฟอร์ ดีเวลลอปเมนต์ (Abu Dhabi United Group for Development หรือ ADUG) – บริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษเพื่อใช้ทำการเทคโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นการเฉพาะ - มันสามารถดลบันดาลให้ทีมแห่งอีสท์แลนด์กระชากโรบินโญ่ ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกเข้ามาร่วมทีมได้ภายในระยะเวลาการเจรจาแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น
การซื้อตัวครั้งนี้เป็นการประชาสัมพันธ์พลังและอำนาจอันล้นฟ้าของกลุ่มทุนที่ร่ำรวยด้วย “ทองคำดำ” ที่ฝังอยู่ใต้ผืนดิน ที่ทำให้ชื่อของพวกเขาติดปากชาวโลกอย่างรวดเร็ว
ด้วยอำนาจทางการเงินของพวกเขานั้นยากนักจะหยั่งถึง ไม่ต่างจากหลุมดำที่มืดมิดอนธการที่เจาะลึกลงไปใต้ผิวโลกเพื่อขุดหาน้ำมันมาขาย
และด้วยเป้าหมายที่ไม่ใช่เรื่องของการประกอบธุรกิจทำให้พวกเขาไม่ยี่หระที่จะใช้จ่ายเงิน – เป็นจำนวนมหาศาลในความรู้สึกของผู้คน - ที่เป็นเพียงเศษเงินในความรู้สึกของพวกเขา ผู้มีทรัพย์สินรวมกันไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านปอนด์ หรือกว่า 35 ล้านล้านบาท (งบประมาณประเทศไทยกว่า 30 ปี)
สิ่งที่ต้องตอกย้ำคือเป้าหมายของ ADUG ภายใต้การนำของดร.สุไลมาน อัล-ฟาฮิม ซีอีโอผู้จะเป็นตัวขับเคลื่อนสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือการสร้างทีมที่ถูกขนานนามใหม่เป็น “มิดเดิล-อีสท์ แลนด์” นั้นไม่ใช่การเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่เป็นการสร้าง “ภาพ” แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยของทุนจากอาหรับให้ประจักษ์ในสายตาและความรู้สึกของชาวโลก
เหนือกว่านั้นคือการลบภาพการอยู่ใต้ร่มเงาของ “ดูไบ” อีกหนึ่งรัฐใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ดูมีชื่อเสียงมากกว่าในสายตาของชาวโลก
ที่จำเป็นต้องกล่าวนำเสียยืดยาวขนาดนี้นั้นก็เพื่อสร้างความ “เข้าใจ” อันดีให้เกิดขึ้นถึงเบื้องหลังของการเจรจาที่มีโอกาสสูงที่จะพลิกชะตาโลกฟุตบอลไปอีกด้าน
หลังจากนี้เราจะได้ทราบคำตอบต่อคำถามมากมายในเรื่องของการเจรจา
โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่สุดว่าทำไมต้องเป็นทีม “ซิตี้”?
เชิญร่วมติดตามไปพร้อมกันได้ครับ…
เช้าวันใหม่ในวันที่ 31 ส.ค. - สื่อมวลชนในอังกฤษต่างพากันโหมกระพือข่าวการตอบตกลงที่จะขายสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของสโมสรผู้อื้อฉาว โดยมีการเปิดเผยว่าเป็นกลุ่มทุนจากอาบูดาบี ที่ชื่ออาบูดาบี ยูไนเต็ด ซึ่งมีแผนการที่จะเปิด “ฟ้า” ใหม่ให้แก่สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ให้ก้าวไปสู่การเป็นสโมสรฟุตบอลระดับโลกที่แท้จริง
ช่วงดึกของวันเดียวกัน สื่อในอังกฤษก็ต้องตื่นเต้นกับข่าวการซื้อตัวโรบินโญ่ มาจากเรอัล มาดริดด้วยค่าตัวเป็นสถิติของเมืองผู้ดีถึง 32.5 ล้านปอนด์ (บางสำนักระบุ 34.5 ล้านปอนด์)
การย้ายทีมที่เกิดขึ้นคล้อยหลังจากที่มีการยืนยันเรื่องการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง และเป็นไม่กี่ชั่วโมงที่พวกเขายื่นข้อเสนอเพื่อขอซื้อดาวดังมากมายไม่ว่าจะเป็นดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, ดาวิด บีญ่า และมาริโอ โกเมซ ก่อนที่จะมาจบที่โรบินโญ่ ที่พร้อมจะย้ายทีมโดยไม่สนใจเหตุผลอื่นนอกจากไม่ต้องการอยู่ในซานติอาโก เบอร์นาบิวต่อไป
มันเป็นดีลที่น่าเซอร์ไพรซ์
ขณะเดียวกันก็เป็นดีลที่น่าสะพรึงกลัวด้วย
ความสำเร็จในการเข้ามายึดครองสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอาบูดาบี ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่และเป็นการก้าวพ้นจากร่มเงาของดูไบ รัฐคู่แข่งในชาติเดียวกันได้อย่างน่าภาคภูมิ
หากแม้นไม่มีซึ่งตึกระฟ้าที่สูงใหญ่ตระหง่านที่สุดในโลก หรือแหล่งช็อปปิ้งที่มลังเมลืองไปด้วยขนาดใหญ่ยักษ์และแบรนด์สินค้าที่ล้วนเป็นที่สุดของโลกเหมือนดูไบ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาบูดาบี - เมืองหลวงแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็เป็นเมืองที่มีความสำคัญไม่แตกต่าง
น้ำมันกว่า 2.6 ล้านบาร์เรลต่อวันถูกผลิตขึ้นที่นี่ ซึ่งจะนำไปสู่เงินมหาศาลกว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 365 วัน
การเข้ามาซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะใช้เงินไม่มากมายนักเพียงแค่ 150 ล้านปอนด์ แต่ผลที่ได้นั้นคุ้มค่ามหาศาลในแผนการลงทุนต่อเนื่องที่ใช้งบประมาณกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการเป็นพันธมิตรกับฮอลลีวูด, การเข้าถึงสัญลักษณ์ของนิวยอร์คในอาคารไครสเลอร์ และใช้เงินหลายพันล้านเหรียญในการซื้อหุ้นของซิตีแบงค์, เฟอร์รารี่ และซื้อกลุ่มคาร์ไลล์
“แง่มุมที่สำคัญที่สุดก็คืออาบูดาบีนั้นมีการขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินธุรกิจการลงทุนในต่างประเทศ และพื้นที่ที่มีความ ‘เซ็กซี่‘ สำหรับกลุ่มคนรวยที่จะเข้าไปลงทุนนั้นก็คือด้านสื่อและด้านกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพรีเมียร์ลีก” ฟาดี้ อัล ซาอิด ผู้นำในกลุ่มบริษัทการลงทุน ING ที่คาดว่าจะมีการใช้เงินงบประมาณอีกกว่า 1 พันล้านเหรียญสรหัฐฯในปีหน้า
“การสร้างชื่อเสียงให้กับอาบูดาบีนั้นเป็นเป้าหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว การเจรจาตกลงครั้งนี้ในรายการที่มีการแข่งขันสูงอย่างพรีเมียร์ลีกย่อมทำให้มีการพูดถึงทุกคน และพวกเขาก็ได้สร้างความฮือฮาขึ้นอย่างที่ต้องการได้สำเร็จ”
ในเชิงสัญลักษณ์ กรณีความตกต่ำของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรที่ชาวเมืองแมนเชสเตอร์บางส่วนอ้างว่าเป็นสโมสรของเมืองการค้าทางตอนเหนือที่สำคัญของอังกฤษที่แท้จริง ไม่ใช่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรที่แปรสภาพเป็นสโมสรของแฟนบอลต่างชาติทั่วโลก แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็เป็นแค่ “มวยรอง”
เรืองนี้ไม่ต่างอะไรจากชื่อเสียงของอาบูดาบีที่เป็นรองดูไบ ในความรู้สึกของสื่อต่างชาติที่ทำให้คิดถึงเกาะที่สวยงามเต็มไปด้วยต้นปาล์ม, มีลานสกีในร่ม และแหล่งช็อปปิ้งมอลล์ที่เต็มไปด้วยดีไซเนอร์ระดับโลก
การสร้างชื่อเสียงของอาบูดาบี ด้วยการซื้อสโมสรที่อยู่ในลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดและสร้างกระแสฮือฮาด้วยการทุ่มเงินก้อนหนึ่งเพื่อแลกมาซึ่งหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกในการเจรจาที่เหลือเชื่อในระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ถือเป็นการประชสัมพันธ์ตัวเองได้อย่างร้ายกาจที่สุด
ความสำเร็จครั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมชื่อเสียงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่กำลังมีนโยบายในการ “สร้างชาติ” อย่างแข็งขันด้วยการค้าและการลงทุนระดับโลกเช่นนี้อีกด้วย
และพูดให้ตรงกว่านั้นคือ การซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ครั้งนี้ เป็นการลงทุนที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาได้มากที่สุดนับจนถึงทุกวันนี้
หลังการเข้ามายึดกุมอำนาจผ่านทาง “อาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป” - บริษัทจัดตั้งพิเศษที่ก่อตั้งโดยราชสกุลอาบูดาบีเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ - พวกเขาก็ไม่เสียเวลาในการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยการซื้อโรบินโญ่มาจากเรอัล มาดริด โดยที่แทบไม่มีใครอยากจะเชื่อ
แม้กระทั่งริชาร์ด ดันน์ กัปตันทีมของแมนฯ ซิตี้เองก็ยอมรับว่าเหมือนหลับแล้วตื่นมาบนโลกนิทาน 1001 อาหรับราตรี
ดร.สุไลมาน อัล-ฟาฮิม นักธุรกิจที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “โดนัลด์ ทรัมพ์ แห่งอาบูดาบี” และเป็นเจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นหัวเรือสำคัญในการบริหารสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปสู่ความเป็นสโมสรอันดับหนึ่งของโลก ได้เน้นย้ำว่าเป้าหมายที่จะได้รับความสำเร็จเป็นถ้วยรางวัล
แต่เป็นการย้ำจุดยืนและเสริมความโดดเด่นของอาบูดาบีในฐานะเมืองหลวงของทั้งการกีฬาและธุรกิจที่มีน้ำหนักความสำคัญมากกว่า
“พวกเขามองเรื่องนี้เป็นการลงทุน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ชั้นยอดด้วยเช่นกัน” อัล ซาอิดกล่าว
อย่างไรก็ดีมันย่อมมีคำถามเกิดขึ้นว่า หากต้องการที่จะสร้างชื่อเสียงจริงเหตุใดจึงไม่ไปซื้อสโมสรดังอันดับต้นๆที่ประสบปัญหาภาวะทางการเงินอยู่ในขณะนี้อย่างลิเวอร์พูลแทน?
ถึงจะประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อในการ “ประชาสัมพันธ์” ตัวเองต่อชาวโลก
แต่มันก็ยังมีคำถามที่หาคำตอบได้ยากว่าเหตุใดกลุ่มทุนจากอาบูดาบี จึงเลือกที่จะลงทุนกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้แทนที่จะเป็นสโมสรที่ดังกว่าอย่างลิเวอร์พูล หรือแม้กระทั่งอาร์เซนอล ที่ก็ได้รับเงินก้อนใหญ่จากเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ที่ขอใช้ชื่อสนามที่แอชเบอร์ตัน โกรฟ เป็น “เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม” ในสัญญาระยะเวลา 15 ปีด้วยการจ่ายเงินกว่า 100 ล้านปอนด์
ทำไมกันนะ?
แล้วแผนการต่อๆไปของพวกเขาที่จะดำเนินการนั้นมีอย่างไรกันบ้าง
อนาคตของแมนเชสเตอร์ ซิตี้จะอยู่ตรงไหน?
นี่คือบทสรุปของการเปิดโปงแผนพลิกฟ้าของชาวอาบูดาบีครับ
ย้อนหลังกลับไปในปี 2007 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถผลิตน้ำมันได้มากถึงวันละ 2.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งขณะนั้นราคาเฉลี่ยอยู่ที่บาร์เรลละ 68 เหรียฐสหรัฐฯ นำเงินเข้าสู่ประเทศได้ถึงกว่า 84,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯจากการส่งออกน้ำมันและผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากธุรกิจปิโตรเคมี
รายได้จำนวนนี้กว่า 90-95% มาจากอาบูดาบี
“อาบูดาบี เป็นศูนย์กลางพลังงานของยูเออี” กิยาส กุ๊กเคนต์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจของธนาคารแห่งชาติของอาบูดาบี เปิดเผยข้อเท็จจริงอีกด้านที่น้อยคนจะรู้
“ดูไบจะถูกมองในฐานะศูนย์กลางทางการค้ามากกว่า ดังนั้นอาบูดาบีจึงไม่ได้มีความจำเป็นเรื่องด่วนอะไรเหมือนดูไบในการที่จะต้องสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้น และต้องสร้างภาพให้ดูดีไว้ก่อน”
แต่เมื่อเข้ามาทำการลงทุนในแมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้ว แฟนบอล “ซิตี้” ก็สามารถช่วยกันแปลงเนื้อร้องเพลง Blue Moon ให้เป็นเวอร์ชั่นภาษาอาหรับ ระหว่างที่รอทางอาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป (ADUG) ทำการกวาดต้อนนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ของโลกเข้ามาร่วมทีมด้วยเงินงบประมาณกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในอีก 2 ฤดูกาลข้างหน้า
โดยเป้าหมายอยู่ที่การทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพรีเมียร์ลีก
ภายใต้พายุทะเลทรายแห่งการลงทุนที่โหมกระหน่ำทั่วทุกมุมโลกในด้านต่างๆทั้งการค้า กีฬา ธุรกิจ ที่ปัจจุบันมีทุนอาหรับเข้าครอบงำเกือบทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น มูบาดาลา อีกหนึ่งบริษัทจัดตั้งภายใต้ราชสกุลอัล นาห์ยาน ที่นอกเหนือจากการลงทุนใน “ไครสเลอร์” แล้วยังลงทุนในด้านอื่นๆรวมถึงการซื้อหุ้นในบริษัทเฟอร์รารี่ และเป็นจุดเริ่มต้นสู่การนำการแข่งขันฟอร์มูลา วัน (F1) มาขับเคี่ยวกันในถนนกลางทะเลทรายในอาบูดาล (อีกหนึ่งรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
ADUG ภายใต้การนำของดร.สุไลมาน อัล-ฟาฮิม - ความจริงแล้วก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำธุรกิจให้กับชีค มานซูร์ บิน ซาเย็ด อัล นาห์ยาน - ก็ไม่ได้ห่างไกลจากการลงทุนในเกมกีฬา เพราะบริษัทไฮดรา พรอพเพอร์ตี้ของเขาเพิ่งจะทำการสร้างสถาบันฝึกสอนฟุตบอลในอาบูดาบี ร่วมกับสโมสรอินเตอร์ มิลาน
การเซ็นสัญญานั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค. ระหว่างทางด้านทีมเนรัซซูรี่ เจ้าของแชมป์กัลโช่ เซรี อา และสภากีฬาของอาบูดาบี ที่จะสร้างโรงเรียนลูกหนังกลางอ่าวขึ้น ซึ่งทางอินเตอร์เชื่อว่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญในการเฟ้นหานักเตะพรสวรรค์ที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้
แต่การที่หันไปเทคโอเวอร์สโมสรในระดับกลางอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แล้งไร้ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมานานกว่า 32 ปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยยอมรับว่าสนใจที่จะลงทุนในสโมสรระดับที่ดีกว่าอย่างอาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล หรือแม้กระทั่งนิวคาสเซิล จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลก
และเป็นคำถามที่หลายคนคาใจ?
แต่ทางด้านฟาดี้ อัล ซาอิด ประธานบริษัท ING เชื่อว่าการซื้อ “ซิตี้” นั้นจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างมหาศาล
เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย - ซิตี้ และอาบูดาบี
“กับการที่อาบูดาบีมีเงินทุนมากมายมหาศาลและคนที่อยู่เบื้องหลังการเจรจาก็มีเงินมากมายมหาศาลเช่นกัน พวกเขาจึงอยากที่จะใช้เงินก้อนนี้ในการพลิกชะตากรรมของสโมสรแห่งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เหมือนในสิ่งที่มหาเศรษฐีรัสเซีย โรมัน อบราโมวิช เคยทำกับรัสเซียเมื่อ 5 ปีก่อน” อัล ซาอิดเผย
“มันยังเป็นก้าวย่างที่ฉลาดล้ำกว่าในการที่จะสร้างชื่อเสียงให้แก่อาบูดาบีด้วย และผมคิดว่าพวกเขามีทั้งความกล้าและเงินทองมากมายพอที่จะทำได้จริง บางทีมันอาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ดีที่สุด แต่มันจะเห็นผลได้ในระยะยาว”
ส่วนคำถามว่าแล้วทำไมต้องเป็นแมนฯ ซิตี้ ทำไมไม่เป็นทีมระดับกลางทีมอื่นก็ได้? อัล ซาอิดตอบอย่างชัดเจนว่าเหตุผลเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาสโมสรแห่งนี้ประสบปัญหาในการบริหารโดยเฉพาะตัวเจ้าของอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังต้องคดีความอยู่และตกอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาล
“เวลาที่เราจะติดต่อกับสโมสรไหน เราก็ต้องเลือกมองเป้าหมายที่มีโอกาสประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าเอาไว้ก่อน
“ถ้าจะไปเอาสโมสรที่ใหญ่และดีกว่านี้เราอาจต้องจ่ายเงินมากกว่านี้มาก และอาจจะมีการต่อต้านจากแฟนๆด้วย มันจึงเป็นการง่ายกว่าที่จะมองหาสโมสรในระดับรองลงมาและเมื่อมองไปที่โครงสร้างการถือครองกรรมสิทธิ์ในสโมสรแห่งนี้ด้วยแล้ว มันขึ้นอยู่กับคนคนเดียวเท่านั้น”
และนั่นเป็นคำตอบว่าทำไมจึงต้องเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้!
อย่างไรก็ดี หลังเสียงความฮือฮาในเรื่องราวนิทานอาหรับราตรีฉบับแมนเชสเตอร์จะค่อยๆซาลงไป ฟุตบอลอังกฤษก็อาจเตรียมต้อนรับเรื่องราวใหม่ที่อาจจะสร้างความฮือฮาได้มากกว่ากับการเตรียมเข้ายึดครองสโมสรลิเวอร์พูล โดยกลุ่มทุนดูไบ อินเตอร์เนชันแนล แคปิตอล (DIC) – ปีกธุรกิจของดูไบ ภายใต้สายตาคมกริบของชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิน อัล-มัคตูม
DIC ในการนำของซาเมียร์ อัล-อันซารี่ ซีอีโอ มีการแสดงจุดยืนมานับตั้งแต่ปี 2006 ว่าต้องการจะยึดครองสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของอังกฤษให้ได้แม้จะล้มเหลวในการเจรจามาตลอดนับตั้งแต่พลาดโดนจอร์จ จิลเล็ตต์และทอม ฮิคส์ สองเจ้าของสโมสรปาดหน้าคว้าเอาหุ้นในมือเดวิด มัวร์สไปครองในนาทีสุดท้าย
อัล-อันซารี่ คือนักธุรกิจหนุ่มที่เกิดในคูเวตแต่ไปเติบโตในอังกฤษ และเป็นเดอะ ค็อปเลือดข้นมากว่า 30 ปี ที่มีกำหนดการประจำปีว่าในทุกเดือน ส.ค. จะนำลูกชายมาเที่ยวชมเกมฟุตบอลของลิเวอร์พูลทุกนัดในแอนฟิลด์
แม้กระทั่งที่หน้าจอโทรศัพท์ก็ยังมีตราสัญลักษณ์ “หงส์แดง” ปรากฏที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือแบล็คเบอร์รี่
แต่การเจรจาของ DIC นั้นยังเป็นเรื่องในอนาคตที่ไกลกว่าอนาคตที่ ADUG ได้เริ่มต้นทำการเปลี่ยนแปลงแมนเชสเตอร์ ซิตี้
เรามีสิทธิ์ที่จะคาดหวังว่า DIC ในฐานะตัวแทนของดูไบคงจะไม่ยอมให้ ADUG ของอาบูดาบีตบหน้ากันได้ง่ายๆแบบนี้ และคงจะต้องมีการ “สู้” ในเชิงธุรกิจการแข่งขันเพื่อเรียกศรัทธาและบารมีกลับคืนมาบ้าง
โอกาสที่จะเกิด “สงครามอ่าว” ในเกมฟุตบอลอังกฤษ มองตามเหตุและปัจจัยแล้วจึงมีค่อนข้างสูง
เพียงแต่สงครามครั้งนี้ไม่มีผู้แพ้
มีแต่ชัยชนะของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในฐานะผู้ครองโลกเท่านั้น ..
เบื้องหลังการเจรจา 13 ชั่วโมงของดร.สุไลมาน อัล-ฟาฮิม
ดร.สุไลมาน ได้เข้าเช็คอินที่สนามบินอาบูดาบีเพื่อเตรียมเดินทางไปนิวยอร์คแล้ว แต่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาก่อนเพื่อให้ละทิ้งเที่ยวบินดังกล่าวและไปพบกับ “คนแปลกหน้า” ที่ร้านกาแฟคอสต้า ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในกำหนดการของเขาเลย
แต่ “โดนัลด์ ทรัมพ์ แห่งอาบูดาบี” รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เขาต้องทำ เขาต้องไป และทันทีที่เวลาได้เลยกำหนดเที่ยวบินไปแล้ว การตัดสินใจก็ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน
“ผมรู้ได้ทันทีว่ามันจะเกิดการตกลงกันหรือไม่ และผมก็รู้ทันทีว่าเราจะซื้อแมนเชสเตอร์ ซิตี้แน่ มันมีคำถามแค่ว่าจะใช้เงินเท่าไหร่และการเจรจาจะทำได้เร็วสุดแค่ไหน” ดร.สุไลมานเผย
ก่อนหน้านั้น 3 สัปดาห์ ในวันที่ 8 ส.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และอดีตนายกฯรักฐมนตรีไทยได้เดินทางด้วยสายการบินบริติชแอร์เวย์ส ไปปักกิ่งเพื่อร่วมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ก่อนที่จะตัดสินใจหนีคดีคอร์รัปชั่นไม่เดินทางกลับไทย เพื่อไปพักอาศัยในลอนดอนแทน
ในเวลานั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถูกสั่งอายัดทรัพย์สินกว่า 7 หมื่นล้านบาทซึ่งทำให้ประสบปัญหาในเรื่องสภาพคล่องในการบริหารสโมสร และเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจขายสโมสร
ดร.สุไลมาน รู้ได้ในทันทีว่าการเจรจาจะต้องเกิดขึ้นแน่และได้ทำการติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณในอีก 3 วันให้หลัง การเจรจาจึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ และในเวลาตี 1 ของวันพุธที่ 13 ส.ค. ดร.สุไลมาน ก็ได้ทิ้งเที่ยวบินไปนิวยอร์ค เพื่อไปพบกับที่ปรึกษาของพ.ต.ท.ทักษิณที่ดูไบ
แรกเริ่มเดิมที อดีตนายกฯ ต้องการกู้ยืมเงินซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นหุ้นในภายหลัง แต่ทางดร.สุไลมานได้ยื่นคำขาดว่ามีสองทางเลือกเท่านั้นคือการเทคโอเวอร์หรือไม่ก็ล้มการเจรจาไปเลย
จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้เชิญนักธุรกิจชาวอาบูดาบี เข้าร่วมชมเกมนัดเปิดสนามของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันที่ 24 ส.ค. แต่ดร.สุไลมาน ปฏิเสธ เนื่องจากต้องการปิดข่าวให้เงียบ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะพบและเจรจากันอีกครั้งในโรงแรมเอมิเรตส์ พาเลซ ในกรุงอาบูดาบี ในวันจันทร์ที่ 1 ก.ย.
“ในขณะนั้นทุกฝ่ายพร้อมที่จะทำการเจรจาแล้ว แต่เรายังมีมุมมองที่แตกต่างกันว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงกว่า 13 ชั่วโมง”
“พวกเขาได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการและเราก็ได้ในสิ่งที่เราต้องการ”
“บางครั้งเราก็สามารถทำข้อตกลงที่ ‘ติ๊กถูก‘ ได้ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาธุรกิจที่ดี ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ความน่าตื่นเต้น และมันก็เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้อาบูดาบีได้เป็นที่รู้จักในโลก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตอบทุกข้อได้ในเรื่องนี้อย่างแท้จริง” ดร.สุไลมานกล่าวหลังการเจรจาประสบความสำเร็จด้วยดี
Tags:
© 2024 Created by thaiMCFC. Powered by