ธรรมชาติได้สร้างไว้ เพื่อให้มองเห็นสิ่งรอบๆ ตัว เพื่อเป็นประโยชน์แก่เจ้าของตาเอง และได้สร้างไว้
เป็นคู่เพื่อให้เกิดความสมดุล เที่ยงธรรมในการมอง คือไม่ให้เอนไปทางเกลียดจนเกินไป หรือเอียงมาทาง
รักจนเกินไป ทั้งไม่ให้มองในแง่ดีจนเกินเหตุแม้จะเห็นเสียอยู่ทนโท่ หรือมองในแง่ร้ายจนหมดรูปทั้งที่เห็น
แง่ดีอยู่เต็มตา ธรรมชาติสร้างตาไว้เป็นคู่ และ ให้ตั้งอยู่ในระดับเสมอกัน เพื่อให้เกิด ความเที่ยงตรงและเที่ยง
ธรรมในการมอง ปกติมนุษย์เรามักจะใช้ตามองแต่คนอื่นพิจารณาแต่คนอื่น และมักจะเห็นแต่ความผิดของ
เขาเท่านั้น ทั้งนี้เพราะขึ้นอยู่ที่คุณภาพ ของจิตใจในขณะมองด้วย ถ้าผู้มองมีจิตใจลำเอียงไปในทางที่ไม่ชอบ
อยู่ก่อนแล้ว ตาก็มักจะเอนเอียงมองหาแต่ข้อบกพร่องของเขาท่าเดียว มองผ่านสิ่งที่ดีเด่นของเขาไปเสีย หรือ
หากมีจิตใจเอนเอียงไปในทางรักชอบ มีความนิยมนับถืออยู่ก่อนแล้ว ตาก็จะเอนเอียงมองเห็นแต่ข้อดีของเขา
แม้ว่าข้อดีนั้นจะมีน้อยก็เห็นเป็นมากแล้วนำไปพร่ำพรรณนาเสียยึดยาว แต่ข้อบกพร่องแม้จะเห็นอยู่ก็มองผ่าน
ไปเสียไม่สนใจไม่เก็บเอามาคิดวิจารณ์ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นในภายหลัง การมอง ด้วยตาจึงเชื่ออะไรไม่
ได้นัก มักพลาดกันบ่อยๆ
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังต้องอาศัยตาเป็นหลักในการมองอยู่ดี เมื่อเป็นดังนี้ท่านจึงเน้นว่าเมื่อจะต้องมอง
ก็อย่ามองแต่คนอื่นฝ่ายเดียว ควรจะมองดูตัวเองบ้าง ในเรื่องนี้ เคยอ่านพุทธประวัติว่า มีพระดำรัสของพระ
พุทธองค์อยู่ว่า ไม่พึงใส่ใจถึงคำพูดที่ก่อความบั่นรอนของคนอื่น ไม่พึงมองดูสิ่งที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ
พึงพิจารณาแต่เฉพาะหน้าที่การงานของตนเท่านั้นว่าเราได้ทำและทำดีแล้วหรือยัง เป็นความจริง มีคนเป็นจำ
นวนไม่น้อย ที่มีความสุขอยู่กับการจับผิดผู้อื่น หรือมีความสุขอยู่กับการจับกลุ่มนินทาชาวบ้าน ยอมเสียเวลา
ติดตามเรื่องราว ยอมเสียเวลาเพื่อรอดูผลแพ้ชนะ ยอมให้เวลาฆ่าชีวิตของตนเพียงเพื่อแลกกับความสุขเล็กๆ
น้อยๆ ของจิตใจ และเพียงเพื่อความสนุกปากของตนที่ได้พูดเรื่องของคนอื่น ใครจะเป็นอย่างไร ใครจะทำ
อะไรที่ไหนรู้ละเอียดลออไปหมด ซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ ตั้งตัวเป็น
ผู้ชำนาญการในทุกๆเรื่องทีเดียว
แต่ในขณะเดียวกัน เรื่องของตัวเอง เรื่องในครอบครัวตัวเองซึ่งยังยุ่งเหยิงวุ่นวาย อดอยากปากแห้งกัน.
ไหนเรื่องจะตกงาน ไหนจะเรื่องอาหารการกิน ไหนจะค่าเล่าเรียน ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะหาได้มาจากที่ไหน
ปัญหานี้กลับไม่นั่งนึกนอนตรอง มัวไปคิดถึงแต่เรื่องคนอื่น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลย มีคำกลอนอยู่ตอน
หนึ่งว่าไว้ดีเหมือนกันว่า โทษคนอื่น เราเห็นเท่าเป็นภูเขา โทษของเรา เราเห็นเท่าเส้นขน ครับ คำกลอนนี้จริง
แท้ทีเดียว เราคิดว่าคำกลอน นี้ ท่านผู้อ่านคงได้ยินกันบ่อยๆ เราเอามาลงทวนความจำกันใหม่ เพื่อให้ความรู้
แก่ผู้อื่นโดยตรง เพียงเพื่อได้ไปปฏิบัติในสังคมกัน มีต่อไปเรื่อยๆ นี่เป็นการแต่งแบบตั้งกระทู้ เท่านั้น นะครับ
เอาความนึกคิดที่เคยอ่านแล้วจำมาหรือมีความนึกคิดดีๆแปลกๆหลายความคิดมาแต่งเป็นกระทู้ให้เป็นประโยชน์
แก่ผู้อ่าน เพื่อให้สมกับเรื่อง ความนึกคิดที่งดงาม เพื่อดำเนินชีวิตในสังคม
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเราให้มองดูเรื่องราวของตัวเองให้มากเข้าไว้ แม้ว่าจะมองเห็นได้ยากก็ตาม
เพราะใจเราไม่ค่อยยอมรับ ความผิดพลาดและความบกพร่องของตัวเองนัก แต่เพื่อความเจริญของตัวเอง
ท่านว่าก็ควรทำ เมื่อเห็นแล้วจะได้คิด แก้ไขได้ทันท่วงที เรื่องของคนอื่นเขาจะขึ้นช้างลงม้าอย่างไร เขจะ
ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา หากไม่ได้เกี่ยวกับตัวเราแล้วก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาไป บาง
ทีคนเราเอาเวลาไปยุ่งเรื่องคนอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวมากเกินไป นอกจากจะเสียเวลาโดยใช่เหตุแล้ว ยังกลับ
มานั่งบ่นทุกข์ใจ เกิดความเดือดร้อนใจในเรื่องของเขาเสียอีก เวรกรรมจริงๆคนเรา คนที่มองเห็นความบก
พร่องของตัวเองได้ นับว่าเป็นคนประเสริฐหาได้ยาก ยิ่งเมื่อมองเห็นแล้วยอมรับความผิดพลาดบกพร่องอัน
นั้นแล้วพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ยิ่งเป็นคนประเสริฐที่สุดหาได้ยากยิ่งขึ้น จัดเป็นประเภท
ยอดคนทีเดียว
มีชายสองคนเป็นเพื่อนบ้านกัน วันหนึ่งชวนกันไปวัดเพราะเห็นเขาไปกัน ขึ้นไปบนศาลานั่งฟังเทศน์
ที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงอยู่ คนหนึ่งนั่งสำรวมฟังนิ่งด้วยเกิดความเลื่อมใส ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งประนมมือ
ฟังเหมือนกัน แต่สายตาสอดส่องส่ายไปทางโน้นทางนี้บังเอิญสายตามองไปพบชายสไบของหญิงชราคนหนึ่ง
ซึ่งขอดเหรียญไว้จึงค่อยๆ ขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วแก้ขอดเอาเหรียญออกมากำประนมมือไว้ โดยที่หญิงชรา
นั้นไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่นั่งหลับตาฟังเทศน์อยู่ เขากลับบ้านด้วยความดีใจ นำเหรียญนั้นไปมอบให้เมียและเล่าเรื่อง
ให้ฟังเมียรู้เรื่องเข้าแทนที่จะต่อว่าผัวว่าทำไมจึงทำเช่นนี้ กลับชมเชยว่าผัวเก่งเข้าใจใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ไม่
เสียเที่ยวที่ไปวัด ตอนเย็นพบภรรยาของเพื่อนคนที่ไปวัดด้วย จึงพูดเยาะเย้ยถากถางว่า เป็นไงผัวเธอ ไปวัดฟัง
เทศน์มาดูท่าจะอิ่มบุญละสิ จึงไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมา ผัวฉันสิเขาฉลาดออก ได้ฟัง
มาเป็นค่ากับข้าวได้ด้วย โง่อย่างผัวเธอคงอดตาย นางมิได้ต่อปากต่อคำ นำมาเล่าให้สามีฟัง สามีก็ได้แต่นั่งยิ้มๆ
ไม่ว่าอะไร วันหลังกลับไปวัดอีก ทูลเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ พระพุทธองค์ฟัง พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
ผู้ใดเป็นคนโง่เป็นคนพาล แต่ก็รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนโง่ เป็นคนพาล ผู้นั้นยังพอจะเป็นคนฉลาดได้ต่อไป
ส่วนผู้ใดเป็นคนโง่เป็นคนพาล แต่สำคัญตัวว่าเป็นคนฉลาด ผู้นั้นแหละเรียกได้ว่าเป็นคนโง่แท้ เพราะจะ
ไม่ยอมเรียนรู้รับรู้อะไรจากใคร โดยคิดว่าตัวเองฉลาดพอตัวแล้ว เขาจึงเป็นคนโง่ตลอดชาติ
สาธุ จริงแท้ พระพุทธเจ้าข้า
You need to be a member of Manchester City Fan Club in Thailand Website to add comments!
Join Manchester City Fan Club in Thailand Website