Sphero ลูกบอลไฮเทคบังคับด้วยมือถือ?
รายงานข่าวแรกของวันนี้ ขอประเดิมด้วยแก็ดเจ็ต (Gadget) ที่เป็นของเล่นไอเดียที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา เพราะมันคือ Sphero หุ่นยนต์"ลูกบอล"จากบริษัท Orbotix ซึ่งสามารถควบคุมให้มันเคลื่อนที่กลิ้งไปมาได้ด้วย Bluetooth และเซ็นเซอร์จับตำแหน่งการเอียง (Tilt Sensor) บนสมาร์ทโฟนของคุณ
ก่อน หน้านี้ เราเห็นความพยายามใช้ iPhone และสมาร์ทโฟน Android ในการควบคุมของเล่นตั้งแต่รถบังคับวิทยุไปจนถึง AR. Drone เครื่องบินบังคับแบบ 4 ใบพัด แต่สำหรับในงาน CES 2011 ที่จะมีในเดือนมกราคมนี้ หลายคนจะได้พบกับ Sphero ลูกบอลไฮเทคฯที่สามารถควบคุมให้กลิ้งไปในทิศทางต่างๆ ได้ตามต้องการ เพียงแค่คุณจับสมาร์ทโฟนเอียงไปมาเท่านั้น ว่าแต่นี่เราขี้เกียจถึงขั้นแค่จะกลิ้งลูกบอลเล่นกันเลย หรือนี่?
แต่อย่าเพิ่งสรุปเอาง่ายๆ เช่นนั้น ซีอีโอ orbotix เล่า ว่า การใช้สมาร์ทโฟนควบคุมลูกบอลของเขาเป็นอะไรที่สนุกมาก และมันสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแอพพลิเคชันต่างๆ ได้มากมาย เช่น เกมส์ Augmented Reality, ปริศนาเขาวงกต เป็นต้น โดยทางบริษัทได้ทำ API สำหรับพัฒนาแอพพลิเคชันบน iPhone และ Android เพื่อใช้ควบคุมเจ้า Sphero ให้ด้วย Spero จะน่าสนุกแค่ไหน ลองชมจากคลิปข้างล่างนี้ก็แล้วกันนะครับ
Autosteroscopic (หมายถึงระบบสร้างภาพ 3D แบบไม่ต้องใช้แว่นตา) 3D Screen เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่ปัญหาของเทคนิคนี้ก็คือ ผู้ใช้จะสามารถมองเห็นภาพ 3D ที่สมบูรณ์แบบในมุมมองที่ไม่กว้างมากนัก นั่นหมายความว่า ในบางมุมมองผู้ใช้จะไม่สามารถเห็นมิติที่ทะลุจอออกมาได้ชัดเจน
แต่ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป เมื่อได้สัมผัสกับเทคโนโลยี Toshiba Mobile Display หน้าจอแสดงผล 3D ที่สามารถปรับตำแหน่งที่ให้ผู้ใช้ได้มองเห็นวัตถุในรูป 3D ตลอดเวลา โดยแทนที่ผู้บริโภคจะต้องเลือกหามุมมอง ด้วยหน้าจอขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยี ผู้บริโภคจะใช้มือจับหน้าจอ เพื่อมองภาพวัตถุที่อยู่ภายในแทน โดยเทคโนโลยีของการแสดงผลจะคอยปรับแต่งให้ เห็นภาพเป็น 3D ที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลา (อาศัยหลักการที่ว่า ลักษณะการจ้องมองจะตั้งฉากหน้าจอ เพราะส่วนใหญ่จะดูคนเดียว)
ความ ลับของเทคโนโลยีนี้ก็คือ การติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่ง 6 แกน (6-axis accelerometer) เข้าไปในหน้าจอแท็บเล็ตขนาด 12.1 นิ้ว เมื่อผู้บริโภคเอียงแท็บเล็ตในมุมมองต่างๆ ก็จะสามารถมองเห็นมุมมองต่างๆ ของภาพวัตถุ 3D ในหน้าจอ โดยซอฟต์แวร์จะแสดงภาพ 3D ในมุมมองที่เหมาะสมด้วยการคำนวณค่าที่ได้จากเซ็นเซอร์นั่นเอง แทนที่จะผลักภาระการทำงานไปให้กับฮาร์ดแวร์ Toshiba คาดว่า มันเหมาะสำหรับการใช้งานทางด้านการศึกษา และชอปปิ้ง ซึ่งนอกจากจะจอของแท็บเล็ตต้นแบบจะแสดงผลเป็น 3D แบบไม่ต้องใส่แว่นตาแล้ว มันยังมีรองรับการทำงานในระบบสัมผัสอีกด้วย
คุณผู้อ่านเคยนึกอยากมีโมเดล"ตัวจิ๋ว"ที่เป็นตัวคุณเองกันบ้างไหมครับ หากสนใจ และอยากมีไว้ครอบครอง ลองแวะเข้าไปสั่งทำได้ที่ Sculpteo เพียงแค่ส่งไฟล์รูปถ่ายไปให้ 2-3 ใบ จ่ายตังค์ แล้วก็รอประมาณ 2 สัปดาห์ คุณก็จะได้เป็นเจ้าของโมเดลจิ๋วที่หน้าตาเหมือนคุณเปี๊ยบ!!!
Sculpteo ให้ บริการพิมพ์โมเดล 3D กับผู้สนใจต้องการมีโมเดลจิ๋วของตัวเอง (หรือแฟนก็ได้) เพียงแค่อัพโหลดภาพ 2 รูปคือ หน้าตรง และทั้งตัวผ่านทางเว็บไซต์ จากนั้นทางบริษัทก็จะออกแบบโมเดลจิ๋วของตัวคุณ (mini-you) โดยใช้รายละเอียดจากภาพที่ส่งไปให้ ซึ่งในขั้นตอนที่สองทางบริษัทจะส่งภาพต้นแบบผลงานให้ดูก่อนผลิตจริง เผื่อว่าหากคุณต้องการแก้ไข หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ลูกค้าก็จะได้รับโมเดลจิ๋วของตัวเอง โดยทางบริษัทมีให้เลือก 2 ขนาดด้วยกันคือ ที่ความสูงประมาณ 2.7 นิ้วราคาตัวละ 75 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,300 บาท หรือที่ความสูง 3.9 นิ้วราคา 130 เหรียญฯ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 4,000 บาท อุ๊ปส์!!!
จอบส์มองว่า แท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วเล็กเกินกว่าที่จะใช้ได้ถนัด หรือมองคอนเท็นต์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วนชัดเจน แต่ล่าสุดมีรายงานออกมาจาก Reuters ที่ เปิดเผยโดยโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งหนึ่งในเอเชีย ซึ่งระบุว่า Apple กำลังเตรียมออก iPad Mini พร้อมกับ iPad 2 ในช่วงต้นปี 2011 จะว่าไปข่าวนี้มันดูขัดแย้งกับสิ่งที่จอบส์แสดงความเห็นออกมาก่อนหน้านี้ เพราะไม่น่าเชื่อว่า จอบส์จะเปลียนใจหันมาชอบแท็บเล็ต 7 นิ้วที่เล็กกว่า iPad มาตรฐานถึงครึ่งหนึ่งภายในระยะเวลาอันสั้น
อย่าง ไรก็ตาม Shaw Wu นักวิเคราะห์จาก Kaufman Brothers เชื่อในข่าวดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า สตีฟ จอบส์กำลังโกหก ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ผู้คนไม่สนใจในสิ่งที่ Apple กำลังทำ เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาหัวเราะเยาะกับไอเดียที่เชื่อว่า iPod น่าจะเล่นวิดีโอได้ ซึ่งในเวลาต่อมา iPod หลายๆ รุ่นก็เล่นวิดีโอได้อย่างที่เราเห็นกัน แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่จอบส์พยายาม รายงานข่าวลือที่ออกมาล่าสุดก็ยังไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่ดี เนื่องจาก iPad ออกมาเติมเต็มช่องว่างการใช้งานระหว่าง iPhone กับ MacBook เมื่อเป็นเช่นนี้ มันมีประเด็นอะไรที่ Apple จะออก iPad 7 นิ้วอีกล่ะ?
แม้ ว่าจะยังอีกตั้งครึ่งเดือนกว่าที่จะผ่านปีนี้ไป แต่ Twitter ก็ได้สรุป 10 หัวข้อที่เป็นแนวโน้ม (trending topics) ของปี 2010 โดยแยกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ของความสนใจจนกลายเป็นกระแสตลอดช่วงปีนี้ ซึ่งข้อมูลจากบล็อกของ Twitter ระบุว่า พวกเขาได้วิเคราะห์แนวโน้มทั้งหมดจากทวีตที่เกิดขึ้นในเว็บไซต์ ซึ่งมีมากกว่า 25 พันล้านทวีต ข้างล่างนี้เป็น 10 อันดับประเด็นฮอตที่มีกระแสการพูดถึงในปี 2010
นอก จากสรุป 10 แนวโน้มของประเด็นฮอตทั้งหมดแล้ว ทาง Twitter ยังได้แบ่ง Trending Topics ออกเป็นหมวดหมู่ด้วย โดยประเด็นทางเทคโนโลยีที่มีการพูดถึงมากที่สุดตามลำดับมีดังนี้ (Apple กินขาด)
นี่แค่ตัวอย่างนะครับ สำหรับประเด็นฮอตในหมวดหมู่ต่างๆ ทั้งหมดได้ถูกรวบรวมไว้ที่
ล่าสุดรายงานข่าวจากเว็บไซต์วารสาร Applied Physics ระบุ ว่า นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยในรัฐแอริโซน่าได้พัฒนาสสารที่มีคุณสมบัติในการซ่อม ตัวเองให้กลับมามีโครงสร้างเหมือนเดิมได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป้าหมายของการวิจัยและพัฒนาในหัวข้อ "โครงสร้างที่สามารถปรับตัวได้เองโดยอัตโนมัติ" ก็เพื่อเลียนแบบความสามารถของระบบทางชีววิทยาอย่างเช่น การพัฒนากระดูกที่เมื่อมันรับรู้ความเสียหายทางโครงสร้างของตัวเองได้แล้ว มันจะสามารถสร้างใหม่ หรือปรับตัวให้คืนสภาพเหมือนเดิมได้
สสาร ที่สามารถคืนชีพได้เหมือนเดิมโดยอัตโนมัตินี้ พัฒนาโดย Henry Sadano และเพื่อนร่วมทีม โดยใช้โพลีเมอร์ที่คุณสมบัติจำรูปร่างเดิมได้ หรือ "shape-memory" ที่ภายในฝังด้วยเส้นไยแสงที่มีฟังก์ชันเป็นทั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความเสียหาย และระบบกระตุ้นด้วยความร้อน เพื่อสร้างการตอบสนองการเลียนแบบความรู้สึกที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต เลเซอร์อินฟราเรดจะส่งแสงผ่านไปยังไฟเบอร์เส้นไยแก้ว เพื่อให้เกิดความร้อนขึ้นในตำแหน่งที่วัสดุเกิดความเสียหาย ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้กลไกของการรักษาตัวเองให้กลับสู่สภาพเดิมทำงาน เทคโนโลยีสสารซ่อมตัวเองของทางมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซน่าจะเป็นพัฒนาการ อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งต่อยอดจาก Shape-Memory Polymer ของ MIT ในคลิปข้างล่างนี้ครับ
ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในได้เปิดเผยกับ Nick Bilton ผู้สื่อข่าวจาก New York Times ว่า ไมโครซอฟท์จะเปิดตัว "แท็บเล็ต" ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 มากมายหลายรุ่น ซึ่งมีรุ่นที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ดแบบเลื่่อนออกมาได้ (slide-out physical keyboard) ตลอดจนแอพพลิเคชันที่พัฒนาด้วย HTML5 รวมถึงช่องทางในการกระจายแอพพลิเคชันเหล่านี้ โดยไม่ใช้โมเดล app store นักวิเคราะห์ต่างๆ ให้ความเห็นว่า มันเป็นก้าวย่างที่สำคัญของไมโครซอฟท์ แต่"แท็บเล็ต"หลายๆ รุ่นที่จะได้พบเห็นในงานนี้อาจจะไม่เหมือนกับที่หลายคนคาดคิดมาก่อน
Bilton รายงานว่า ไมโครซอฟท์ได้ร่วมมือกับ Samsung, Dell และบริษัทผู้ผลิตอีกหลายรายในการผลิต"แท็บเล็ต"ที่จะเปิดตัวในงาน CES 2011 หลังจากที่บอลเมอร์ได้เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาว่า "แท็บเล็ตสายพันธุ์ Windows จะออกมาสู่ท้องตลาดในเร็วๆ นี้..." ทั้งนี้นักวิจัยตลาดจาก Forrester กล่าวว่า แท็บเล็ต Windows 7 เป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับไมโครซอฟท์มาก "ไมโครซอฟท์จำเป็นที่จะต้องมีพันธมิตรอย่างน้อยหนึ่งรายที่จะพัฒนาแท็บเล็ต Windows ให้สำเร็จ เพื่อต่อกรกับ iPad ของ Apple และต่ออายุใหักับ OS ของตนเองสำหรับการมีพื้นที่แสดงตัวตนกับผู้บริโภค ดังนั้นไมโครซอฟท์ต้องปรับเปลี่ยน OS ให้สามารถทำงานบนอุปกรณ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากพีซีทั่วไป"
ขณะ เดียวกันทาง Forrester ยังได้แสดงความเห็นแย้งเกี่ยวกับโมเดล "ไม่มี app store" ของไมโครซอฟท์ พร้อมทั้งให้เสนอแนวทางที่จะทำให้ไมโครซอฟท์ประสบความสำเร็จ ในสมรภูมินี้ว่า "แท็บเล็ต Windows 7 จะสามารถต่อกรกับคู่แข่งได้ก็ต่อเมื่อไมโครซอฟท์จะพยายามเชื่อมโยงการทำงาน ร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้โดยง่าย อย่างเช่น การทำงานร่วมกับ Zune HD หรือซิงค์กับ Xbox 360 รวมถึง Natal (Kinect) สำหรับการสตรีมมิ่งวิดีโอ และเกมส์ ซึ่งจะทำให้แท็บเล็ตของไมโครซอฟท์สามารถให้คำตอบที่เหนือกว่า iPad และดำรงอยู่ในตลาดได้ต่อไป" อย่างไรก็ตาม ประเด็นเหล่านี้น่าจะมีความชัดเจนขึ้น เมื่อถึงวันงาน CES 2011 ซึ่งทางเว็บไซต์ arip จะติดตาม และนำเสนอข้อมูลให้ผู้อ่านทุกท่านได้ทราบอย่างต่อเนื่อง
สำหรับรูปแบบการหลอกครั้งใหม่นี้พบได้ในฟรีแวร์ชื่อ Win Defragmenter ซึ่งอ้างว่ามันเป็นโปรแกรมที่สามารถออปติไมซ์ระบบให้ทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยหลอกผู้ใช้ให้ตกใจด้วยข้อความเตือนปลอม และพยายามโน้มน้าวให้ผู้ใช้เชื่อว่า ตอนนี้ได้เกิดความผิดปกติขึ้นในระบบ จากนั้นเร่งรัดการตัดสินใจด้วยการแนะนำให้ซื้อซอฟต์แวร์เวอร์ชันสมบูรณ์ (full version) เพื่อแก้ไขปัญหา(ที่ไม่มีอยู่จริง)ดังที่ได้แจ้งเตือน
เมื่อ คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ติดพวกมันเข้าไป Win Defragmenter จะเริ่มต้นการทำงานทุกครั้งที่คุณล็อกอินเข้าสู่ Windows และแสดงข้อความผิดพลาดปลอมทุกครั้งที่คุณพยายามจะรันโปรแกรมใดๆ ซึ่งรวมถึงโปรแกรม Anti Virus ด้วย หรือแม้แต่พยายามจะลบไฟล์ต่างๆ บางครังก็อาจจะแสดงหน้าต่างขึ้นมาร้องขอให้คุณสแกนระบบด้วย Win Defragmenter และหลังจากที่มันทำทีว่าตรวจระบบเสร็จก็จะแสดงรายการผิดพลาดปลอมขึ้นมามาก มาย พร้อมทั้งหลอกว่า ข้อผิดพลาดที่พบนี้สามารถแก้ไขให้เป็นปกติได้ เพียงแค่ผู้ใช้ซื้อ(มัลแวร์)เวอร์ชันสมบูรณ์ นอกจากจะหลอกให้คุณรู้สึกกลัว เพื่อจะได้จ่ายเงินซื้อมันแล้ว ผลกระทบอื่นๆ ที่มีต่อระบบก็เช่น บางโฟลเดอร์ของคุณจะว่างเปล่า หรือไม่ก็แสดงรายชื่อไฟล์ของโฟลเดอร์อื่น ทำให้ระบบดูสับสนจริงๆ ความร้ายกาจของมันไม่หมดเพียงนี้ เนื่องจาก Win Defragmenter จะไม่ยอมให้คุณรันโปรแกรมใดๆ โดยจะปิดการทำงานของโปรแกรมที่คุณสั่งรันทันที แถมยังหลอกว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณมีปัญหาแล้ว!!!
นอก จาก Win Defragmenter แล้ว มันยังมีผองเพื่อนทีเป็นโปรแกรม Defrag ปลอมๆ อีกหลายตัวด้วย ไม่ว่าจะเป็น Ultra Defragger, Smart Defragmenter, HDD Defragmenter, System Defragmenter, Disk Defragmenter, Quick Defragmenter, Check Disk, และ Scan Disk ข้อสังเกตก็คือ ไอคอนของโปรแกรม และอินเตอร์เฟซจะคล้ายๆ กัน (ประมาณว่าเปลี่ยนแค่ชื่อเท่านั้น) ทราบกันอย่างนี้แล้ว คุณผู้อ่านที่น่ารักของ arip ทุกท่านก็ระวังตัวกันด้วยนะครับ
Apple เข้าใจถึงความยุ่งยากดังกล่าวเป็นอย่างดี ทางบริษัทจึงได้ออก iPad Camera Connection Kit ชุดคิทที่ช่วยให้คุณสามารถถ่ายโอนไฟล์ภาพถ่ายดิจิตอลจากการ์ดหน่วยความจำ SD หรือเชื่อมต่อกับกล้องถ่ายรูปโดยตรงผ่านทางพอร์ต USB ที่มากับชุดคิทด้วยสนนราคา 29 เหรียญฯ (ประมาณ 900 บาท) ว่าแต่คุณสมบัติแค่นี้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค หรือยัง? ล่าสุดบริษัทในจีนได้ออกชุดคิทเลียนแบบชื่อว่า 3-in-1 iPad Camera Connection Kit โดยเพิ่มช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ microSD เข้าไปด้วย เนื่องจากผู้ผลิตมองว่า ผู้ใช้ที่ถ่ายภาพด้วยกล้องบนสมาร์ทโฟนอย่าง Android จะได้สามารถนำการ์ดหน่วยความจำในเครื่องมาใส่ชุดคิทนี้ เพื่อถ่ายโอนภาพเข้าไปใน iPad ได้ทันทีนั่นเอง สนนราคาก็เท่าๆ กันนั่นคือ 30 เหรียญฯ (ประมาณ 900 บาท)
3-in-1 iPad Camera Connection Kit มีให้เลือก 2 สีคือดำกับขาว สามารถสั่งจองได้ที่ M.I.C Store โดยจะเริ่มส่งสินค้าได้หลังช่วงคริสต์มาส สำหรับชุดคิทนี้น่าจะเหมาะกับผูัใช้ที่เป็นเจ้าของ iPad รุ่นปัจจุบัน แต่สำหรับ iPad 2 ที่คาดว่าจะออกมาในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า น่าจะมีช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ และพอร์ต USB ให้มาด้วย ผู้ใช้จะได้ไม่ต้องลำบากกับการหาซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมให้เสียเงินแถม ไม่ค่อยสะดวกที่จะต้องพกพามันติดตัวเวลาไปไหนอีกด้วย
Acer บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับหนึ่งของประเทศไทยได้แนะนำ Gadget ทีหลายๆ คนไฝ่ฝันที่อยากจะมีไว้ครอบครองนั่นคือ LED Pico Projector C20 สุดยอดโปรเจคเตอร์ขนาดกระทัดรัดเท่าโทรศัพท์มือถือ น้ำหนักเบาแค่ 166 กรัม สามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ หรือกระเป๋ากางเกงของคุณ C20 จะช่วยให้คุณสามารถนำเสนองานกับลูกค้าได้โดยไม่ต้องแบกโปรเจ็กเตอร์ตัวใหญ่ และโน้ตบุ๊คไปด้วย เพียงแค่ต่อ Acer LED Pico Projcetor C20 เข้ากับยูเอสบีไดรฟ์ หรือเครื่องอ่านการ์ดหน่วยความจำเท่านั้น นอกจากนี้เรา ยังสามารถใช้มันฉายภาพยนต์ หรือภาพถ่ายดิจิตอลขนาดใหญ่ เพื่อแบ่งปันให้เพื่อนๆ ดูด้วยกันได้อีกต่างหาก เรียกว่า ตอบโจทย์ทั้งงานและบันเทิงจริงๆ
จุด เด่นของ ACER LED Pico Projector C20 ก็คือ ความสามารถในการฉายภาพที่ความละเอียดสูงผ่านทางพอร์ตการเชื่อมต่อ HDMI ซึ่งจะให้ความสมบูรณ์แบบของความบันเทิงในการรับชมสูงสุด สีสันคมชัดเสมือนจริงด้วยความละเอียดระดับ WVGA (854x480) และสูงสุดได้ถึง WXGA (1,280x800) คอนทราส 2000:1 และความสว่าง 20 ANSI Lumens อายุการใช้งานหลอดภาพยาวนาน 20,000 ชั่วโมง พร้อมหน่วยความจำภายในเครื่อง 50MB และลำโพงในตัว ส่วนแบตเตอรี่สามารถฉายได้นานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง สนนราคา 13,900 บาท (รวม VAT แล้ว) ใครที่กำลังมองหาของขวัญเท่ๆ ให้กับเพื่อนอยู่ ตัวนี้ก็ไม่เลวเลยนะครับ
Zuckerberg สามารถเอาชนะขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง ใหม่ในสหรัฐ (Tea Party), Hamid Karzai ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน, Julian Assange บ.ก. WikiLeaks และการกู้คนงานเหมืองในชิลี ความจริง Zuckerberg ติดอยู่ในกลุ่มของบุคคลสำคัญที่ นิตยสาร Time ยกย่องตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งมีทั้ง Ben Bemanke, Barak Obama, Vladimir Putin และคุณ สำหรับบุรุษแห่งปีคนแรกของนิตยสารคือ Charles Lindbergh ในปี 1927 ซึ่งเขาเป็นนักบินคนแรกที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากนิวยอร์กถึงปารีสโดย ไม่หยุดพัก
"การ ได้รับการยกย่องให้เป็นบุรุษแห่งปีของนิตยสาร Time (Time Person of the Year) นับได้ว่าเป็นเกียรคิอย่างยิ่ง และเป็นที่น่าจดจำของทีมงานเล็กๆ ของเราที่กำลังสร้างบางสิ่งบางอย่างที่คนหลายร้อยล้านต้องการใช้ เพื่อเปิดโลกแห่งการเชื่อมต่อ ผมมีความสุขที่เป็นส่วนหนึ่งในนั้น" Zuckerberg กล่าว "Zuckerberg เป็นคนที่อยู่ในรุ่นสุดท้ายที่ได้จดจำการใช้ชีวิตก่อนอินเทอร์เน็ต" Time เขียน "เขาเริ่มต้น Facebook ด้วยวิธีที่ผู้คนสื่อสาร และติดตามความเป็นไปของกันและกัน ตลอดจนเย้าแหย่กันในบางโอกาส และได้แลกเปลี่ยนกันดูรูปของคนอื่นๆ แต่ในความคิดของเรา Zuckerberg กำลังทำให้คนในรุ่นของเขาควบคุมอินเทอร์เน็ต"
เนื้อหาในนิตยสาร Time ฉบับดังกล่าวได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ Zuckerberg และการเริ่มต้นของ Facebook ไว้ค่อนข้างยาวทีเดียว ใครที่คิดว่า Facebook ได้ถึงจุดสูงสุดของมันแล้ว อาจจะต้องคิดใหม่ "Zuckerberg เพิ่งจะเริ่มต้นทำสิ่งที่เขาคิดเท่านั้น" Time กล่าว ปัจจุบัน Facebook มีสมาชิกผูัใช้ทั่วโลกมากกว่า 550 ล้านคนแล้ว!!!
NSS Labs กล่าวว่า "Windows Internet Explorer 9 (beta) สามารถเอาตัวรอดได้จากภัยคุกคามของมัลแวร์ที่ใช้กลไกของสังคมในการหลอกให้ คลิกลิงค์ หรือเปิดไฟล์แนบอันตรายต่างๆ ด้วยประเด็นความสนใจที่อยู่ในกระแส (ข่าวฮอต, เรื่องลามก ฯลฯ) ได้สูงสุดถึง 99% ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Smartscreen ซึ่งมีอยู่ใน IE8 ด้วย" ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า อันดับสองของบราวเซอร์ที่ปลอดภัยจากมัลแวร์ประเภทนี้ก็คือ IE8 ที่ตามมาติดๆ คือ 90% ก่อนที่จะทิ้งห่าง Firefox 3.6 ที่ปกป้องได้เพียง 19% Safari 5 11% แต่ที่น่าตกใจมากที่สุดคือ Chrome 6 ที่ปกป้องผู้ใช้จากมัลแวร์ประเภทนี้ได้แค่ 3% เท่านั้น ส่วน Opera 10 ไม่สามารถปกป้องได้เลย (0%)
เทคโนโลยี SmartScreen ของ IE8 และ IE9 Beta จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับลูกค้าด้วยการตรวจจับ และบล็อคเว็บไซต์ต่างๆ ที่พยายามกระจายมัลแวร์ที่ใช้กลไกสังคมในการแพร่กระจาย รวมถึงการโจมตีด้วยเทคนิคฟิชชิ่ง (Phishing) ด้วย แม้ IE9 จะได้การยอมรับว่า เป็นบราวเซอร์ที่มีประสิทธิภาพที่ดี และปลอดภัยมาก แต่ผู้ใช้ก็ยังไม่มากเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม งานนี้ Google คงต้องขอเคลียร์ เนื่องจากในรายงานที่ออกมาเป็นการเปรียบเทียบกับ Chrome 6 เวอร์ชันเก่า (ตอนนี้ Chome 8 ออกมาแล้ว) และผลทดสอบนี้เสร็จตั้งแต่กันยายน แต่ทำไม NSS Labs กับ Microsoft ถึงต้องรอจนถึงเดือนธันวาคม
สำหรับคุณสมบัติการรู้จำเสียงเฉพาะบุคคล (personalized recognition) ที่เพิ่มขึ้นมานั้น จะยังคงมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร โดยจะให้ใช้ได้เฉพาะภาษาอังกฤษและผู้ใช้ในสหรัฐก่อน และใช้งานได้บนอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.2 ขึ้นไป เมื่อผู้ใช้เปิดคุณสมบัติใหม่นีขึ้นมา ระบบจะจัดเก็บเสียงการค้นหาของคุณไว้ และสร้างสถิติโปรไฟล์เสียงของคุณด้วยระดับเสียง และน้ำเสียง ตลอดจนการออกเสียง และจังหวะการพูด
"เทคโนโลยี รู้จำเสียงพูด (speech recognition) จะทำงานบนพื้นฐานของสถิติ โดยสามารถรู้จำการออกเสียงคำพูดต่างๆ (ที่ผู้แต่ละคนจะมีสไตล์ และความชัดเจนในการออกเสียงไม่เหมือนกัน) ซึ่งระบบจะเปรียบเทียบเสียงที่ป้อนเข้ามาให้เสิร์ชด้วยสถิติของการออกเสียง ของคำในภาษานั้นๆ (ส่วนใหญ่ออกเสียงกันอย่างไร แล้วเสียงทีคุณเปล่งออกมาใกล้เคียงเสียงของคำพูดส่วนใหญ่คำไหน) และพยายาม ค้นหาที่มันใกล้เคียงทีสุด ซึ่งจะทำให้ระบบสามารถคาดเดาคำที่มาจากเสียงที่คุณพูดเข้าไปได้แม่นยำที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การค้นหาที่ถูกต้องที่สุดไปด้วยนั่นเอง" Google อธิบายในไฟล์ช่วยเหลือการใช้งาน
เมื่อผู้ใช้ใช้คุณสมบัติดังกล่าวไป เรื่อยๆ ระบบก็จะพัฒนาความสามารถในการรู้จำเสียงของคุณได้อย่างแม่นยำ การบันทึกเสียงของคุณจะเชื่อมโยงกับระบบบัญชีผู้ใช้ Google Account และจะไม่มีใครสามารถเข้าไปฟังได้ รวมถึงไม่ปรากฎในผลลัพธ์การค้นของใครยกเว้นของคุณเอง
ด้วย Face Recognition หรือเทคโนโลยี "รู้จำใบหน้า" เมื่อคุณอัพโหลดภาพถ่ายเข้าไปในบริการแชร์ภาพ ระบบจะทำการค้นหา และระบุใบหน้า พร้อมทั้งแนะนำแท็ก (tags) ที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ สำหรับความลับของการทำงานก็คือ มันจะใช้การอ้างอิงจากแท็กที่ปรากฎในภาพถ่ายต่างๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งทาง Facebook ได้เปิดเผยว่า ในแต่ละวันผู้ใช้จะมีการแท็กภาพที่แชร์ให้กันมากกว่า 100 ล้านแท็กเลยทีเดียว ด้วย Face Recognition ทางบริษัทหวังว่า มันจะช่วยให้ขั้นตอนนี้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
"ใน ขณะที่ tags เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการแชร์ภาพถ่ายที่สำคัญ แต่ผู้ใช้หลายคนบ่นว่า การแท็กภาพถ่ายเป็นงานที่น่าเบื่ออันหนึ่ง (ลองสมมติว่า คุณต้องแท็กภาพถ่ายงานหมั้นของลูกพี่ลูกน้องที่ประกอบด้วยคู่หมั้น ญาติพีน้อง เพื่อนสนิทมิตรสหาย ตลอดจนแขกเหรื่อต่างๆ ถึง 64 ภาพ)" ข้อความที่วิศวกรของ Facebook โพสต์ไว้ในบล็อก "แต่ต่อนี้ไป เมื่อคุณอัดโหลดภาพถ่ายในงานดังกล่าว เราจะสามารถรวมกลุ่มของภาพของเจ้าสาว และระบุชื่อของเธอ โดยแทนที่จะต้องพิมพ์ชื่อของเธอถึง 64 ครั้ง สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ แค่คลิ้กปุ่ม Save เพื่อให้แท็กปรากฎขึ้นมาในคราวเดียว ด้วยวิธีนี้จะทำให้การแท็กง่ายกว่าเดิมมาก"
ในทางกลับกัน เมื่อผู้ใช้แท็กคุณในภาพ Facebook จะเปิดโอกาสให้คุณสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (privacy settings) ให้ไม่แนะนำชื่อของคุณเข้าไปในแท็กโดยอัตโนมัติได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จะยังคงสามารถแท็กภาพถ่ายด้วยตัวเอง ซึ่งคุณจะได้รับการแจ้งเตือนเมือภาพของคุณถูกแท็ก และคุณสามารถลบแท็กเหล่านั้นออกไปได้ โดยคุณจะถูกแท็กโดยเพื่อนของคุณใน Facebook เท่านั้น สำหรับ Face Recognition ในบริการ Photo Sharing ของ Facebook จะเริ่มเปิดให้ใช้ในสหรัฐอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
สำหรับการอัพเดตแอพฯ Bing 2.0 for iPhone ครั้งล่าสุดนี้ นอกจากจะมีเรื่องของการออกแบบยูสเซอร์อินเตอร์เฟซใหม่ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น แล้ว ทางไมโครซอฟท์ยังเพิ่มฟังก์ชัน "เสิร์ชด้วยเสียง" (Voice Search) ซึ่งใช้เทคโนโลยี Tell Me ของทางบริษัท ทั้งนี้ไมโครซอฟท์อ้างว่า บริการเสิร์ชด้วยเสียงของ Bing 2.0 จะเร็วกว่าเดิม แถมยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งผลลัพธ์การค้นที่ได้ให้ดีขึ้น โดย ไม่ต้องค้นหาซ้ำอีกครั้ง
Bing 2.0 for iPhone ยังเพิ่มความสามารถในการค้นด้วยภาพจากล้อง หรือ Camera Search รวมถึง Bing Streetside ที่ทำให้สามารถมองเห็น และสำรวจเส้นทางบนถนนด้วยมุมมองแบบภาพกว้างได้ นอกจากนี้ในส่วนของ Social Network ยังได้เชื่อมบริการเข้าไป โดยผู้ใช้สามารถเช็ค Facebook, Foursquare และ Windows Live Messenger ได้โดยไม่ต้องออกจาก Bing 2.0 อีกด้วย ส่วนเวอร์ชันบนมือถือ Android ก็จะมีการอัพเดตบริการ "What's nearby" (แถวนี้มีร้านค้า หรือสถานที่อะไรน่าสนใจบ้าง?) ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้รู้เส้นทางที่จะไปยังร้าน อาหารที่อยู่ในละแวกนั้นได้ อีกคุณสมบัติการทำงานหนึ่งก็คือ ผู้ใช้ Bing 2.0 for Android จะสามารถทำบุ๊คมาร์คให้กับภาพที่ได้จากผลลัพธ์การค้นได้แล้ว
G Optimus 2X (เดิมชื่อ LG Star) สมาร์ทโฟนที่ผู้บริโภคหลายคนให้ความสนใจ โดยเฉพาะสเป็กที่แรงจนล้นเหลือด้วยการเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้ขุมพลังโพ รเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Tegra 2 ทำงานที่ความเร็ว 1GHz ผู้ใช้สามารถเล่นวิดีโอฟูลไฮเดฟฯ 1080p โดยต่อเชื่อมทางพอร์ต HDMI และบันทึกวิดีโอไฮเดฟฯ ด้วยกล้อง 8 ล้านพิกเซล ในขณะที่ด้านหน้ามีกล้อง 1.3 ล้านพิกเซล เพื่อใช้บริการวิดีโอคอลล์ได้อีกด้วย
LG Optimus 2X มาพร้อมกับหน้าจอ WVGA ขนาด 4 นิ้ว สตอเรจภายในเครื่อง 8GB (เพิ่มการ์ดหน่วยความจำ microSD ได้สูงสุด 32GB) แบตเตอรี่ 1,500mAh ซึ่งไม่ได้ใหญ่ไปกว่าแบตเตอรี่มือถือโพรเซสเซอร์คอร์เดียวที่ใช้ในปัจจุบัน น่าเสียดายที่มันยังทำงานด้วย Android 2.2 แต่ทางบริษัทสัญญาว่าจะอัพเดต Gingerbread ตามมาในภายหลัง LG Optimus 2X เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้โพรเซส 2 แกน โดยจะวางตลาดในเกาหลีเดือนหน้า ตามด้วยตลาดในฝั่งยุโรป แล้วจึงค่อยประเทศในแถบเอเซีย สำหรับตอนนี้ดูคลิปยั่วน้ำลายไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกันนะครับ
คุณผู้อ่านยังจำ คลิปแอนิเมชั่นการแกะกล่องแอนดรอยด์โฟน Nexus One ของ Google ที่สร้างสรรค์โดย Patrick Bolvin ได้ไหมครับ? ซึ่งแทนที่จะมีแค่มือที่ค่อยๆ แกะกล่อง Nexus One แอนิเมเตอร์ผู้นี้เลือกที่จะนำเสนอเป็นการช่วงชิงมือถือรุ่นใหม่โดยเหล่านิ นจาตัวจิ๋ว โดยทำออกมาเป็นภาพการต่อสู้ที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์ ล่าสุดเขากลับมาอีกครั้งด้วยภาคสอง คราวนี้เป็นการแกะกล่อง Google Nexus S แทน
แต่ มาคราวนี้ เขาเพิ่มลูกเล่นความสะใจที่มากกว่าเดิม เมื่อเหล่าบรรดานินจาพบว่า Nexus S ไม่ได้อยู่ในกล่อง แต่มันอยุ่ที่โฆษณา ซึ่งปรากฎอยู่นอกจอวิดีโอของ YouTube พวกเขาจะทำอย่างไร? ใครที่จะได้มันไป จะสนุกแค่ไหน ลองไปพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองดีกว่า เล่าให้ฟังเดี๋ยวจะหมดสนุกกันเสียเปล่า (คลิ้กบนภาพที่อยู่ข้างล่างนี้ได้เลยครับ)
Update: ความ สนุกยังไม่จบแค่ในคลิปนะครับ เพราะคลิปจบ เรื่องยังไม่จบ ให้คุณผู้อ่านเลื่อนหน้าจอลงมาที่ด้านล่าง จะพบว่า นินจาได้ทิ้งอาวุธ "กระบองสองท่อน" ที่ยึดกันด้วยโซ่ คุณผู้อ่านสามารถใช้เมาส์ลาก และเหวี่ยงมัน เพื่อฟาดฟันหน้าเว็บ YouTube ให้แตกกระเจิงได้อีกด้วย :D
แม้จะมีแอพฯแปลภาษาบน iPhone ออกมาให้เห็นกันพอสมควร แต่สำหรับแอพฯตัวที่นำมาฝากคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ในวันนี้ รับรองว่า ต้องไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะผู้ใช้สามารถใช้กล้องบน iPhone แปล"ข้อความ"ที่ปรากฎอยู่ในป้ายได้ทันที (real-time translation) โดยซ้อนทับคำแปลด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) โอ้ว!!! อะไรจะปานนั้น
ในช่วงปี 2010 เทคโนโลยีการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ (Real-time translation) และ Augmented Reality ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุด ซึ่ง Word Lens แอพฯ แปลภาษาบน iPhone ตัวล่าสุด ได้นำสองเทคโนโลยีนี้มาทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว โดย Word Lens สามารถเปลี่ยน iPhone ของคุณให้กลายเป็น "พจนานุกรมแห่งอนาคต" (คล้ายกับที่เคยอ่านพบในนิยายวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว) สำหรับการทำงานของแอพฯ จะเป็นการใช้ OCR (Optical Character Recognition) หรือระบบรู้จำตัวอักษรอ่านข้อความที่ปรากฎในภาพที่จับด้วยกล้องของ iPhone เพื่อแปลจากนั้นใช้ AR แสดงผลความหมายซ้อนทับขึ้นไป ดังนั้นผู้ใช้สามารถใช้ iPhone จับภาพป้ายโฆษณา เสื้อยืด หรือแม้แต่ฉลากสินค้าต่างๆ ทีมีข้อความที่ต้องการให้แปล ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอพฯ Word Lens ได้ฟรี แต่โมดูลแปลภาษาที่ตอนนี้มีแค่ 2 โมดูลคือ ภาษาอังกฤษเป็นสเปน และสเปนเป็นภาษาอังกฤษ สนนราคาโมดูลละ 4.99 เหรียญฯ (ประมาณ 150 บาท) ลองดูคลิปการทำงานข้างล่างนี้ แล้วคุณจะต้องชอบอย่างแน่นอน
แม้จะมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้สายหูฟังของคุณไม่พันม้วนกันทั้งในเวลา เก็บ หรือใช้งาน แต่มันก็ดูวุ่นวายเกินไป ล่าสุดทางเว็บไซต์"เออาร์ไอพี" (arip) ได้ไปพบหูฟังรุ่นใหม่ล่าสุดที่รับรองว่า ปัญหาดังกล่าวของคุณจะหมดไป ซึ่งไอเดียในการแก้ปัญหาของหูฟังทีว่านี้ก็คือ การใช้"ซิป" (zip) รูดสายทั้งสองให้ติดกันได้ซะเลย...ว้าว!!!
zipbuds ชุดหูฟังที่มาพร้อมกับไอเดียแหวกแนว แต่เวิร์ก นั่นก็คือ การนำซิปมาใช้สำหรับการรูดสายของหูฟังซ้ายขวาให้รวมเป็นเส้นเดียวได้ ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยแก้ปัญหาสายพันกันทั้งในขณะที่เก็บ หรือระหว่างใช้งานได้นั่นเอง แถมยังดูดีอีกด้วย ความจริงไอเดียนี้น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะ สนนราคาของ zipbuds อยู่ที่ 39.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,200 บาท ลองชมคลิปสาธิตการใช้งานข้างล่างนี้ รับรองว่า คุณต้องอยากเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน...เอ่อ...ผมหมายถึง zipbuds นะครับ :D
เช้าวันจันทร์เริ่มต้นทำงานอย่างนี้ ขอนำเสนอข่าวเบาๆ กันก่อนนะครับ เชื่อว่า คุณผู้อ่านเว็บไซต์เออาร์ไอพี (arip) คงจะเคยผ่านตามาบ้างสำหรับการใช้ Microsoft Excel วาดภาพ หรือแม้แต่ทำเกมส์ต่างๆ อย่างเช่น Pacman หรือ Tetris ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า โปรแกรมออฟฟิศจะสามารถนำมาทำผลงานสร้างสรรค์ลักษณะนี้ได้ ว่าแต่คู่แข่งอย่าง Google Docs จะทำอะไรอย่างนี้ได้บ้าง หรือเปล่า?
ล่า สุดมีนักแอนิเมเตอร์ 3 คนใช้เวลา 3 วันร่วมกันพัฒนางานนำเสนอที่น่าอัศจรรย์ โดยผลงานทั้งหมด (450 สไลด์) เป็นการสร้างภาพเคลื่อนไหว (animation) ทีมีเรื่องราวต่อเนื่องบน Google Docs ล้วนๆ ซึ่งสำหรับผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดไฟล์ นำเสนอขนาดใหญ่นี้ไปลองเล่นดูได้ แต่ถ้าแค่อยากดูว่า มันน่าอัศจรรย์แค่ไหน? ก็ลองชมคลิปสนุกๆ ข้างล่างนี้ดูก็แล้วกัน งานนี้บอกได้คำเดียวว่า "ไม่ธรรมดา"จริงๆ :D
ใครที่กำลังมองหาตุ๊กตาประดับต้นคริสต์มาส แล้วอยากได้แบบที่น่ารักไม่เหมือนใคร ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์เออาร์ไอพี (arip) ขอแนะนำตุ๊กตากระดาษ Steve Jobs ซีอีโอของ Apple ที่สามารถพิมพ์ออกมาด้วยกระดาษ A4 ตัดพับติดกาว เพื่อนำไปแขวนบนต้นคริสต์มาสของคุณ
สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจอยากได้ตุ๊กตากระดาษ Steve Jobs ไปแขวนบนต้นคริตส์มาส หรือเก็บเป็นคอลเล็คชั่นสามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ไปทำเล่นได้เลยครับ :Db
รายงานข่าวล่าสุด นักวิเคราะห์อ้างว่า Samsung มีโอกาสที่จะใช้แพลตฟอร์ม Nvidia Tegra 2 กับแท็บเล็ตรุ่นต่อไปของทางบริษัทนั่นก็คือ Galaxy Tab 2 นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาอีกด้วยว่า มันจะใช้ระบบปฎิบัติการ Honeycomb (Android 3) และคาดว่าจะสามารถวางตลาดได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2011
Ambrish Srivastava นักวิเคราะห์เซมิคอนดัคเตอร์ที่ BMO Capital Market เปิดเผยกับนักลงทุนว่า Nvidia จะเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปวิดีโอที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในตลาดแท็บเล็ตที่มี แนวโน้มว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2011 โดยนักวิเคราะห์รายนี้ได้มีโอกาสพบปะกับบริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 30 แห่งที่ตั้งอยู่ในประเทศภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำให้เขาค่อน ข้างมั่นใจว่า Nvidia Tegra 2 (ชิป Dual Core A9) มันน่าจะถูกใช้ใน Galaxy Tab 2 ปีหน้า
ปัจจุบัน มีแท็บเล็ต Advent Vega เพียงเจ้าเดียวที่ใช้ชิปดังกล่าว แต่ในปีหน้า ซึ่งจะมีแท็บเล็ตเปิดตัวอีกมากมาย โดยในจำนวนนี้จะมี Motorola และ LG ที่เปิดเผยว่าแท็บเล็ตของทางบริษัทจะใช้ Tegra 2 อย่างไรก็ตาม มันฟังดูค่อนข้างเป็นไปได้ยากสำหรับการวิเคราะห์ที่ว่า Samsung จะใช้ Nvidia Tegra 2 ทั้งๆ ที่ทางบริษัทมีชิป Hummingbird ที่ใช้ใน Galaxy Tab เวอร์ชันแรกอยู่แล้ว ขณะเดียวกันทางบริษัทก็เพิ่งจะประกาศชิปในตระกูล Humingbird ชื่อว่า Orion ที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นต้นแบบสำหรับโพรเซสเซอร์ Apple A5 ซึ่งจะใช้ใน iPad 2, iPhone 5 และ iPod Touch 5G สิ่งที่เหมือนกันของ Orion กับ Nvidia Tegra 2 ก็คือ มันใช้ ARM Cortex A9 2 คอร์ ทำงานร่วมกับ ULP Nvidia GeForce GPU ที่ใช้พลังงานต่ำมากๆ
Mobile-Review เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีในรัสเซียเปิดเผยว่า Nokia และ Microsoft ได้ประชุมร่วมกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมือ ถือ Nokia ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Phone 7 เพื่อให้สามารถวางตลาดได้ภายในปี 2011
เว็บไซต์อ้างว่า Nokia และ Microsoft ได้มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งสองบริษัทกำลัง พยายามหาความเป็นไปได้ในการพัฒนามือถือโนเกียวินโดวส์โฟน 7 ซึ่งรายงานบนเว็บไซต์เปิดเผยอีกด้วยว่า มันจะเป็นการสร้างมือถือ Windows Phone ทั้งระบบภายใต้ชื่อ Nokia และใช้ช่องทางการจำหน่ายของ Nokia ด้วย ในขณะเดียวกัน Nokia ไม่มีแผนที่จะใช้ Android ของ Google เนื่องจากเงื่อนไขที่ไม่ยืดหยุ่นมากพอสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการพัฒนามือถือ รุ่นต่างๆ ออกมาได้เอง
ดู เหมือนการแข่งขันที่ดุเดือนในสมรภูมิสมาร์ทโฟนจะทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม Nokia ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อข่าวลือดังกล่าว มันน่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่า แล้วมือถือ Nokia ที่ใช้ Windows Phone 7 จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? ซึ่งหากการเจรจาของทั้งสองไม่เป็นมรรคผล Nokia คงจะต้องเดินหน้าผลักดัน MeeGo เพื่อยกระดับสมาร์ทโฟนของตน เช่นเดียวกับบริษัทฮาร์ดแวร์รายอื่นๆ นั่นก็คือ Nokia จะต้องพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ด้วยตนเอง
ผู้เชี่ยวชาญในวง การต่างแสดงทรรศนะที่ตรงกันว่า Windows Phone 7 เป็นไพ่ใบสุดท้ายของ Microsoft ในการเป็นผู้เล่นในตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่ง RIM, Apple และ Google ครอบครองอยู่ ปัจจุบัน Windows Phone 7 จะมีอยู่ในสมาร์ทโฟนของ Dell, HTC และ Samsung นอกจากนี้ Gartner บริษัทวิจัยตลาดยังทำนายว่า Windows Phone 7 จะทำให้ MS มีส่วนแบ่งตลาดโอเอสบนมือถือทั่วโลกสูงขึ้นจาก 4.7% ในปี 2010 เป็น 5.2% ในปี 2011 แต่ส่วนแบ่งตลาดก็จะตกลงมาเหลือ 3.9% ในปี 2014 เมื่อ Apple และ Google ยังคงสามารถรักษาการเติบโตของ iPhone และ Android ได้อย่างต่อเนื่อง
ก่อนนอนคืนนี้ ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์เออาร์ไอพี (arip) มีไอเดีย Gadget เจ๋งๆ มาฝากทุกท่านครับ มันคือ Openaire กระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คที่มีคุณสมบัติที่เรียกว่า "ไฮบริด" โดยสามารถแปลงร่างเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ให้ผู้ใช้สามารถนั่งทำงานได้อย่างสะดวกสบาย...ว้าว!!!
ความลับของ Openaire กระเป๋าโน้ตบุ๊ค"ไฮบริด"ที่สามารถใช้งานเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ได้ก็คือ การออกแบบกล่องไม้ (ใส่โน้ตบุ๊กไว้ภายใน) ที่สามารถกางออกเพื่อวางบนตักได้อย่างสะดวกสบาย โดยสามารถใช้วางโน้ตบุ๊ก และเมาส์ หรือหนังสือได้ ในขณะที่ซองที่หุ้มอยู่ด้านนอกสามารถกางออกเป็นเก้าอี้รองนั่งได้อย่างสบาย และเมื่อใช้เสร็จ ผู้ใช้ก็สามารถเก็บโน้ตบุ๊คกลับเข้าไปในกล่องไม้ที่คล้องกับสายสะพาย และหุ้มด้วยเก้าอี้รองนั่งอีกทีหนึ่ง เพียงแค่นี้ก็สามารถสะพายโน้ตบุ๊คไปนั่งทำงานตามที่ต่างๆ ได้แล้ว ไอเดียแหล่มๆ อย่างนี้น่าสนใจดีเหมือนกันนะครับ
ข่าวใหญ่วันนี้ ในที่สุดแอพฯ Foursquare ที่ได้รับความนิยมบน iPhone ก็ได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ของการทำงานที่หลายคนรอคอยนั่นก็คือ การเพิ่มภาพถ่ายเข้าไปในแอพฯ พร้อมทั้งสามารถคอมเมนต์ภาพถ่ายได้อีกด้วย โดยภาพต่างๆ จะมองเห็นได้โดยเพื่อนๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของคุณเท่านั้น
Foursquare บริการแชร์และอัพเดตสถานที่อยู่ขณะนั้นของผู้ใช้สมาร์ทโฟน ได้เพิ่มคุณสมบัติการทำงานใหม่ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดภาพถ่ายขึ้นไปให้เพื่อนๆ ในเครือข่ายได้เห็นภาพได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถคอมเมนต์ภาพถ่ายได้ด้วย ซึ่งหากเพื่อนอยู่แถวนั้นก็จะ สังเกตตำแหน่งที่คุณอยู่ได้ง่ายขึ้น สำหรับภาพที่แชร์นอกจากจะปรากฎใน Foursquare แล้ว มันยังรวมถึงโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ อย่างเช่น Facebook และ Twitter ที่คุณได้แชร์ข้อมูลของ Foursquare ไว้ด้วย
Foursquare เป็นบริการที่มีการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถบรอดแคสต์สถานที่ที่ตนเองอยู่ในขณะนั้นให้ เพื่อนๆ ทราบได้ ซึ่งคู่แข่งยักษ์ใหญ่ก็คือ Facebook ที่เพิ่งจะเปิดบริการ Places ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ปัจจุบัน Foursquare มีผู้ใช้มากกว่า 5 ล้านราย ซึ่งพวกเขาเช็คอินบนเว็บไซต์มากกว่า 1.5 ล้านครั้งในแต่ละวัน สำหรับคุณสมบัติในการเพิ่มภาพเข้าไปจะพบได้ในเวอร์ชันบน iPhone ที่จะเริ่มให้อัพเดตกันได้ตั้งแต่วันจันทร์หน้า ส่วนเวอร์ชันบน Android จะเป็นสัปดาห์ถัดไป และที่ขาดไม่ได้สำหรับสาวก BB จะอัพเดตได้ตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป
Alex Rainert หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Foursquare กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ด้วยคุณสมบัติใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกันได้มากขึ้น และยังอาจทำให้พวกเขาเพิ่มข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่เขาเดินทางไป และสิ่งต่างๆ ที่เขากำลังทำอีกด้วย นอกจากนี้ ทาง Foursquare ยังมีแผนที่จะเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ มากกว่านี้อีกด้วย อย่างเช่น ความสามารถในการส่งภาพถ่ายไปบน Facebook และเว็บไซต์แชร์ภาพอย่าง Flickr
เมื่อเดือนที่แล้ว เฟซบุ๊ค (Facebook) ได้จัดตั้งทีมงานจัดการ และดูแลพันธมิตรธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ ซึ่งมีเป้าหมายในการเจาะกลุ่มธุรกิจค้าปลีกหลายๆ ราย เพื่อให้เกิดการสร้างหน้าร้านต่างๆ บนโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) ซึ่งรวมถึงพันธมิตรในธุรกิจเกม และสื่อต่างๆ ด้วย
ทีมงานกล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการพูดคุยกับเหล่าบรรดาค้าปลีกต่างๆ เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ที่ต้องมีการพัฒนาร่วมกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถได้รับคำแนะนำสำหรับการซื้อจากเพื่อนๆ ของเขาบน Facebook ในขณะที่กำลังชอปปิ้งใน Pages ของธุรกิจได้ ซึ่งปัจจุบันมีธุรกิจโพสต์ลิงค์สินค้าเพื่อจำหน่ายใน Facebook ทุกวันอยู่แล้ว นอกจากนี้ Facebook ยังได้กำลังพัฒนาซอฟต์แวร์วิเคราะห์ให้กับธุรกิจค้าปลีก เพื่อให้ธุรกิจฯที่ร่วมมือกับ Facebook สามารถทราบได้ว่า ลูกค้ากลุ่มไหนบ้างที่กำลังสนใจผลิตภัณฑ์ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แผนการบุกดังกล่าวยังไม่รวมถึงการให้บริการ Facebook Credits เพื่อสั่งซื้อสินค้าต่างๆ ที่ไม่ใช่ซอฟต์แวร์
โครงการ นี้ทาง Facebook ได้ร่วมมือกับ Alvendra ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชอปปิ้งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ HauteLook, Delta และ J.C.Penny ซึ่งบริการของ Avendra มีอัตราการซื้อสูงสุด 1.16 เหรียญฯ (ประมาณ 33 บาท) ต่อวินาทีในช่วงชอปปิ้งในวันหยุดเมื่อต้นเดือนที่ผ่ามมา เทียบกับ eBay ที่ 2,000 เหรียญฯ (ประมาณ 60,000 บาท) ต่อวินาที อย่างไรก็ดี มันดูเหมือนว่า กลุ่มธุรกิจที่อยู่ใน Facebook ต้องการที่จะย้ายร้านออกมาอยู่ในรูปแบบของชอปปิ้งมอลล์บนโซเชียลเน็ตเวิร์ กมากกว่า Facebook คาดว่า บริการกับเว็บไซต์ E-Commerce จะสามารถเปลี่ยนผู้ใช้กว่า 500 ล้านรายไปเป็นนักชอปได้ ซึ่งงานนี้คงต้องดูว่า พลังแห่งเพื่อนจะช่วยให้ Facebook สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจออนไลน์ที่เข้าร่วม รวมถึงตัวเองด้วยได้ หรือไม่?
ขณะที่สื่อบันทึกข้อมูลพยายามทำขนาดของตัวเองให้เล็กลงเรื่อยๆ โดยสวนทางกับความจุที่มากขึ้นเรื่อยๆ Travelstar ฮาร์ดดิสก์ความจุ 500GB จาก Hitachi น่าจะเป็นตัวอย่างล่าสุดที่ชัดเจนในเรื่องนี้ โดยฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่จะมีความบางแค่ 7 มิลลิเมตรเท่านั้น
ฮิ ตาชิได้ประกาศเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์รุ่นบางเฉียบ Travelstar ในตระกูล Z5K500 โดยไดรฟ์รุ่นดังกล่าวจะมีสองขนาดคือ 2.5 นิ้ว และ 1.8 นิ้ว ซึ่งเหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุปกรณ์ไอทีที่มีขนาดเล็กอย่าง เน็ตบุ๊ค แท็บเล็ต และเครื่องเล่นมีเดียพกพา ข้อได้เปรียบของการใช้ฮาร์ดไดรฟ์รุ่นใหม่ของฮิตาชิก็คือ การทำให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความบางลงได้อีกในขณะทีสามารถเก็บข้อมูลได้มาก ขึั้น โดยความจุล่าสุดที่ออกมาจะอยู่ที่ 500GB ภายใต้แพคเกจที่บางกว่าฮาร์ดไดรฟ์ทั่วไป (ฮาร์ดไดรฟ์ทั่วไปจะหนา 9.5 มม.)
อย่าง ไรก็ตาม คุณผู้อ่านอาจจะรู้สึกว่า การบางลงแค่ 2.5 มม.มีความหมายอะไรมากมาย เพราะไม่เห็นจะต่างสักเท่าไร? แต่ข้อเท็จจริงก็คือ มันเป็นย่างก้าวที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับอุปกรณ์สมัยใหม่ที่นับวันจะบางลงเรื่อยๆ ดูอย่าง MacBook Air รุ่น 11 นิ้ว ที่ต้องใช้ SSD แทนฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากความบางของมัน แต่สิ่งที่ต้องแลกกับความบางที่ได้ก็คือ ความจุของสตอเรจที่น้อยกว่ามากนั่นเอง สำหรับ Travelstar Z5K500 จะมีให้เลือก 3 ขนาดคือ 250, 320 และ 500GB มาพร้อมกับแคช 8MB เชื่อมต่อด้วย SATA และใช้พลังงานต่ำแค่ 1.8W ขณะทำงาน และเหลือแค่ 0.55 วัตต์ขณะที่มันว่าง ซึ่งเหมาะกับแก็ดเจ็ตสมัยใหม่อย่างแท้จริง
รายงานข่าวล่าสุด โมโตโรลา (Motorola) กำลังจะเปิดตัว"แท็บเล็ต" (tablet) ของทางบริษัทในงาน CES 2011 โดยข้อมูลดังกล่าวได้มาจากคลิปวิดีโอที่ทางโมโตฯได้ปล่อยออกมาบน YouTube เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ย้อน กลับไปเมื่อเดือนกันยายน Sanjay Jha ซีอีโอร่วมของ Motorola ได้ประกาศว่า ทางบริษัทมีความตั้งใจที่จะทำ"แท็บเล็ต"ด้วยเหมือนกัน ซึ่งคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ออกมาจากทางบริษัทยืนยันค
Comment
รอการupdateทุกครั้งเลย ชอบมาก ขอบใจเด้อ น้องเจมส์ไก่โซ(ไม่ได้เรียกชื่อนี้นานแล้วเน้อ อิอิ)
© 2024 Created by thaiMCFC. Powered by
You need to be a member of Manchester City Fan Club in Thailand Website to add comments!
Join Manchester City Fan Club in Thailand Website