ในขณะที่วันที 2 มีนาคม แอปเปิ้ล (Apple) จะเปิดตัว iPad 2 เพื่อชะลอการบุกของ"แท็บเล็ต" (tablet) ที่การเติบโตของยอดขายในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาเกือบ 5 ล้านเครื่องเข้าไปแล้ว ล่าสุดซัมซุง (Samsung) ในฐานะผู้นำตลาดแท็บเล็ตคงไม่ยอมเสียตำแหน่ง และส่วนแบ่งตลาดที่อาจจะถูกชิงกลับไปเนื่องจาก iPad 2 ว่าแล้วทางบริษัทก็ได้ร่อนบัตรเชิญเปิดตัวแท็บเล็ตอีกรุ่นในงาน CTIA 2011 (Orlando, Florida, US) โดยจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม ศกนี้
หลังจากที Samsung Galaxy Tab แท็บเล็ตทีมีหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ได้ประกาศเปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นใหม่ที่มีขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้วในงาน MWC 2011 และล่าสุด Samsung ได้ร่อนบัตรเชิญร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกแล้ว โดยเป็นรูปของแท็บเล็ตที่มีตัวเลข 78910 อยู่ด้านบน ซึ่งน่าจะหมายถึงแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาด 8.9 นิ้ว (เพราะขนาด 7 กับ 10 นิ้วเปิดไปแล้ว) ทั้งนี้ตัวเลขขนาดหน้าจอของ Galaxy Tab รุ่นใหม่จะอ้างอิงมาจากข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า Samsung กำลังจะออกแท็บเล็ตจอ 8.9 นิ้วออกมาอีกด้วย
นอก จากนี้ในบัตรเชิญยังสื่อเป็นนัยให้ทราบว่า "แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ของ Samsung จะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Honeycomb โดยเฉพาะแพทเทิร์นรูปรังผึ้งที่ปรากฎมุมล่างขวาของจอ และเนื่องจากในบัตรเชิญระบุว่าเป็น Special Episode (ตอนพิเศษ) ที่งาน CTIA แถมยังเน้นคำว่า Samsung Mobile ที่มุมล่างขวาของบัตรด้วย นั่นหมายความว่า Samsung Galaxy Tab รุ่นใหม่อาจจะมาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สายบนเครือข่าย 3G หรือ 4G ก็ได้ การเสริมทัพแท็บเล็ตถึง 3 รุ่นของ 3 ขนาด Samsung จะสามารถแตะเบรคความน่าสนใจของ iPad 2 และยอดจำหน่ายของ Motorola XOOM ที่เพิ่งวางตลาดเมื่อไม่กี่วันมานี้ งานนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไป
เว็บไซต์ในข่าว: CTIA
จอแสดงผลขนาด 22 นิ้วที่เห็นในคลิปวิดีโอ ไม่เพียงแต่จะไม่มีสายสัญญาณวิดีโอต่อกับพีซีให้เห็นเท่านั้น แต่มันยังไม่มีสายไฟเสียบปลั๊กให้วุ่นวายอีกด้วย ความลับของจอแสดงผล"ไร้ สาย"ตัวจริงก็คือ โพรโตคอลการส่งไฟฟ้าและข้อมูลแบบไร้สายที่เรียกว่า Smart Universal Power Access (SUPA) สำหรับหลักการทำงานพื้นฐานจะคล้ายกับ Powermat (ชาร์จเจอร์ไร้สาย) หรือ Hp Touchstone (ชาร์จเจอร์ไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน) โดยการทำงานของจอแสดงผลไร้สายของ Fujitsu จะใช้การเหนี่ยวนำของแม่เหล็ก (magneto-induction) และการชาร์จไฟฟ้าแบบเหนี่ยวนำ (inductive charging) เพื่อส่งผ่านทั้งกำลังไฟฟ้า และข้อมูลไปยังจอแสดงผล ซึ่งอุปกรณ์ไร้สาย USB ที่เชื่อมต่อระหว่างพีซีกับจอแสดงผลจะซิงค์การทำงานทั้งสองด้วยกำลังไฟฟ้า ที่เหนี่ยวนำผ่านแผ่นชาร์จที่อยู่ในโต๊ะ โดยผู้ใช้ยังคงสามารถเคลื่อนย้าย และใช้งานจอแสดงผลไปรอบๆ สำนักงานได้ในระยะไม่เกิน 10 เมตร
แม้ ว่ามอนิเตอร์ไร้สายที่นำออกแสดงในงาน CeBIT 2011 จะเป็นเครื่องต้นแบบ แต่ทางบริษัทคาดว่าจะสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในองค์กรธุรกิจได้ ภายในปีหน้า อย่างไรก็ดี มันอาจจะยังไม่เหมาะกับการใช้ในบริการขนส่งมวลชนอย่างรถไฟ และเครื่องบิน และคงต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกหลายปีทีเดียวกว่าที่เทคโนโลยีนี้จะใช้กัน อย่างแพร่หลายในครัวเรือน แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้ไปชมความมหัศจรรย์ในการทำงานของ จอแสดงผลไร้สายตัวจริงจากคลิปวิดีโอข้างล่างนี้ไปก่อนก็แล้วกัน
ข้อมูลจาก: YouTube
แท็บเล็ต (tablet) ไม่เพียงแต่จะแย่งซีนสมาร์ทโฟน (smart phone) ในงาาน MWC 2011 เท่านั้น แม้กระทั่งงาน CeBIT 2011 ที่เริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ เหล่าบรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างก็ใช้เป็นเวทีเปิดตัว"แท็บเล็ต"อีกเช่นกัน ล่าสุด เอซุส (Asus) เผยโฉม Asus Eee Pad Transformer แท็บเล็ตที่สามรถแปลงร่างเป็นเน็ตบุ๊คได้
หากสังเกตชื่อรุ่นของแท็บเล็ตจะมีการพ่วงคำว่า "Transformer" เข้ามาด้วย ซึ่งสื่อเป็นนัยว่า มันคงจะแปลงร่างได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยแท็บเล็ตรุ่นนี้จะมาพร้อม กับด็อคกิ้งที่มีคีย์บอร์ด QWERTY สามารถเชื่อมต่อทำงานร่วมกันเป็นเน็ตบุ๊ค (โน้ตบุ๊ค?)ที่ใช้พิมพ์งาน ได้อย่างสะดวกสบาย หรือจะถอดแท็บเล็ตออกไปใช้งานแยกต่างหากก็สามารถทำได้ ทันทีอีกเช่นกัน ซึ่งความจริงนอกจากเอซุสแล้ว ทางเอเซอร์ก็มีแท็บเล็ตที่มาพร้อมกับด็อคกิ้งคีย์บอร์ดออกมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip สามารถสัมผัสของจริงได้ในงาน Commart Thailand 2011 ที่จะจัดให้มีขึ้นวันที่ 17 - 21 มีนาคม ศกนี้ ที่ศุนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
สำหรับ Asus Eee Pad Transformer จะมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส WXGA (1280x800) ขนาด 10.1 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฎิบัติการ Android Honeycomb และใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 สตอเรจมีให้เลือก 3 ความจุ 16/32/64GB รองรับการเล่นวิดีโอ HD 1080p มาพร้อมกับพอร์ต HDMI กล้องด้านหน้า 1.2 ล้านพิกเซล และกล้องด้านหลัง 5 ล้านพิกเซล เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi, 3G พร้อมด้วยระบบแผนที่นำทาง GPS ในส่วนของการตอบสนองการสัมผัสใช้งานได้ไม่แพ้ iPad และ Samsung Galaxy Tab พร้อมด้วยคุณสมบัติการทำหลายงาน และการเล่นวิดีโอที่น่าประทับใจ และเมื่อใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ด มันก็สามารถเป็นเน็ตบุ๊คที่ทรงพลังได้ทันที
เว็บไซต์ในข่าว: Asus
สำหรับ MSI WindPad 100A เป็นแท็บเล็ตที่มาพร้อมกับหน้าจอ 10.1 ตัวเครื่องสีขาว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Honeycomb ซึ่งก่อนหน้านี้ทางบริษัทได้นำออกโชว์ในงาน CES 2011 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยสเป็กเครื่อง ภายในจะใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Nvidia Tegra 2 ซึ่งก็มั่นใจได้เรื่องประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่แพ้แท็บเล็ตจากผู้ผลิตราย อื่นๆ เรียกได้ว่า ทั้ง OS และ CPU ไม่เป็นรองใคร ที่เหลือก็คงเป็นเรื่องของพอร์ตใช้งานต่างๆ ตลอดจนดีไซน์ และราคาที่น่าจะเป็นประเด็นที่ใช้ในการแข่งขันในสมรภูมินี้
ใน ส่วนของ MSI WindPad 110W แท็บเล็ตที่ยังคงดีไซน์ที่เรียบง่ายเช่นเดียวกัน หน้าจอ 10.1 นิ้วเหมือนกัน แต่ตัวเครื่องจะเป็นสีบรอนซ์เข้ม โดยภายในใช้หน่วยประมวลผล AMD C-50 Fusion APU ซึ่งเป็นโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ผนึกการทำงานร่วมกับกราฟิก AMD Radeon HD 6310 ระบบปฏิบัติการที่ใช้จะเป็น Windows 7 Home Premium อย่างไรก็ตาม ทาง MSI ยังไม่ได้เปิดเผยถึงกำหนดการในการวางจำหน่าย และสนนราคาของแท็บเล็ตทั้งสองรุ่น คาดว่า ทางบริษัทคงจะต้องรีบเปิดเผยทั้งเรื่องของราคา และกำหนดการวางตลาดโดยเร็ว มิเช่นนั้นอาจจะถูกทิ้งห่างจากคู่แข่งอย่าง Samsung และ Motorola ตลอดจนแท็บเล็ต Windows 7 อย่างของ Fujitsu และ Lenovo
เว็บไซต์ในข่าว: MSI
Dave Mosely รองประธานบริษัท Seagate อธิบายว่า การออกแบบ BIOS ของพีซีรุ่นเก่า และซอฟต์แวร์ไดรเวอร์ ตลอดจนระบบปฏิบัติการอย่าง Windows XP จะไม่สามารถใช้งาน หรือรู้จักฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุเกินกว่า 2.1TB ได้ นั่นหมายความว่า สำหรับเดสก์ทอปรุ่นเก่าที่สามารถใช้ฮาร์ดดิสก์มากกว่า 2.1TB ได้ต้องมีการติดตั้งฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์เพิ่มเติม และบ่อยครั้งที่ยังต้องหาไดรเวอร์พิเศษมาติดตั้งด้วย
แต่ สำหรับ Seagate Barracuda XT ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ DiscWizard ซึ่งสามารถทำให้ระบบปฏิบัติการ และดีไวซ์ไดรเวอร์บนเดสก์ทอปที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการเก่าๆ อย่าง Windows XP รวมถึง PC BIOS สามารถมองเห็น และเข้าถึงความจุได้เต็ม 3TB ได้เช่นเดียวกับพีซีเครื่องใหม่ที่มาพร้อมกับไดรเวอร์ และ Windows เวอร์ชันใหม่และใช้ UEFI BIOS สำหรับ 3TB Barracuda XT จะมารพ้อมกับหน่วยความจำแคช 64MB อินเตอร์เฟซการเชื่อมต่อเป็น Serial ATA 6GB/s และความเร็วรอบที่ 7200RPM แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ HDD รุ่นนี้คาดว่าน่าจะมีราคาอยู่ที่ราวๆ 280 เหรียญฯ (ประมาณ 8,500 บาท)
เว็บไซต์ในข่าว: Seagate
InPulse จะ มาพร้อมกับแอพฯใช้งานทั่วไปอย่างเช่น แสดงข้อความ SMS ที่ส่งเข้ามาตลอดจนสายเรียกเข้ามือถือ การรับฟีดจาก Twitter หรือแหล่งข่าว รวมถึงอัพเดตเพื่อนๆ บน Facebook แต่นอกจากการให้บริการเหล่านี้บนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือได้แล้ว ล่าสุด Eric Migicovsky ได้พัฒนาแอพฯที่ทำให้ InPulse สามารถเช็คอินบริการ Facebook PLaces โดยใช้ข้อมูลระบุตำแหน่ง GPS จากมือถือ Android นั่นหมายความว่า คุณสามารถแจ้งให้เพื่อนฝูงใน Facebook ทราบได้ทันทีว่า ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนด้วยการแตะเช็คอินผ่านแอพฯบนหน้าจอ InPulse อย่างไรก็ดี app ตัวนี้ยังไม่เปิดให้ดาวน์โหลด แต่เป็นความพยายามแสดงให้เห็นว่า InPulse สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย
สำหรับ คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ที่อาจจะจำเจ้านาฬิกาข้อมืออัจฉริยะเรือนนี้ไม่ได้ ขออนุญาตแนะนำกันอีกครั้ง InPulse เป็นนาฬิกาข้อมือที่ได้รับการออกแบบให้สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกด้วยสมาร์ท โฟนอย่าง iPhone, Android หรือ BlackBerry ตลอดจนวินโดวส์พีซี แมค และลินุกซ์ ผ่านทางบลูทูธ (Bluetooth) โดยทางบริษัทผู้ผลิตได้จัดเตรียมชุดพัฒนาแอ พฯ (SDK) บน InPulse ที่เข้าใจง่าย สามารถพัฒนาแอพฯได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างแอพฯ เช่น iTunes Controller (ควบคุมการเล่นเพลงผ่านแอพฯ iTunes บน iPhone), แอพฯควบคุมการเปิดสไลด์นำเสนอบน PowerPoint ฯลฯ หน้าจอแสดงผลเป็น OLED ความละเอียด 96x128 พิกเซล ชาร์จหนึ่งครั้งใช้งานได้ต่อเนื่อง 4 วันขึ้นอยู่กับการใช้ของแต่ละคน มี 2 รุ่นให้เลือกคือ รุ่นโลหะ 149 เหรียญฯ (ประมาณ 4,800 บาท) และรุ่นสีดำ 199 เหรียญฯ (ประมาณ 6,400 บาท)
ข้อมูลจาก: getinpulse
การอัพเดต Twitter บน iOS ครั้งนี้ ดูเหมือนทางบริษัทจะไฮไลท์คุณสมบัติ Trending Topics มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเพิ่มแถบแสดงประเด็นฮอตล่าสุดไว้ด้านบนจนดูเหมือนยัดเยียด ซึ่งผู้ใช้สามารถแตะบนแถบนี้ เพื่อดูประเด็นฮอตอื่นๆ เพิ่มเติมได้ในหน้าจอถัดไป สำหรับใครที่ชอบติดตามประเด็นที่กำลังเป็นกระแสบน Twitter ก็อาจจะชอบคุณสมบิตินี้ก็ได้ ส่วนอีกคุณสมบัติหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาใหม่จะอยู่ในหน้า Composition screen ที่ออกแบบให้สะอาดตา และใช้งานง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่ม action bar เหนือคียบอร์ด ซึ่งคุณจะสามารถส่ง @ เพื่อตอบเมสเสจ เพิ่มแฮชแท็ก (hashtags) ภาพถ่าย (photos) วิดีโอ (video) ตลอดจนตำแหน่งที่คุณ (location) อยู่ณ.ปัจจุบันได้ด้วยการแตะไอคอนทีอยู่บน action bar ส่วนที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้มากสักหน่อยก็เห็นจะเป็นไอคอน @ ที่เมื่อแตะลงไป มันจะแสดงรายชื่อเพื่อนๆ ให้คุณสามารถคลิกเลือกได้ทันที หรือแค่เริ่มต้นพิมพ์ รายชื่อเพื่อนที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรนั้นๆ ก็จะถูกคัดกรองให้คุณได้เลือกอย่างรวดเร็ว ซึ่งสะดวกมากจริงๆ
ยัง ไม่หมดเท่านี้ Twitter บน iPhone เวอร์ชันอัพเดตยังสามารถค้นหารายชื่อเพื่อนๆ บน Twitter ที่มีรายชื่ออยู่ใน contact บน iPhone ของคุณได้อีกด้วย โดยเมื่อคุณคลิกบนปุ่ม search คุณสามารถเลื่อนหน้าจอลงมาด้านล่าง เพื่อพบกับตัวเลือก "Find Friends" ในเมนู เพียงแค่คลิก แอพฯก็จะทำการสแกนใน contacts และแสดงรายชื่อของเพื่อนคุณว่ามีคนไหนบ้างที่อยู่ใน Twitter แล้ว แต่คุณยังไม่ได้ตาม โดยรวมของการอัพเดต Twitter app จะให้ความรู้สึกถึงความเรียบง่าย และมีข้อผิดพลาดของการทำงานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามกันดูว่า มันจะมีเสถียรภาพในการทำงานแค่ไหน? หวังว่าข้อผิดพลาดในส่วนฟังก์ชัน DM จะได้รับการแก้ไขแล้ว โดยเฉพาะการที่มันชอบบอกว่า มีเมสเสจที่ยังไม่ได้อ่าน ทั้งๆ ที่พวกมันถูกอ่านหมดแล้ว อุ๊ปส์!!!
เว็บไซต์ในข่าว: Twitter
ไมโครซอฟท์กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทกำลังทำงานร่วมกับ The Dealmap บริษัทที่รวบรวม"ข้อตกลง"ของธุรกิจร้านค้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ โดยไมโครซอฟท์จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น เพื่อดึงข้อมูลจาก The Dealmap มาปักหมุด และแสดงผลบนแผนที่ของ Bing เพื่อให้ผู้ใช้บริการเสิร์ช สามารถทราบถึงตำแหน่งของร้านรวงใกล้ๆ ที่มีข้อตกลงน่าสนใจให้กับผู้ใช้สามารถซื้อคูปองแล้วเดินทางไปใช้ที่ร้านได้ ทันที การเปิดเกมรุกครั้งนี้ของไมโครซอฟท์เกิดจากความพยายามในการมองหานวตกรรมจาก พันธมิตร แทนที่จะเลือกเว็บไซต์ที่มีไอเดียน่าสนใจ แล้วเข้าซื้อ หรือก็อปปี้ขึ้นมาให้เป็นผลิตภัณฑ์ของตนเอง
นอก จากไมโครซอฟท์จะปรับปรุงการทำงานของ Bing ให้มีประสิทธิภาพการค้นหาที่ดีขึ้นแล้ว ยังเพิ่มบริการใหม่ๆ ในลักษณะข้างต้นเข้าไปด้วย รวมถึงความพยายามใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ กับเสิร์ชของบริษัท เพื่อให้มันเป็นบริการที่ข่วยให้ชีวิตผู้ใช้ง่ายขึ้น อย่างเช่น การใช้ HTML5 ในการพัฒนาเว็บไซต์จนทำให้มันดูคล้ายแอพฯบนสมาร์ทโฟนมากขึ้น สำหรับการใช้บริการใหม่ของ Bing บนสมาร์ทโฟน ผู้ใช้จะสังเกตเห็นรายการ Deals ปรากฎอยู่ในเมนู
เว็บไซต์ในข่าว: Bing
ในขณะที่เข้าร่วมงานประชุม TED 2011 ภายใต้หัวข้อ "The Rediscovery of Wonder" ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยเหล่ากูรู และศิลปินทีมีอิทธิพลต่อโลก ไม่ว่าจะเป็น บิลเกตส์, บ๊อบบี้ แมคเฟอริน, เดวิด บรูคส์ และจูลี่ เทย์มอร์ โดยบุคคลเหล่านี้ต่างมีคิวในการขึ้นพูดกันถ้วนหน้า แต่ดูเหมือนคนดังอย่าง Kutcher ที่ต้องขึ้นเวทีในงานนี้ กลับต้องเผชิญเรื่องประหลาดใจสุดขีด เมื่อพบว่า Twitter ของเขาถูก"แฮค"เข้าให้แล้ว
แฮ คเกอร์ที่เจาะบัญชีผู้ใช้ Twitter ของ Kutcher โดยโพสต์ข้อความเยาะเย้ยว่า บัญชีผู้ใช้ของนักแสดงหนุ่มไม่ปลอดภัย ซึ่ง Kutcher ไม่ใช่คนดังคนแรกที่โดนแฮค เพราะตั้งแต่ปี 2009 บัญชีผู้ใช้ของ Barack Obama ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Britney Spears, Rick Sanchez จาก CNN และสำนักข่าว FOX News ต่างก็เคยโดนแฮคมาแล้วทั้งสิ้น เมื่อเร็วๆ นี้ Selena Gomez ก็โดนโจมตีโดยแฮคเกอร์ ซึ่งโพสต์ข้อความว่า "Oh yeh, JUSTINBIEBER SUCKS!!!!!!" ดังรูป
เว็บไซต์ในข่าว: Twitter
เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Samsung ได้เปิดตัว Galaxy Tab 10.1 ในงาน MWC 2011 โดยได้รับการพัฒนาคุณสมบัติในด้านต่างๆ ให้มีความเหนือชั้นกว่ารุ่น 7 นิ้วอย่างชัดเจน นอกจากหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแล้ว มันยังมาพร้อมกับกล้อง และที่สำคัญที่สุดคือ การใช้ระบบปฏิบัติการ Android 3.0 Honeycomb แทนที่จะเป็น Android 2.2 Froyo แต่นั่นก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยให้มันขายได้ Lee Don-Joo รองประธานฝ่ายบริหารแผนกโมบายของซัมซุง ยอมรับว่า ดีไซน์ที่บางเฉียบ ราคาที่ถูกกว่าของ iPad 2 กำลังจะสร้างปัญหาให้กับซัมซุง เอ่อ...ชักไม่แน่ใจในสวัสดิภาพของผู้บริหารท่านนี้ซะแล้วสิ
iPad 2 มีความหนาเพียง 8.8 มม. บางลงกว่ารุ่นแรก 33% แถมยังบางกว่า iPhone 4 อีกด้วย ในขณะที่ Samsung Galaxy Tab 10.1 มีความหนา 10.9 มม. หรือหนากว่า iPad 2 ประมาณ 20% ซึ่งแน่นอนว่า ความแตกต่างระดับนี้ย่อมทำให้ Samsung หวั่นใจ ส่วนเรื่องของสเป็กอื่นๆ โดยเฉพาะประสิทธิภาพของการทำงาน ไม่ใช่เรื่องที่ Samsung หนักใจแม้แต่น้อย Lee กล่าวว่า "เราจะปรับปรุงชิ้นส่วนต่างๆ ของ Tab 10.1 ที่ยังไม่ดีพอ Apple ทำ iPad 2 ได้บางมาก" หากตีความจากคำกล่าวนี้ Lee ยอมรับว่า Galaxy Tab 10.1 หนาเกินไป และทางบริษัทจะต้องหาวิธีทำให้มันบางลงกว่านี้ เรื่องของราคาก็เป็นประเด็นอีกเช่นกัน Galaxy Tab ใน US ที่มีหน้าจอ 7 นิ้วจำหน่ายอยู่ที่ 600 เหรียญฯ (ประมาณ 18,000 บาท) ในขณะที่ ipad 2 ราคาเริ่มต้นที่ 499 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 บาท) ซึ่งซัมซุงมีแผนจะจำหน่าย Galaxy Tab 10.1 ด้วยราคาที่สูงกกว่า 600 เหรียญฯ เนื่องจากเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพ และคุณสมบัติของเครื่องที่สูงกว่ารุ่นแรกมาก แต่คาดว่า งานนี้ Samsung อาจจะต้องทบทวนเรื่องกลยุทธ์ของราคากันอีกครั้งอย่างแน่นอน
เว็บไซต์ในข่าว: Samsung, Apple
ส่วน ใหญ่กล้องถ่ายรูปดิจิตอลมักจะมาพร้อมกับฟังก์ชันแก้ไขภาพ"ตาแดง" แต่สำหรับกลุ่มเป้าหมายผู่ใช้กล้องที่เป็นผู้หญิงแล้ว ทำได้แค่นี้มันอาจจะน้อยไป Pansonic Lumix DMC-FX77 (ความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซล) ก็เลยเอาใจสาวๆ ด้วยซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่สามารถแต่งใบหน้าในภาพด้วยเครื่องสำอางค์ พร้อมทั้งลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ตลอดจนทำให้ฟันขาว และฟังก์ชันตกแต่งกระจุกกระจิกอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อทำให้ใบหน้าของคุณในภาพดูสดใส สวยเด้ง และมีความสุขมากขึ้น อืม...คิดไปได้
สำหรับ ความสามารถในการตกแต่งใบหน้าในภาพให้ดูสวยกิ๊กนั้น FX77 จะใช้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยตกแต่งใบหน้าของคุณในภาพให้ดูขาวใส หรือแต่งหน้าให้ชมพูระเรื่อย พร้อมด้วยเรียวปากที่สวยงาม กับยิ้มฟันขาว โดยสามารถเลือกโหมดให้แต่งหน้าโดยอัตโนมัติ หรือจะเติมแต่งเองก็ได้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของโหมดการทำงานที่มาพร้อมกับ กล้องรุ่นนี้ ทางบริษัทผู้ผลิตมั่นใจว่า โหมดแต่งหน้าของ Panasonic Lumix DMC-FX77 จะถูกใจกลุ่มลูกค้าที่เป็นสาวๆ อย่างแน่นอน อ้อ...นอกจากจะมีโหมดแต่งหน้า (Cosmetic Mode และ Beauty Retouch Mode) แล้ว มันยังมีโหมดแต่งภาพศิลปะ (Art Retouch) ที่จะช่วยปรับแต่งภาพให้มีความสวยงามทั้งความอิ่มของแสง ตลอดจนความสว่างของภาพ เพื่อให้ได้สีสันที่ถูกต้อง ซึ่งผลลัพธ์ทีได้จะทำให้ภาพถ่ายของคุณสวยงามกว่าที่เคย สนนราคาอยู่ที่ 398 เหรียญฯ หรือประมาณ 12,800 บาท
ข้อมูลจาก: panasonic
Samsung Galaxy Pro เป็นมือถืออีกหนึ่งรุ่นที่เข้ามาร่วมขบวนสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ด QWERTY โดยมีหน้าจอสัมผัสขนาด 2.8 นิ้ว กล้องดิจิตอล 3 ล้านพิกเซลทำงานในระบบออโต้โฟกัส และโพรเซสเซอร์ที่ใช้ทำงานด้วยความเร็ว 800MHz ส่วนระบบปฏิบัติการเป็น Android 2.2 ที่มาพร้อมกับ TouchWiz UI อินเตอร์เฟซเฉพาะของ Samsung นอกจากนี้ยังมีแอพฯ Social Media Hub Premium ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับชีวิตในโลกสังคมเครือข่ายได้พร้อมกันในที่ เดียว Samsung Galaxy Pro ยังได้พัฒนาให้ประหยัดพลังงงานเป็นพิเศษอีกด้วย
แม้ สเป็กจะไม่แรงสะใจเหมือนกับ Galaxy รุ่นอื่นๆ แต่ด้วยดีไซน์ในแบบที่ผู้ใช้ชื่นชอบ โดยเฉพาะคีย์บอรด์ QWERTY ที่พิมพ์ง่าย นอกจากนี้ มันยังสามารถทำหน้าที่เป็น Wi-Fi Hotspot ได้อีกต่างหาก หน่วยความจำ microSD 2GB (เพิ่มได้ถึง 32GB) ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ Samsung Galaxy Pro ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มลูกค้าได้ไม่น้อย กำหนดวางตลาดในเดือนเมษายน สนนราคาอยู่ที่ 350 เหรียญฯ (ประมาณ 11,000 บาท)
เว็บไซต์ในข่าว: Samsung
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์จาก Concord Securities ระบุว่า ตัวเลขทีมีการตวจสอบส่วนใหญ่มาจากประเทศในแถบเอเซีย ซึ่งพบว่า ยอดรวมของการส่ง MacBook Air ทั้งรุ่นหน้าจอ 11 และ 13 นิ้วในช่วง 3 เดือนสุดท้่ายของปีที่แล้วมียอดสูงกว่า 1.1 ล้านเครื่องเลยทีเดียว ซึ่งทำให้ MacBook Air กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเปิดตัวและประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติ ศาสตร์ของ Apple
โดย ตัวเลขที่ได้มากกว่าถึง 63% หรือมากกว่า 400,000 เครื่องจากการประเมินที่คาดว่าMacBook Air น่าจะทำยอดได้ 700,000 เครื่อง ซึ่งนั่นหมายความว่า MacBook Air มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว และคิดเป็น 1 ใน 3 ของธุรกิจโน้ตบุ๊คของทางบริษัท โดยสัดส่วนของยอดขาย MacBook Air เทียบกับ MacBook Pro จะอยู่ที่ 1:2 (ยอดส่งมอบสินค้าของเครื่อง Mac ทั้งหมดในช่วงไตรมาสสุดท้ายอยู่ที่ 2.9 ล้านเครื่อง)
ประเด็น ที่น่าสนใจก็คือ ยอดขาย MacBook Air ยังคงแข็งแรงต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2011 แต่ลดลงจากเดิม 40% อย่างไรก็ตาม Kuo ประเมินว่า Apple จะสามารถทำยอดขาย MacBook Pro รุ่นใหม่ ได้มากกว่ายอดที่ตกลงไปของ MacBook Air โดยทาง Apple ได้เพิ่มกำลังการผลิตเครื่อง Mac เพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดมากกว่า 4.5 ล้านเครื่องในระหว่างสามเดือนแรกของปีนี้ ซึ่งหากความต้องการเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ Apple จะเป็นบริษัทผู้ผลิตพีซีในโลกเพียงเจ้าเดียวที่มีรายงานตัวเลขการเติบโต เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบต่อไตรมาส
เว็บไซต์ในข่าว: Apple
จากผลการสำรวจผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามพบว่า 95% จะมีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุ 13 - 29 ปีจะใช้เทคโนโลยีที่ต้องมีการโต้ตอบการใช้งาน (Interactive tecnology) ด้วย อย่างเช่น อินเทอร์เน็ต มือถือ และวิดีโอเกมส์ มากกว่าใช้พวกอปกรณ์ที่ไม่ต้องมีการโต้ตอบ (passive) อย่างเช่น โทรทัศน์ (อันนี้เลี่ยงยากมาก และถือเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ บางรายจ้องทั้งจอทีวี โน้ตบุ๊ค และมือถือไปพร้อมๆ กันก่อนเข้านอน...เฮ่อ) ซึ่งประมาณ 61% จะใช้คอมพิวเตอร์ หรือแลปทอปประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
อ้าง อิงข้อมูลจาก NSF ระบุว่า ปัญหาคือ แสงสว่างที่เลียนแบบธรรมชาติ อย่างเช่น แสงที่สว่างออกมาจากหน้าจอ สามารถหยุดยั้งการผลิตสารเมลาโทนิน (melatonin) ของร่างกาย ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยให้คนนอนหลับ นอกจากนี้การมีกิจกรรมโต้ตอบแถมยังต้องใช้สมองคิดร่วมไปด้วยกับกิจกรรมเหล่า นั้น ยังส่งผลกระทบให้นอนหลับยากอีกด้วย Gadget ทีมีทั้งการส่องสว่างของหน้าจอตลอดจนเสียงออกจากลำโพงยังขัดขวางการนอนหลับ โดยเฉพาะมือถือที่มักจะวางอยู่ใกล้ๆ ที่นอน เพราะเมื่อมันทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึกก็มักจะเป็นการยากที่จะทำให้หลับต่อได้ ผลการศึกษาครั้งนี้แนะนำว่า ให้กำหนดเวลานอนที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงการใช้ Gadget ต่างๆ ที่มีแสงสว่างก่อนนอนหนึ่งชั่วโมง และอย่านอนหลับกลางวัน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณนอนหลับตลอดทั้งคืน แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ ประสบปัญหาเหล่านี้บ้างไหม?
ข้อมุลจาก: CDC
ขอขอบคุณภาพจาก National Geographic Channel
สำหรับ งานนี้ทางทีมงานได้สร้างบ้านที่มีดีไซน์แสนน่ารักและอบอุ่น ขนาดพื้นที่ 16 x 16 ฟุต (ประมาณ 24 ตารางเมตร) สูง 18 ฟุต (5.4 เมตร) โดยมีน้ำหนักรวม 2,000 ปอนด์ (ประมาณ 908.2 กิโลกรัม) ซึ่งต้องใช้ลูกโป่งบรรจุก๊าซฮีเลี่ยมขนาดใหญ่ถึง 300 ลูก (ที่เปิดออกจากใต้หลังคาบ้าน) เพื่อให้มันสามารถยกบ้านหลังนี้ให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ระดับความสูงถึง 10,000 ฟุต หรือประมาณ 3,000 เมตรจากพื้นดิน โดยมันลอยอยู่บนท้องฟ้าประมาณหนึ่งขั่วโมงก่อนที่จะค่อยๆ ลงจอดที่สนามบินส่วนตัวบริเวณทางเหนือของลอสแองเจลลิส ที่สำคัญ บ้านลูกโป่งที่ว่านี้มีผู้โดยสารที่เป็นคนเดินทางไปด้วย...โอ้ว!!!
National Geographic Channel ได้บันทึกความพยายามดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของตอนในรายการที่ชื่อว่า "How Hard Can It Be?" โดยมี paul Carson พิธีกรรายการ ซึ่งจะได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของการสร้างบ้านลูกโป่งหลังนี้้ ตลอดจนการทำให้มันลอยขึ้นไปได้ Carson กล่าวว่า"มันเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ" ทีมนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และกัปตันบอลลูนของ National Geographic ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการทำบ้านลูกโป่งแบบ Up ให้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip สามารถชมภาพอันน่าตื่นเต้นนี้ได้จากคลิปข้างล่างนี้ครับ มันน่าทึ่งจริงๆ เลย
ข้อมูลจาก: Youtube
ตอนนี้แอนดรอย์กลายเป็น os ที่มีคนใช้มากที่สุดใน สหรัฐฯ มีการแข่งขันกันเพื่อที่จะขึ้นมาเป็นเจ้าตลาด เพียง 27 เดือนที่ผ่านมานี้เอง หนึ่ง ในสาม หรือ 31.2% ของตลาดสมาร์ทโฟนใน สหรัฐฯ ที่มี os ของกูเกิ้ล มีเปอร์เซนการเติบโตและได้แซงหน้า os จากค่าย RIM ที่มีผู้ใช่ถึง 30.4% จากการศึกษาของ comscore. ในวันจันทร์ที่ผ่านมานี้เอง
แอ นดรอย์ได้เปิตัวในช่วงปลายเดือนตุลาคม ปี 2008 และมีมือถืออกมาหนึ่งรุ่น นั่นคือ HTC G1 ขายให้กับ ลูกค้าของ T-Moblie เท่านั้น ดูเหมือน แอนดรอย์เองพร้อมแล้วที่จะออกตัวไปในตลาดใหญ่ เมื่อ Motorola Droid ออกมาขายในปี 2009 กูเกิ้ลเริ่มต้นทำระบบปฏิบัติ การมือถือ ในปี 2010 ด้วยการมีเปอร์เซนทางการตลาดแค่ 7 % เท่านั้นเอง แต่ทว่า แอนดรอย์ได้กินส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาได้เปอร์เซน 2 % ในทุกๆเดือน
แอนดรอย์ได้เป็นอับดับสี่ใสตลาดสมาร์ทโฟน ในเดือน พฤษภาคม ปี 2010 และได้แซง os ของไมโครซอฟ อย่าง window moblie ในเดือน มิถุนายน, ในเดือน พฤศจิกายนนี้เอง แอนดรอย์ก้ได้แซง IOS ที่รันบน iPhone, iPod Touch และ iPad ในที่สุด ก็แซง Blackberry OS ไปในช่วงเดือนแรกของต้นปีนี้ ได้พิตคู่แข่งของระบบปฏิบัตการมือถือที่มีการเติบโตได้มากกว่า ถึง 42% จากปีที่แล้วและตอนนี้ มีผู้ใช้ แอนดรอย์ ราบใหม่ๆเพิ่มขึ้น 350,000 เครื่อง ต่อวัน
ข้อมูลจาก: CNN
ComScore บริษัทวิจัยตลาดระบุว่า ส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์ในสหรัฐฯลดลงไป 1.7% นับตั้งแต่เปิดตัวโอเอสบนมือถือรุ่นล่าสุดอย่าง Windows Phone 7 ในเดือนตุลาคมปีที่แล้วมาจนถึงเดือนมกราคมปีนี้ ซึ่งหากพิจารณาจากสถิติ จะเห็นว่า ผู้ใช้ Windows Mobile ส่วนหนึ่งได้เปลียนใจไปใช้สมาร์ทโฟนสายพันธุ์อื่นๆ ในขณะที่ผู้ใช้ Windows Phone 7 ที่เพิ่มเข้ามายังไม่มากพอที่จะทดแทนส่วนแบ่งตลาดที่ลดลงไป
อย่าง ไรก็ตาม เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้ Windows Phone 7 ไม่เร็วพอก็คือ การที่โอเปอเรเตอร์อย่าง Spint และ Verzion ไม่ได้มีสมาร์ทโฟนที่ใช้ WP7 เมื่อปีที่แล้ว (เพิ่งจะเริ่มมีให้เลือกปีนี้) นอกจากนี้ ผู้ใช้อีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังรออัพเดตที่จะเปิดโอกาสให้สมาร์ทโฟน WP7 สามารถใช้กับเทคโนโลยี CDMA ได้อีกด้วย ซึ่งหากมองในแง่บวก ทั้งสองประเด็นนี้น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งตลาดอีกครั้งหนึ่ง
รายงานข่าวล่าสุด มีข่าวลืออกมาว่า Microsoft ยอมควักเงินมากกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ ในการทำสัญญาร่วมกับ Nokia เพื่อนำ Windows Phone 7 ใส่เข้าไปในสมาร์ทโฟนของ Nokia ซึ่งหากไม่พิจารณาถึงต้นทุนที่เพิ่มขึั้นสำหรับการผลักดัน WP7 ของ Microsoft ในครั้งนี้ ก็เชื่อว่า ส่วนแบ่งตลาดน่าจะเพิ่มขึ้น แต่จะคุ้มกันหรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป
เว็บไซต์ในข่าว: Microsoft
สำหรับโปรโมชันในงานนี้ ใครที่กำลังเล็งว่าจะมาสอยโน้ตบุ๊คราคาสุดพิเศษ หรือเน็ตบุ๊คในราคาสุดคุ้มไม่ควรพลาด นอกจากนี้ยังมีจอ LCD และ Printer ที่สเป็กน่าสนใจ หรือแม้แต่เป็นของแถมไปกับโน้ตบุ๊ค ซึ่งข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนที่นำมาฝากกันครับ แต่หากต้องการทราบรายละเอียดมากกว่านี้ แนะนำให้เข้าไปที่หน้าเว็บโปรโมชั่นของ commart ครับ
โน้ตบุ๊ค Core-i5 ราคาหมื่นกว่าบาท: ASUS X42JY-VX022D โน้ตบุ๊ค Intel Core-i5 (2.66GHz), 2GB DDR3, HDD 500GB, OS: DOS ราคาตลาด 21,900 บาท ราคาในงาน COMMART: 18,900 บาท (จำนวนจำกัด)
Buy 1 Get 1 Free!!! ซื้อ Libretto W100-1001U โน้ตบุ๊ก"จอทัชสกรีนคู่"เครื่องแรกของโลก ราคา 49,900 บาท (รวม VAT แล้ว) รับฟรี!!! เน็ตบุ๊ก NB500-1003T มูลค่า 10,900 บาท
Buy 1 Get 1 Free!!! ซื้อ Qosmio F60-BD541 โน้ตบุ๊กสำหรับ"คอเกมส์" ราคา 49,900 บาท (ไม่รวม VAT) รับฟรี!!! Printer Canon Photo Printer Selphy CP800 มูลค่า 4,990
Hot hour Hot price กับเน็ตบุ๊กโตชิบา เน็ตบุ๊กเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมลำโพง Harman Kardon® ( Spec: Atom N550/Windows7 Starter/ RAM 2G /HDD 320G / ลำโพง Harman Kardon) ราคาตลาด: 15,843 บาท ราคา COMMART: 7,900 บาท (ไม่รวม VAT) จำกัดวันละ 3 เครื่อง ลงทะเบียน"ลุ้นรับสิทธิ์"ที่บูธโตชิบา
SAMSUNG NP-RV409-A03TH โน้ตบุ๊ค Intel Core i3-380 แรม 2GB HDD 640GB ราคาปกติ: 16,900 บาท COMMART: 14,900 บาท (ไม่รวม VAT)
Dell XPS(TM) L401X สเป็ก"ดุสะใจ"
ราคาปกติ: 40,990 บาท (ไม่รวม VAT) ราคา COMMART: 29,990 บาท (ไม่รวม VAT) จนกว่าของจะหมด
นอก จากโน้ตบุ๊คและเน็ตบุ๊ค แรงดี ราคาประหยัด พร้อมของแถมน่าทึ่งสุดขีดแล้ว ยังมีอุปกรณ์น่าสนใจอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น LCD TV 32 นิ้วราคา 9,990 บาท (วันละ 10 จอ), LCD TV 42 นิ้วราคา 19,900 บาท (วันละ 10 จอ) ราคารวม VAT แล้ว เน็ตบุ๊คเครื่องละ 5,xxx บาท กล้องดิจิตอล 14 ล้านพิกเซล ราคา 7,990 บาท (วันละ 5 เครื่อง) รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ commart
สำหรับ ข่าวลือใหม่ล่าสุดที่มีการเผยแพร่ออกมาก็คือ เคสด้านหลังของ iPhone 5 จะใช้อะลูมิเนียมแทนการใช้กระจกแก้วที่มีปัญหาว่ามันแตกร้าวได้ ซึ่งจะว่าไป การใช้อะลูมิเนียมเป็นทางที่ Apple ชอบอยู่แล้ว นอกจากจะเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำเคสของ iPhone 5 แล้ว เสาสัญญาณยังได้รับการออกแบบใหม่ โดยจะไม่มีการโผล่ส่วนใดๆ ของเสาสัญญาณออกมาเหมือนดีไซน์ของ iPhone 4 แต่จะซ่อนอยู่ด้านหลังโลโก้ของ Apple ซึ่งจะคล้ายกับวิธีซ่อนเสาสัญญาณ Wi-Fi ในตัวเคสของ iPad หลักฐานที่ทำให้แนวคิดนี้มีความน่าเชื่อถือก็คือ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว Apple ได้จดสิทธิบัตรสำหรับวิธีซ่อนเสาอากาศไว้ในโลโก Apple ของ iPhone ส่วนเรื่องเคส iPhone 5 จะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม ยังไม่มีแหล่งข่าวออกมายืนยันถึงความเป็นไปได้ แต่ก็ถือว่า เป็นข่าวลือข่าวแรกที่ฟังดูมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว ยังไงก็ต้องติดตาม ความชัดเจนอีกทีในวันที่ 5 มิถุนายน 2011
เว็บไซต์ในข่าว: Apple
"Facebook เป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้หลายร้อยล้านคนเข้าไปเยี่ยมชมทุกวัน" Thomas Gewecke ผู้บริหาร Waner Brothers กล่าว "การทำให้ภาพยนต์ของเราสามารถให้บริการรับชมได้บน Facebook เป็นการต่อยอดความพยายามในการเข้าสู่โลกดิจิตอลได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพราะมันทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงภาพยนต์ต่างๆ ของเราได้ง่าย เมื่อมันอยู่บนโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ใหญ่ที่สุดในโลก"
ภาพยนต์ เรื่องแรกที่ใช้เปิดตัวบน Facebook page ของ Warner Brothers ก็คือ อภิมหาภาพยนต์ในปี 2008 เรื่อง Batman ตอน "The Dark Knight" (อัศวินแห่งรัตติกาล) โดยสามารถเช่าชมได้ด้วย 30 Facebook credits หรือประมาณ 3 เหรียญฯ (100 บาท) สำหรับการดาวน์โหลดมาชมในเครื่อง ซึ่งจะเปิดรับชมได้ภายใน 48 ชั่วโมงเท่านั้น ในส่วนของภาพยนต์เรื่องอื่นๆ จะทะยอยปล่อยออกมาในเดือนนี้ ข้อมูลจาก WSJ ระบุว่า Facebook จะได้ส่วนแบ่ง 30% ของค่าเช่าภาพยนต์ทุกเรื่อง
ชัดเจน ว่า การเปิดให้บริการสตรีมภาพยนต์ของ Warner Bros เป็นเรื่องดีสำหรับ Facebook เพราะจะทำให้ผู้ใช้อยู่ในเว็บไซต์นานขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มแทรฟฟิกในอนาคต ซึ่งจะทำให้ผู้ลงโฆษณาพอใจมากขึ้นไปอีก แต่ข่าวนี้คงไม่น่าเป็นสุขเท่าไรสำหรับ Netflix และ Hulu ที่ให้บริการสตรีมภาพยนต์ และโปรแกรมรายการทางโทรทัศน์กับผู้บริโภคออนไลน์ เพราะการแข่งขันครั้งนี้ Facebook ได้เปรียบค่อนข้างชัดเจนมากทีเดียว
เว็บไซต์ในข่าว: darkknight
Tim Steele ตัวแทนของ Google อ้างว่า การเร่งประสิทธิภาพการทำงานในส่วน JavaScript ของ Chrome 10 ให้แรงขึ้น ก็เพื่อตอบโจทย์การทำงานร่วมกับเว็บแอพที่มีความซับซ้อนสามารถตอบสนองการทำ งานกับผู้ใช้ได้เร็วขึ้นกว่าบราวเซอร์เวอร์ชันก่อนหน้านี้ นอกจากเรื่องประสิทธิภาพของการทำงานแล้ว ทางทีมพัฒนา Chrome 10 ยังได้เพิ่มอินเตอร์เฟซในส่วน Settings ใหม่ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าที่เหมาะสมให้กับบราวเซอร์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องคลิกหลายครั้ง สำหรับการเข้าถึงฟังก์ชันที่สำคัญๆ อย่างเช่น บุ๊คมาร์ค หรือการเปลี่ยนโฮมเพจของบราวเซอร์ ทั้งนี้ทีมพัฒนาได้เพิ่มคุณสมบัติการแสดงผลขณะพิมพ์ เพื่อเข้าถึงตัวเลือกต่างๆ ตลอดจนการก็อปปี้ URLที่ใช้ในการเข้าถึงเมนู Settings เหล่านั้นโดยตรงได้อีกด้วย (คุณสามารถส่ง URL นี้ไปให้เพื่อนที่เป็นมือใหม่ แล้วไม่รู้ว่าจะเข้าถึงตัวเลือกที่คุณแนะนำได้อย่างไร) ซึ่งคุณผู้อ่าน สามารถทำความรู้จักกับอินเตอร์เฟซใหม่ได้จากคลิปข้างล่างนี้
ไม่ เพียงแต่จะเพิ่มความเร็วของ JavaScript บนอินเตอร์เฟซของบราวเซอร์ที่เรียบง่ายแล้ว Chrome 10 ยังอนุญาตให้ผู้ใช้จัดเก็บพาสเวิร์ดไว้บน Google Cloud ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณสามารถล็อกอินเข้าไปยังเว็บไซต์ต่างๆ จากอุปกรณ์ใดก็ได้ เพียงแค่ซิงค์ (synchronizing) ล็อกอิน และพาสเวิร์ดที่เก็บไว้ในบริการคลาวด์ของกูเกิ้ล โดยข้อมูลในการล็อกอินที่ได้รับการจัดเก็บเหล่านั้นสามารถเข้ารหัสเพื่อความ ปลอดภัยเป็นพิเศษได้อีกด้วย ซึ่งสำหรับการซิงค์คอมพิเตอร์ของคุณกับบริการคลาวด์ก็ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่เข้าไปที่เซ็คชั่น Personal Stuff ใน Settings ของ Chrome หรือพิมพ์ "sync" ในกล่องค้นหาของ Settings โดยผู้ใช้สามารถเลือกที่จะซิงค์ได้ทั้ง bookmarks, extensions, preferences, themes และอื่นๆ อีกมากมาย
และ สุดท้าย กูเกิ้ลได้อัพเดตเทคโนโลยี sandbox สำหรับการทำงานร่วมกับ Flash Player ในบราวเซอร์ Chrome เพื่อป้องกันการบุกรุกจากหน้าเว็บที่มีโค้ดอันตราย อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่จะได้รับประโยชน์จากชั้นการป้องกันที่เพิ่มขั้นมานี้ จะต้องใช้ระบบปฏิบัติการตั้งแต่ Windows Vista ขึ้นไป คุณผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Chrome 10 ได้ที่ google.com/chrome
ข้อมูลจาก: Chromeblog
Gene Munster นักวิเคราะห์จาก Piper Jaffray ได้เผยแพร่รายงานการประเมินยอดขาย iPad 2 หลังจากเปิดตัว โดยเขากล่าวว่า การเพิ่มช่องทางขายค่อนข้างมากสำหรับ iPad 2 ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ เราอาจจะเห็นการต่อแถวที่สั้นลงกว่าเดิม แต่ยอดขายโดยรวมจะสูงมากทีเดียว Munster ตั้งข้อสังเกตว่า iPad เวอร์ชันแรกได้วางจำหน่ายผ่าน Apple Stores ในสหรัฐฯทั้งหมด 221 แห่ง และ Best Buy อีก 1,100 สาขา ในขณะที่ปีนี้ iPad 2 จะมีการจำหน่ายตามหน้าร้านต่างๆ มากกว่าถึง 10,000 แห่งในวันศุกร์นี้ ซึ่งรวมถึง Apple Stores 236 สาขา ศูนย์บริการของโอเปอเรเตอร์อย่าง AT&T และ Verizon Wireless ตลอดจนห้างใหญ่อย่าง Best Buy, Wal-Mart และ Target
"โดย ทั่วไป ดัชนีชี้วัดความฮอตของ iPad จะใช้ความยาวของแถวที่ยืนอยู่หน้าร้านของ Apple ในวันแรกที่วางตลาด" Munster เขียนในรายงานที่ส่งให้กับนักลงทุน "อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น การจอง iPad 2 ผ่านออนไลน์ การวางจำหน่ายพร้อมกันในหลายๆ ประเทศ สภาพภูมิอากาศ เวลาเปิดขาย และการเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งหมดนี้มีผลต่อความพยายามของผู้บริโภคในการที่จะยืนต่อแถว แต่ครั้งนี้อาจจะใช้เป็นตัวชี้วัดไม่ได้ เนื่องจากลูกค้าสามารถซื้อหา iPad 2 ได้ง่ายมาก" เมื่อปีที่แล้ว Apple ได้อนุญาตให้ผู้ซื้อ iPad สั่งซื้อล่วงหน้าผ่านออนไลน์ โดยทางบริษัทจะจัดส่งให้ในวันเดียวกันกับวันแรกที่วางตลาด แต่ปีนี้ไม่มีการสั่งจองล่วงหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่า หากลูกค้าต้องการ iPad 2 ในวันศุกร์พวกเขาจะต้องไปซื้อมันที่ร้าน โดยลูกค้าเป็นจำนวนมากจะกระจายอยู่ตามหน้าร้านต่างๆ ร่วม 10,000 แห่ง (มากกว่าเดิมเกือบ 10 เท่า) เฉลี่ยกันไป
เว็บไซต์ในข่าว: Apple
เจ้าของ iPad ส่วนใหญ่มักจะใช้แอพฯฟรีอย่าง Flipboard ซึ่งมันทำงานโดยการเชื่อมโยงแอพฯเข้ากับบัญขีผู้ใช้ Facebook และ Twitter ของคุณ เพื่อนำคอนเท็นต์จากฟีด (feeds) ต่างๆ มาเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอด้วยหน้าตาของ"นิตยสาร"ได้อย่าง สมบูรณ์แบบ มีทั้งภาพประกอบ พาดหัวเรื่อง พร้อมด้วยฟังก์ชันการพลิกหน้าเสมือน (virtually flipable) ทั้งหมดนี้ทำให้ Flipboard ได้รับรางวัลสุดยอดแอพฯ iPad แห่งปี 2010 นอกจากจะรับฟีดจากโซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งสองแล้ว มันยังมีฟีดข่าวของตัวเอง และล่าสุดยังสามารถเชื่อมต่อกับบัญชีผู้ใช้ Flickr ได้อีกด้วย
แต่ เดี๋ยวก่อน จากประสบการณ์ของผู้ใช้ Flipboard ส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยได้มีเวลาอ่ามมันสักเท่าไร? เนื่องจากแทนที่มันจะช่วยค้นหาคอนเท็นต์ที่คุณสนใจ มันกลับทับถมคุณด้วยคอนเท็นต์ที่มาจากฟีดต่างๆ มากมาย ทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ค ซึ่งไม่ได้มีการคัดกรองแต่อย่างใด หรือพูดง่ายๆ มันไม่แคร์ว่า คุณจะสนใจคอนเท็นต์เหล่านั้นแค่ไหน? หน้าทีมันคือ หยิบคอนเท็นต์เหล่านั้นมาจัดวางให้อยู่ในรูปฟอร์แมต"นิตยสาร"เป็นอันเสร็จ พิธี "มัน (Flipboard) ไม่เวิร์ก เนื่องจากมีเรื่องราวข่าวสารมากมายบนโลกออนไลน์ และผมไม่รู้ว่าเรื่องที่สนใจมันอยู่ที่ไหน?" Ali Devar ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง Zite กล่าว "มันไม่มีระบบอัตโนมัติที่คอยฟีดเรื่องราวสำคัญๆ ที่ผมพลาดในแต่ละวัน Search ไม่ได้แก้ปัญหาดังกล่าว Social ก็ไม่ได้แก้ปัญหานี้ ผู้ทดสอบที่ได้ลองใช้ Zite เวอร์ชันเบต้า ส่วนใหญ่กลับมาหาเราแล้วบอกว่า "ขอบคุณพระเจ้่าที่บันดาลสิ่งนี้มาให้ เพราะทำให้ฉันได้รับคอนเท็นต์ที่ต้องการโดยเฉพาะ ความรู้สึกแย่ๆ ในการพลิกหาข้อมูลที่อยากอ่านได้ถูกแก้ไขแล้ว" Zite จะดึงเรื่องราวต่างๆ จากฟีดของ Twitter หรือจาก Google Reader ก็ได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่คุณสามารถเลือกหัวข้อต่างๆ จากหลายร้อยหัวข้อที่คุณสนใจ หรือจะเริ่มต้นจากการให้ Zite นำเสนอขึ้นมาให้เอง ซึ่งอาจจะมีเรื่องที่คุณไม่สนใจรวมอยู่ด้วย
อย่าง ไรก็ตาม ความลับที่ทำให้ Zite แตกต่างจาก Flipboard ก็คือ ตัวแอพฯจะมีการเรียนรู้จากพฤติกรรมการอ่านในทุกๆ วันของคุณด้วย มันจะคอยเฝ้าดูชนิดของเรื่องราวข่าวสารที่คุณคลิกอ่าน ความยาวของเรื่องราวเหล่านั้น และระยะเวลาที่คุณใช้อ่านมัน เช่นเดียวกันมันก็คอยสังเกตด้วยว่า เรื่องรวประเภทใดที่คุณไม่สนใจจะคลิกอ่านเลย เมื่อมันได้คำตอบทั้งสิ่งที่ต้องการ และไม่ต้องการอ่านของผู้ใช้แล้ว การนำเสนอนิตยสารของ Zite จึงมีแต่เรื่องที่คุณสนใจ และแทบไม่พบเรื่องที่คุณไม่อยากอ่านเลย ไอเดียของการปรับแต่งคอนเท็นต์ตามความสนใจของผู้บริโภคนี้จะคล้ายๆ กับ Netflix และ Amazon ที่สามารถเลือกหนัง หรือผลิตภัณฑ์ทีคุณน่าจะอยากชม จากผู้บริโภคที่ชอบซื้ออะไรเหมือนๆ กันนั่นเอง โดย Zite จะทำการเปรียบเทียบความสนใจในคอนเท็นต์ต่างๆ ระหว่างผู้อ่านอยู่ด้านหลัง เพื่อใช้ตัดสินใจนำเสนอคอนเท็นต์โดนๆ ให้กับคุณ Devar ใช้ทีมงานในการพัฒนา Zite 8 คน โดยเป็นนักวิจัยในห้อง Computational Intelligence Laboratory จากมหาวิทยาลัย British Columbia ในแวนคูเวอร์
เว็บไซต์ในข่าว: Zite
หลังจากที่ปล่อย iOS 4.3 เวอร์ชันทดสอบออกมายั่วน้ำลายผู้ใช้ iPhone, iPad และ iPod Touch กันมาได้เดือนกว่าๆ Apple ก็ตัดสินใจเปิดให้ดาวน์โหลด iOS 4.3 ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยสำหรับระบบปฏิบัติการ iOS 4.3 ทางบริษัทได้พัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมทั้งเพิ่มคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจเข้าไป โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้
สำ หรับการอัพเดท iOS 4.3 บน iPhone, iPad และ iPod Touch ผู้ใช้สามารถติดตั้งอัพเดทได้โดยคลิกปุ่ม "Check for Update" ที่หน้า device summary ในโปรแกรม iTunes ส่วนเจ้าของ Apple TV 2 สามารถดาวน์โหลดอัพเดตได้จากเมนู "Check for updates"
เว็บไซต์ในข่าว: Apple
Apotheker กล่าวว่า เขาต้องการเห็นความชัดเจนในการใช้ประโยชน์จาก WebOS ระบบปฎิบัติการที่ได้มาจากการเข้าซื้อ Palm Inc. บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยเม็ดเงินสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญฯ โดยตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ทุกเครื่องที่ออกจาก HP นอกจากจะรัน Windows ของ Microsoft ได้แล้ว มันจะต้องสามารถรัน WebOS ได้ด้วย (Dual-Boot) ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป้าหมายก็เพื่อเปิดประตูให้กลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในวงกว้าง สำหรับการสร้างสรรค์แอพพลิเคชันต่างๆ เพื่อทำให้คอมพิวเตอร์ของ HP แตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น
อย่าง ไรก็ตาม จำนวนแอพฯ บน WebOS มีน้อยกว่า iOS และ Android ค่อนข้างมากทีเดียว โดยมีอยู่ประมาณ 6,000 แอพฯเท่านั้น แม้กระทั่ง Windows Phone 7 ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานยังมีแอพมากกว่าเสียอีก เป้าหมายของ HP จากนี้ไปจึงต้องพยายามโน้มน้าวให้นักพัฒนาสร้างสรรค์แอพฯบนแพลตฟอร์ม WebOS และผลักดันให้เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับระบบปฏิบัติการบนคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์โมบาย
เว็บไซต์ในข่าว: HP
Sebastian Thrun วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Google ในฐานะหัวหน้าโครงการดังกล่าว เปิดเผยถึงที่มาของโครงการนี้ เขาทำวิจัยนี้ เพื่อค้นหาวิธีต่างๆ ที่ทำให้การขับรถยนต์มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เขาเคยต้องสูญเสีย เพื่อนในวัยเด็กจากอุบัติเหตุรถชน Thrun ได้แสดงวิดีโอของรถยนต์ที่ขับได้เองบนถนนปกติได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ อย่างเช่น กวาง ที่อาจจะกำลังข้ามถนน หรือการขับเลี่ยงหลบรถบรรทุกทีสวนมาได้เองโดยอัตโนมัติ
นอก จากนี้ในบริเวณสถานที่นอกงานประชุม TED ทาง Google ยังได้ใช้พื้นที่ลานจอดรถ เพื่อเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองนั่งรถยนต์ที่สามารถหลบเลี่ยงกรวยกั้นไป ตามเส้นทางได้เองโดยอัตโนมัติอีกด้วย โดยในการสาธิตผู้ขับไม่ต้องสัมผัสแฮนด์ เหยี่ยบคันเร่ง หรือแตะเบรคแต่อย่างใด มันน่าทึ่งมากที่รถสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะทาง Google ได้โปรแกรมเส้นทางไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่หากเป็นบนท้องถนนจริงที่ต้องใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ อย่าง GPS และกล้อง 360 องศาที่อยู่บนหลังคา เพื่อประเมินสถานการณ์ในการขับโดยรอบตลอดเวลา (รถยนต์ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า หลัง ซ้าย และขวา ตลอดจนสัญญาณไฟจราจร และผู้คนที่เดินข้ามถนน) มันก็คงจะไม่สามารถซิ่งได้ขนาดนี้ สำหรับรถยนต์ ที่ใช้ในการดัดแปลงก็คือ Toyota Prius
เว็บไซต์ในข่าว: TED2011
Credit : ARIP News
© 2024 Created by thaiMCFC. Powered by
You need to be a member of Manchester City Fan Club in Thailand Website to add comments!
Join Manchester City Fan Club in Thailand Website