บทความ(จริง)"ในฝัน" เขียนโดย ราฮีม สเตอร์ลิง
เขียนโดย ราฮีม สเตอร์ลิง ผ่าน เดอะ เพลเยอร์ส ทริบูน
แปลโดย Big #6041204 Follow @Thethanawatsil
ลูกสาวผมนิสัยทะเล้นเอาเรื่อง แม่ของผมบอกเสมอว่าเมื่อเด็กโตจนถึงอายุ 6 ขวบเมื่อไร พวกเขาจะเริ่มมีความคิดความเห็นเป็นของตัวเอง ในช่วงที่ผมเพิ่งคว้าแชมป์ลีกกับซิตี้ ได้ 100 แต้มในลีก วันหนึ่งลูกสาวผมก็วิ่งเล่นรอบบ้านร้องเพลงไปพลาง
เธอไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมเพิ่งพิชิตมาหรอก ที่สำคัญคือเธอไม่ได้สนใจซิตี้เลยด้วยซ้ำ เพราะเธอมันเดอะค็อปตัวยง เธอวิ่งไปรอบๆบ้านเหมือนกับที่พ่อของเธอวิ่งในสนาม อกผาย หลังโก่ง แขนสะบัดไปมา คุณคงไม่เชื่อแต่เพลงที่เธอร้องคือเพลงเชียร์ที่เดอะค็อปแต่งให้โม ซาลาห์นั่นแหละ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สาวน้อยคนนี้แสบเอาเรื่อง
แต่เชื่อผมเถอะ นิสัยเธอไม่ต่างจากผมเลย ถ้าเธอไม่รู้จักคุณ เธอจะไม่ปริปากพูดกับคุณเลย แล้วเธอก็จะเป็นอย่างนั้นจนกว่าเธอจะเชื่อใจคุณ คนในครอบครัวผมนิสัยแบบนี้กันทุกคน
ผมมีเรื่องที่อยากจะเล่าให้คุณฟัง แต่ผมจะเชื่อใจคุณได้ไหม แล้วคุณอยากฟังจริงๆหรือเปล่า ถ้าคุณอ่านบทความหนังสือพิมพ์ คุณอาจคิดว่าคุณรู้จักผมแล้ว รู้เรื่องราวของผมแล้ว แต่คุณรู้มันจริงๆหรือเปล่า
ผมเสียพ่อไปตั้งแต่ผมอายุ 2 ขวบ ชีวิตครอบครัวผมพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่นานหลังจากนั้นแม่ของผมบินไปไกลถึงอังกฤษเพื่อไปเรียนต่อ เพื่อจบมาจะได้มีโอกาสชีวิตที่ดีกว่า ทิ้งผมกับพี่สาวไว้กับยายที่เมืองคิงส์ตัน ประเทศจาเมกา ตอนนั้นผมไม่เข้าใจแม่เลย หลายต่อหลายปีที่ผมมองเด็กคนอื่นอยู่กับแม่ของพวกเขา ผมอิจฉาเด็กพวกนั้นมาก ช่วงที่อยู่กับยายมันเยี่ยมมากครับ แต่เด็กวัยนั้นใครก็อยากอยู่ใกล้ๆแม่กันทั้งนั้น
โชคดีที่ผมมีฟุตบอล สมัยเด็กๆเวลาฝนตก เด็กแถวนั้นจะออกมาเตะบอลกันบนลานแฉะๆ เตะทีน้ำกระจาย แม้จะเลอะแต่ก็สนุกไม่เบา ภาพตอนนั้นมันฝังลึกอยู่ในใจทุกครั้งที่นึกถึงจาเมกา ที่นั่นไม่มีเด็กคนไหนหลบฝนอยู่บ้านหรอก คุณออกมาสนุกอยู่นอกบ้าน อีกอย่างหนึ่งที่ผมจำได้แม่นเลยคือผมมักจะขอเงินยายไปซื้อไอศกรีมรสซีเรียลเกรปนัท
ผมบอกไว้เลยว่าคุณต้องลอง มันเป็นอะไรที่เติมเต็มชีวิตมาก เสียดายที่อังกฤษไม่มีของแบบนี้แต่มันยอดมาก หลังเตะบอลเสร็จผมจะบึ่งไปที่ร้านขายของชำแถวนั้น เคาะประตู แล้วเจ้าของร้านก็จะออกมาถามคุณว่าอยากได้อะไร
นั่นละจาเมกา ทุกคนขยันหาเช้ากินค่ำ ทำงานหาเงินเท่าที่ตนเองพอจะทำได้ ร้านขายของชำนั่นมีทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวสารยันไอศกรีม
เด็กอย่างผมคงไม่รู้หรอก ว่าแม่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำงานอย่างหนักเพื่อให้เราได้สบาย พอผมอายุได้ 5 ขวบ ผมก็ย้ายตามแม่ไปอยู่ที่ลอนดอน ช่วงแรกผมลำบากมาก ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด ผมต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ยิ่งกว่านั้นครอบครัวเราก็ไม่ได้มีเงินมากมาย แต่ผมและพี่น้องก็มีทุกอย่างที่จำเป็นเพราะแม่คงไม่ยอมให้พวกผมลำบากอย่างแน่นอน
แม่ผมทำงานเป็นแม่บ้านในโรงแรมเพื่อส่งตัวเองเรียน ผมยังจำได้ดี ผมต้องตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาช่วยแม่ล้างห้องน้ำในโรงแรมแถวสโตนบริดจ์ (ไม่ไกลจากสนามเวมบลีย์) ก่อนไปโรงเรียน ผมมักจะเกี่ยงล้างห้องน้ำกับพี่สาวอยู่เสมอ เพราะปูเตียงนอนมันดีกว่าเยอะ
สนุกที่สุดคือหลังเสร็จงาน แม่จะให้พวกเราเลือกขนมอะไรก็ได้จากตู้กดหน้าโรงแรม ซึ่งทุกครั้งผมก็จะเลือกช็อกโกแลตสอดไส้มะพร้าว ยี่ห้อเบาน์ตี บาร์ สุดโปรด
ครอบครัวของผมไม่ได้มั่งมี เราต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด ผมมักทำนั่นนี่หล่นแตกพังเสมอ เป็นข้ออ้างที่ดีเยี่ยมที่จะขอแม่ออกนอกบ้าน ซึ่งแม่ก็จะตอบว่า "ได้ แต่ห้ามออกจากบริเวณบ้านนะ" แม่รู้ใจผมเสมอ ท่านมักจะแก้เผ็ดผมได้เสมอเวลาผมอยากออกไปซนนอกบ้าน
มองย้อนกลับไป ผมรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ช่วงผมเข้าเรียนประถมใหม่ๆผมดื้อมาก ดื้อถึงขนาดทำแม่ประสาทได้เลย ผมไม่ได้ดื้อแบบนิสัยไม่ดีนะ แต่ผมไม่ฟังใครเลย ผมไม่ได้อยากนั่งฟังครูพูดทั้งวันหรอก ผมจดจ้องแต่นาฬิกา อ้อนขอให้มันเดินถึงช่วงพักไวๆ จะได้หาอะไรลองท้อง แล้วไปเตะบอลในสนาม ราวกับว่าตัวเองคือโรนัลดินโญ ผมสนอยู่แค่นั้นจริงๆ
ผมซนมากจนผมถูกย้ายโรงเรียน เพราะโรงเรียนเก่าแจ้งแม่ผมว่าผมต้องอยู่ในบรรยากาศที่เคร่งกว่านี้ ผมถูกย้ายมาอีกโรงเรียน หนึ่งห้องเรียนมีเด็กหกคน แต่มีครูตั้งสามคน ที่แบบนั้นไม่มีที่ให้ผมหนีได้เลย
ผมนั่งรถไปและกลับโรงเรียนทุกวัน ทุกวันรถจะวิ่งผ่านโรงเรียนอื่นในละแวกนั้น ผมเห็นนักเรียนเดินไปโรงเรียนกันเอง พูดคุยเล่นกันสนุกสนาน ผมพูดกับตัวเองว่าผมก็อยากมีชีวิตแบบนั้น อยากเป็นเหมือนเด็กพวกนั้น ผมไม่ใช่เด็กผิดปกติ ผมแค่เงียบเพราะผมไม่อยากฟังคนอื่น ผมอยากฟังแม่ผมคนเดียวเท่านั้นเอง
ผมทำตัวเป็นเด็กดีอย่างสุดๆ ปีต่อมาผมก็สมหวังได้ย้ายไปอยู่โรงเรียนขนาดใหญ่ แต่ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากการได้รู้จักกับชายที่ชื่อไคลฟ์ เอลลิงตัน เขาเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของกลุ่มเด็กกำพร้าพ่อในละแวกบ้านผม เขามักจะพาเราไปทั่วลอนดอนในช่วงสุดสัปดาห์ พาไปหาประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิต หรือบางทีก็ไปเล่นสนุกเกอร์ เขาดีกับพวกเรามาก จนมาวันหนึ่งเขาถามผมว่า "ราฮีม เธออยากเป็นอะไร"
เป็นคำถามที่ง่ายมาก แต่ตอนนั้นผมไม่เคยคิดแบบนั้น ชีวิตประจำวันของผมก็มีแค่เล่นฟุตบอลบนถนน ขี่จักรยานเล่นกับเพื่อน ทำตัวเหมือนเด็กธรรมดาๆ
"ผมชอบเล่นฟุตบอล" ผมตอบ
เขาพูดต่อว่า "ฉันมีทีมที่เล่นในลีกวันอาทิตย์ มาเล่นกับพวกเราไหมล่ะ"
วันที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตมีแต่ฟุตบอล ฟุตบอล ฟุตบอล คลั่งเลยล่ะ เริ่มมีแมวมองจากสโมสรใหญ่ทั่วลอนดอนมาตามดูผมตอนอายุ 10 หรือ 11 ฟูแลมบ้าง อาร์เซนอลบ้าง เมื่อทีมที่ดังที่สุดในลอนดอนอย่างอาร์เซนอลต้องการคุณ คุณคงอดคิดไม่ได้ว่ายังไงคุณก็ต้องไป ผมเที่ยวบอกเพื่อนผมใหญ่เลยว่าผมกำลังจะไปที่นั่น
วันหนึ่งผมนั่งคุยกับแม่ แม่บอกรักผม แต่ท่านไม่อยากให้ผมไปอยู่กับอาร์เซนอล ผมก็งงสิ แต่แม่บอกว่า "ถ้าลูกไปที่นั่น จะมีเด็กอายุเท่าๆลูกอีก 50 คนที่ฝีมือไม่แพ้ลูก ลูกต้องไปในที่ๆลูกมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม"
แม่ชักชวนให้ผมไปคิวพีอาร์ มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตผมก็เป็นได้ ที่คิวพีอาร์พวกเขาจัดหนักกับผมมาก ช่วงนั้นค่อนข้างลำบากเพราะแม่ไม่ต้องการให้ผมไปซ้อมคนเดียว จึงเป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องไปสนามซ้อมกับผม
ผมนั่งรถเมล์สามต่อเพื่อไปซ้อม ออกจากบ้านประมาณบ่ายสามสิบห้า กว่าจะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่ม ทุกๆวัน พี่สาวผมจะรออยู่ที่คาเฟ่ชั้นบนจนผมซ้อมเสร็จ คุณลองคิดดู เด็กสาวอายุ 17 ผู้ติดตามน้องชายมาสนามซ้อม ตัวติดกันราวกับตังเม แต่ผมไม่เคยได้ยินเธอบ่นเลยสักคำ
ตอนนั้นผมก็ไม่รู้สึกหรอกว่าพี่สาวเสียสละเพื่อผมมากขนาดไหน แม่กับพี่ทำให้ผมมีวันนี้ ครอบครัวทั้งครอบครัวสำคัญกับผมมาก ถ้าไม่มีพวกเขา วันนี้พวกคุณคงไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ
แต่เรื่องมันไม่จบแค่นี้
ผมโตมาในเงาแห่งความฝัน ผมเฝ้ามองสนามเวมบลีย์ที่ถูกบูรณะใหม่จากสวนหลังบ้าน วันหนึ่งผมเดินเล่นแล้วก็มองไปเห็นเสาเหล็กโค้งสูงตระหง่าน แลดูคล้ายภูเขาสูงเหนืออาคารแฟลตในบริเวณนั้น ผมเล่นฟุตบอลแถวลานข้างๆบ้าน เวลาผมยิงได้ ผมจะฉลองด้วยการมองขึ้นฟ้า เสาโค้งนั่นมันจะอยู่เหนือหัวผมพอดี มันรู้สึกเหมือนคุณได้เล่นอยู่ในนั้นจริงๆ
ผมคิดในใจว่า วันหนึ่งผมต้องไปเล่นที่นั่น ผมทำได้แน่
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อแแบบนั้น ตอนผมอายุ 14 ผมใช้ชีวิตอย่างเก่าในห้องเรียน จนครูของผมทนไม่ไหว ครูถามผมว่า "ราฮีม เธอเป็นอะไร ชีวิตเธอจะมีแค่ฟุตบอลหรืออย่างไร มีเด็กอีกเป็นล้านที่อยากเป็นอย่างเธอ"
ผมคิดในใจว่าโอเค ผมเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มามากจนชินละ
ครูถามต่อว่า "เธอพิเศษอะไรหนักหนา"
ผมอึ้งเลย ในใจก็คิดตามคำถามนั้น คำตอบในใจที่ผมได้คือ "เดี๋ยวก็รู้"
ผมติดทีมชาติอังกฤษชุด U-16 สองเดือนถัดจากนั้น ผมจ่ายบอลให้เพื่อนยิงสองครั้งในเกมกับทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ไฮไลท์ของเกมนั้นถูกถ่ายทอดบนโทรทัศน์ ผมกลับไปโรงเรียนในวันจันทร์ จากที่เคยสงสัยในตัวผม ครูกลายมาเป็นหนึ่งในแฟนพันธุ์แท้ของผมเลย มันมีความหมายกับผมมาก มองกลับไปมันก็ตลกดี
จุดพลิกผันอีกครั้งคือตอนอายุ 15 ลิเวอร์พูลต้องการผมไปร่วมทีม แต่มันห่างจากบ้านผม 3 ชั่วโมง (ถ้านั่งรถไฟความเร็วสูง) ผมยังจำได้ดีถึงวันที่ผมบอกกับแม่ว่าผมอยากไป ผมยังรักเพื่อนที่บ้านใกล้ๆกันทุกคน แต่ตอนนั้นอาชญากรรมกับการแทงกันเริ่มมีมากขึ้น ผมจึงอยากไปที่อื่นเพื่อตั้งสมาธิกับฟุตบอลเพียงอย่างเดียว
ผมตั้งสมาธิกับตัวเอง แม่ผมเสียสละทั้งชีวิตเพื่อให้ผมมาถึงจุดนี้ พี่สาวผมเสียสละทั้งชีวิตเพื่อให้ผมมาถึงจุดนี้ เมื่อผมมาถึงนี่แล้ว ผมจะทำให้เต็มที่
ตลอดสองปีผมเก็บตัวเงียบมาก ถามเพื่อนๆผมได้ ถ้าได้หยุกพักผมจะนั่งรถไฟลงมาเยี่ยมแม่ที่ลอนดอนแล้วกลับทันที ผมปิดตัวจากโลกเพื่อสร้างตัวเองให้เป็นนักฟุตบอลอย่างสมบูรณ์ ระหว่างที่อยู่ลิเวอร์พูล สโมสรหาบ้านให้ผมอยู่ในเมือง อาศัยอยู่กับคู่สามีภรรยาที่อายุราว 70 กว่าๆ เขาเลี้ยงผมเหมือนหลานชายแท้ๆ ผมตื่นเช้ามาก็จะมีมัฟฟินไส้เบคอนรออยู่บนโต้ะอาหาร มันวิเศษมาก สวนหลังบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้สวยงาม มันเหมือนกับผมอยู่อีกโลกหนึ่งเลย
แม่ผมจะโทรหาผมทุกเช้า "ราฮีม ลูกสวดมนต์หรือยัง" ผมก็นะ "ครับ แม่ เรียบร้อยแล้วครับ"
ช่วงนั้นสำคัญต่อชีวิตผมมาก เป้าหมายคือการได้เซ็นสัญญาอาชีพ เพื่อให้ที่บ้านได้สมหวัง วันที่ผมซื้อบ้านให้แม่คือวันที่ผมอาจจะมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยก็ได้
ย้อนไปสมัยเด็กๆ มี 3-4 ครั้งเวลาผมนั่งรถเมล์กลับบ้านจากสนามซ้อม แม่จะส่งข้อความมาบอกที่อยู่ใหม่ โดยลงท้ายว่า "นี่คือที่อยู่ใหม่ของเรานะ"
มีช่วงเวลาสองปีที่เราจะย้ายบ้านอยู่ตลอด เพราะเราไม่มีเงินพอจะจ่ายค่าเช่า ตอนเด็กผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่มาทุกวันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของแม่ตอนนั้นจะเป็นอย่างไร กับความลำบากทั้งหมด
มันแย่นะที่ผมต้องพูดประโยคนี้ มันมีข่าวลือในสื่อบางรายที่เชื่อว่าผมเป็นคนหรูหรา ชอบซื้อเพชร ชอบโอ้อวด ผมไม่เข้าใจว่าเขาไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน โดยเฉพาะตอนผมซื้อบ้านให้แม่ ผมโดนเขียนวิจารณ์อย่างเสียๆหายๆ มันไม่น่าเชื่อ พวกเขาเกลียดในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้เสียด้วยซ้ำ
หลายปีก่อนผมมานั่งคิด ผมเคยถามแม่ว่าทำไมพวกเขาจะต้องมารุมผมแบบนี้ด้วย แต่ทุกวันนี้ ถ้าแม่ พี่สาว หรือลูกๆของผมมีความสุข ผมก็มีความสุข
ถ้าพวกเขาอยากเขียนเกี่ยวกับห้องน้ำในบ้านแม่ผมนัก ผมจะบอกพวกเขาว่า 15 ปีก่อนพวกเราทำความสะอาดห้องน้ำในโรงแรมย่านสโตนบริดจ์ และกินอาหารเช้าจากตู้กดอาหาร ถ้าจะมีใครสักคนที่ควรมีความสุข คนๆนั้นคือแม่ แม่มาประเทศนี้ตัวเปล่าๆ ส่งตัวเองเรียนด้วยการล้างห้องน้ำและเปลี่ยนผ้าปูที่นอน มาวันนี้ท่านเป็นเจ้าของบ้านพักคนชรา และลูกชายของท่านเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ
รู้ไหมอะไรที่ทำให้ผมประหลาดใจ ผมถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ผมเล่นในเวมบลีย์เป็นครั้งแรกในเกมคัดฟุตบอลโลกกับทีมชาติยูเครน ตอนนั่งรถโค้ชเพื่อไปยังสนามแข่งผมคิดกับตัวเองว่า "นั่นบ้านที่เพื่อนผมเคยอยู่" "นั่นลานจอดรถที่เราเคยมาเล่นสเก็ต" "นั่นคือมุมที่เราคอยรอจะจีบสาว" "นั้นคือสนามหญ้าข้างบ้านที่ผมเคยฝันว่าสักวันจะมีวันนี้"
ถ้าคุณมีชีวิตวัยเด็กคล้ายๆกับผม จงอย่าเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด อย่าให้พวกเขามาทำลายความสุขของคุณ พวกเขาจ้องแต่จะดึงคุณลงเหว
ผมบอกคุณได้แค่ว่า อังกฤษคือที่ที่เด็กแสบที่ชีวิตไม่มีอะไรเลยคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิต" ในฝัน" ได้
ราฮีม ชาคีล สเตอร์ลิง
ที่มา: https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/raheem-sterling-en...
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แปลโดย แอดมิน mcfc.in.th ติดตามข่าวสารได้ที่เว็บหลักของประเทศไทย www.mcfc.in.th
Tags:
© 2024 Created by thaiMCFC. Powered by