ในโลกที่สื่อเครือข่ายสังคม (Social Newtork) กำลังเฟื่องฟูสุดขีด อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์เท่านั้น แต่วันนี้มันกำลังคืบคลานเข้าสู่ชีวิตประจำวันในโลกของความเป็นจริงมากขึ้น อีกด้วย โดยเฉพาะการให้บริการเหล่านี้ในรูปแบบของตู้บริการสาธารณะ

เชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะคุ้นเคยกับตู้บริการสาธารณะอย่างเช่น ตู้โทรศัพท์ที่ก่อนใช้บริการก็แค่หยอดเหรียญฯเข้าไป แต่สำหรับตู้บริการสาธารณะที่มีภาพเป็นข่าวออกมาล่าสุดนี้เป็นตู้ให้บริการ Twitter ใน Skolkova ประเทศรัสเซีย โดยผู้ใช้ตู้ทวิตเตอร์สาธารณะจะสามารถหยอดเหรียญ เพื่อทวีตข้อความ 140 ตัวอักษรผ่านแป้นคีย์บอร์ดที่มาพร้อมกับจอ LCD ขนาดเล็กภายใต้บูธสีฟ้าสดใสที่ให้ความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย อารมณ์ประมาณใช้ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ว่าแต่ตู้บริการลักษณะนี้จำเป็นด้วยหรือ? เพราะเชื่อว่าผู้ใช้ทวิตเตอร์ส่วนใหญ่จะมีสมาร์ทโฟนที่สามารถใช้บริการ Twitter กันอยู่แล้ว หรือว่ามันติดตั้งในที่ๆ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หรือเน็ตไร้สายไปถึง...??? แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไรกับการเปิดให้บริการลักษณะนี้

"สิงคโปร์ แอร์ไลนส์"เจ๋ง เปิดให้บริการอินเตอร์เนทไวไฟบนเครื่องบินรายแรกเอเชีย

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ว่า "สิงคโปร์ แอร์ไลนส์"เปิดเผยว่า สายการบินจะเปิดให้บริการไวไฟสำหรับการใช้อินเตอร์เนทและโทรศัพท์บนเครื่อง บิน ก่อนปีหน้า โดยผู้โดยสารจะสามารถดำเนินกิจกรรมด้านอินเตอร์เนทได้ปกติเหมือนกับผู้คนบน ภาคพื้นดิน สามารถอัพเดทข่าวสาร ทำกิจกรรมเครือข่ายออนไลน์ เล่นเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ รวมทั้งสามารถช็อปปิ้งบนมือถือบนเครื่องบิน"สิงคโปร์ แอร์ไลนส์"ได้ด้วย

รายงานระบุว่า การให้บริการดังกล่าวของ"สิงคโปร์ แอร์ไลนส์"จะถือเป็นบริการรายแรกของเอเชีย แต่สำหรับอัตราค่าบริการนั้นยังไม่มีการเปิดเผย อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ แอนไลนส์ ที่ผ่านมา ได้ชื่อว่า เป็นสายการบินชั้นนำของโลก ซึ่งได้รับการโหวตจากผู้โดยสารว่า เป็นหนึ่งในสายการบินที่ผู้โดยยสารโปรดปรานมากที่สุด

Amazon เล็งเปิดหน้าร้าน Android Apps

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า Amazon กำลังมีแผนที่จะเปิดหน้าร้านออนไลน์ เพื่อจำหน่ายซอฟต์แวร์ที่ทำงานบนระบบปฎิบัติการสำหรับอุปกรณ์โมบายอย่าง Android ซึ่งนั่นเท่ากับว่า Amazon กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งของ Android Market ของ Google หรือเป็นความร่วมมือในการผลักดันให้ Android กลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างรายได้ให้กับนักพัฒนาไม่แพ้ iOS ของ Apple

แหล่งข่าววงในยังอ้างอีกด้วยว่า หน้าร้านดังกล่าวอาจจะเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นเดือนนี้ แต่ปฏิเสธที่จะระบุลงไปว่าเป็นวันไหนกันแน่ เนื่องจากยังไม่มีการประกาศแผนออกมา ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่า หน้าร้าน Android จะช่วยให้ Amazon ได้กำไรเพิ่มขึ้นจากความต้องการเกมส์ต่างๆ ตลอดจนความบันเทิงบนมือถือ และแอพพลิเคชันต่างๆ ที่สามารถดาวน์โหลดไปใช้บนอุปกรณ์โมบายได้ ผู้เชี่ยวชาญในตลาดฯ ที่ Booz & Co. กล่าวว่า มูลค่าแอพฯบนมือถืออาจจะทะลุ 40 พันล้านเหรียญฯ ภายในปี 2014 จาก 14.3 พันล้านเหรียญฯในปีนี้ นักพัฒนา และผู้บริโภคส่วนใหญ่จะบ่นว่า Android Market มีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากในการจ่ายค่าซอฟต์แวร์ ตลอดจนการค้นหาแอพฯ นับเป็นอีกหนึ่งย่างก้าวของ Amazon ในการจำหน่ายสินค้าดิจิตอล หลังจากเปิดจำหน่ายเพลง และหนังดิจิตอล เรื่อยมาจนถึง e-Books และล่าสุดก็คือ Mobile App ดูเหมือนเป้าหมายของ Amazon คือการเป็นผู้นำค้าปลีกสำหรับสื่อดิจิตอล

ในส่วนของกติกาหน้าร้าน Android ใน Amazon ทางบริษัทจะขอส่วนแบ่งการขายแอพฯ 30% โดยที่เหลือ 70% จะเป็นของนักพัฒนา ซึ่งข้อตกลงนี้ยังมีกฎเหล็กอีกข้อหนึ่งก็คือ ผู้พัฒนาจะต้องไม่นำเสนอแอพฯตัวเดียวกันนี้กับที่อื่นในราคาที่ต่ำ กว่า ปัจจุบัน Android Market ของ Google จะมีแอพฯไว้คอยบริการ 80,000 แอพฯ เทียบกับผู้นำอย่าง Apple App Store ที่มีมากถึง 250,000 แอพฯ อย่างไรก็ดี ผลจากการเปิดหน้าร้านจำหน่าย Android App ของ Amazon น่าจะทำให้เกิดความตื่นตัวของนักพัฒนาแอพฯมากขึ้น เพราะถือได้ว่า เป็นช่องทางหารายได้ที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อดูมูลค่าตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

Yahoo! ยกเครื่อง"เสิร์ช"ครั้งใหญ่!!!

รายงานข่าวล่าสุด ยาฮู (Yahoo) กำลังส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้บริการเสิร์ชของทางบริษัทด้วยการจัด ระเบียบผลลัพธ์ให้กระชับ สามารถมองเห็น และเข้าถึงส่วนใช้งานต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้นด้วยแท็บ (tab) แถมยังยกเครื่องบริการค้นบนมือถือ รวมถึงการนำเสนอประเด็นร้อนที่มีการสืบค้นบน Yahoo ที่หน้าโฮมเพจให้ผู้ใช้เขาถึงได้โดยสะดวกด้วย

การปรับโฉมครั้งนี้ยังรวมถึงการเพิ่มความฉลาดในการสืบค้นด้วย อย่างเช่น เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแวดวงการบันเทิง หรือหัวข้อข่าวที่เกี่ยวข้อง แทนที่จะแสดงรายการผลลัพธ์ยาวเหยียดก็จะเปลี่ยนเป็นกล่องผลลัพธ์ที่มาพร้อม กับแท็บในแนวตั้ง ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงผลลัพธ์ด้วยวิธีต่างๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าพิมพ์ชื่อภาพยนต์เข้าไป คุณจะได้ผลลัพธ์เป็นข่าวล่าสุดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ในแท็บ "Overview" และสามารถอ่านรีวิวหนังเรื่องดังกล่าวในแท็บ "Stories" หรือดูตัวอย่างหนังในแท็บ "Videos" หรือติดตามกระแสสังคมเกี่ยวกับหนังในแท็บ "Twitter"

การปรับโฉมของ Yahoo ทำให้มันแตกต่างจาก Bing ของ Microsoft อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าทั้งสองเว็บไซต์จะตั้งอยู่บนพื้นฐานเทคโนโลยีเดียวกัน อย่างไรก็ดี เหตุผลสำคัญคือ Yahoo ต้องการทำให้เสิร์ชมีความกระชับมากขึ้น และดูแม่นยำเข้าทางกว่า แทนที่จะให้ผู้ใช้ต้องไปควานหาจากรายการลิงค์ผลลัพธ์ที่ยาวเหยียด ซึ่งนอกจากจะทำให้ผลลัพธ์ในการค้นหาง่ายกระชับ และแม่นยำเข้าถึงคำตอบที่ต้องการได้เร็วขึ้นแล้ว Yahoo ยังพยายามช่วยตัดสินใจสิ่งที่ผู้ใช้กำลังจะค้นอีกด้วย อย่างเช่น เมื่อผู้ใช้พิมพ์ชื่อนักดนตรีเข้าไปในช่องเสิร์ช Yahoo จะแนะนำชื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมุมบนขวาของโฮมเพจใหม่ Yahoo ยังแสดงรายการหัวข้อที่กำลังได้รับความสนใจ และเมื่อคลิกบนลิงค์เหล่านี้ ผู้ใช้จะถูกพาไปยังหน้าผลลัพธ์เสิร์ชเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ

ไม่เพียงแต่ Yahoo จะปรับโฉมโฮมเพจให้บริการบนคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่มันยังมีการปรับเปลี่ยนหน้าเว็บให้บริการบนมือถือด้วยการใช้เทคโนโลยี HTML5 อีกด้วย ตัวอย่างเช่น การค้นหาราคาหุ้นรายตัวจะทำให้ผู้ใช้ได้พบกับราคาล่าสุด และรายงานข่าวที่เกียวข้องกับหุ้นตัวนั้น ตามด้วยรายการผลลัพธ์ โดยสามารถใช้บริการได้ที่ m.yahoo.com

Facebook เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ "Groups"

เฟซบุ๊ค (Facebook) กำลังพยายามทำให้ผู้ใช้อยู่ในเว็บไซต์นานขึ้นด้วยการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ที่ ตอบรับกับความต้องการที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ใช้มากขึ้น อย่างเช่น Groups ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเฉพาะ"กลุ่ม"เล็กๆ อย่างเช่น ครอบครัว เพื่อนสนิท หรือเพื่อนร่วมงานได้

เหตุผลของการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ดังกล่าวมาจากความพยายามที่จะแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นมานานแล้ว นั่นก็คือ ความสัมพันธ์ของเพื่อนๆ ใน Facebook ที่ขยายตัวอย่างกว้างขวางหลากหลายของผู้ใช้ โดยมีตั้งแต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว เพื่อนในชั้นเรียน หัวหน้า ลูกน้อง ไปจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพ ซึ่งเราอาจไม่ต้องการให้คนอื่นๆ ได้เห็นข้อมูลของพวกเขา โดย Facebook หวังว่า ด้วยคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า Groups จะทำให้ผู้ใช้กล้าอัพโหลดภาพ วิดีโอ และข้อมูลต่างๆ ขึ้นไปยังเว็บไซต์มากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มความสามารถในการควบคุมสิ่งทีต้องการให้ใครบ้างมองเห็นได้ นั่นเอง

ในขณะที่ผู้ใช้บางกลุ่มที่รักความเป็นส่วนตัวรู้สึกดีกับคุณสมบัติ Groups แต่ในทางกลับกันหลายคนยิ่งกังวลว่า Facebook จะมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากขึ้นไปอีก ซึ่งอาจถูกนำไปใช้โดยนักการตลาด และอื่นๆ โดยในการสัมภาษณ์ Mark Zuckerberg ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอของ Facebook กล่าวว่า คุณสมบัตินี้มีการพัฒนามาหลายเดือน โดยย้ำถึงความพยายามที่จะรักษาความส่วนตัวให้กับผู้ใช้ให้มากที่สุด ในแง่ของการให้บริการด้วย Groups ฟังดูง่าย แต่ในทางเทคนิคทำได้ยากมาก อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า Groups เป็นอีกหนึ่งความพยายามที่ Facebook ต้องการให้มีการแชร์ข้อมูลจากผู้ใช้มากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงเวลาที่อยู่กับเว็บไซต์นานขึ้นด้วย โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดฟีเจอร์ lists ที่ให้จัดทำรายชื่อเพื่อนๆ ได้ แต่มันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมีผู้ใช้แค่ 5% เท่านั้นที่ใช้ฟีเจอร์นี้

Groups จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างกลุ่ม" และรวบรวมสมาชิกที่เกี่ยวข้องเข้าไป สำหรับโต้ตอบเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเท่านั้น เช่น "ครอบครัว" ก็จะเป็นกลุ่มที่สร้างขึ้น เพื่อให้สมาชิกครอบครัวที่อยู่ใน Facebook โต้ตอบกันแบบเฉพาะในกลุ่มเท่านั้น ซึ่งผู้ใช้ก็จะสร้างกลุ่มต่างๆ สำหรับติดต่อกันมากขึ้นด้วย "เราคิดว่า มันเป็นการยกระดับการใช้ Facebook การแชร์ข้อมูล (ในกลุ่มต่างๆ) จะมากขึ้น และจะทำให้ผู้ใช้ติด Facebook มากขึ้นด้วย" เนื่องจากเมื่อกลุ่มถูกสร้างขึ้น ผู้ใช้จะสามารถอัพโหลดข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการให้มองเห็นเฉพาะคนในกลุ่มเท่านั้นได้ แถมยังสามารถคุย (online chat) กับทุกคนในกลุ่มได้พร้อมกันอีกด้วย

Google Car "ซิ่ง"ได้แม้ไร้เงาคนขับ!!!

เมื่อวานนี้ Google ได้ประกาศว่า วิศวกรของทางบริษัทได้ทดสอบรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองไปบนท้อง ถนนในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวจะใช้กล้องวิดีโอที่ติดอยู่บนหลังคา ทำงานร่วมกับเรดาร์ และเลเซอร์ตรวจจับระยะ เพื่อดูการจารจรรอบข้าง โดยมีซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานอีกทีหนึ่ง Sebastian Thrun วิศวกรซอฟท์แวร์ของ Google กล่าว

ใครที่ขับรถอยู่บนนถนนไฮเวย์บริเวณซานฟรานซิสโก และลอสแองเจลลีสอาจจะแปลกใจ เมื่อเห็น Toyota Prius ที่บนหลังคามีอุปกรณ์คล้ายไฟฉุกเฉินบนรถตำรวจ แต่ที่จะทำให้ตื่นตะลึงยิ่งกว่าก็คือ มันมีแต่"ผู้โดยสาร" แต่ไร้เงาคนขับ? ทั้งนี้ Google หวังว่า หากรถยนต์ที่ัขับได้เองสำเร็จ มันไม่เพียงแต่จะช่วยลดปัญหาจราจรบนท้องถนนเท่านั้น แต่มันยังลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย

Google Car เป็นโครงการลับที่ทางบริษัทต้องการพัฒนารถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนได้เอง โดยใช้ซอฟต์แวร์ Aritificial Intelligence ที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้รอบคันรถ และเลียนแบบการตัดสินใจของผู้ขับ จากการทดสอบ 7 ครั้ง มีการเกิดอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม คาดว่า รถยนต์ที่ขับได้เองโดยอัตโนมัติยังคงต้องใช้เวลาพัฒนาอีกหลายปีกว่าจะ ผลิตออกมาวางตลาดได้ แต่นักเทคโนโลยีฝันว่า รถยนต์ขับเองได้จะเปลี่ยนสังคมได้เหมือนกับที่อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนโลก วันนี้

Google Car จะตอบสนองได้เร็วกว่ามนุษย์ โดยมีมุมมอง 360 องศาด้วยกล้องที่อยู่ด้านบน และไม่มีปัญหาเรื่องการที่ผู้ชับเสียสมาธิ (สายเข้า ก้มลงหยิบของ ฯลฯ) หรือง่วงหลับ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นมันจึงปลอดภัยกว่า และลดการเกิดการบาดเจ็บได้ จากสถิติเมื่อปี 2008 มีชาวสหรัฐฯเสียชีวิตมากกว่า 37,000 รายเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ วิศวกรกล่าวว่า เทคโนโลยีนี้ตอบโจทย์การจราจรบนท้องถนนสองเรื่องด้วยกันคือ การขับขี่ที่ปลอดภัยกว่า ในขณะที่รถแต่ละคันสามารถขับขี่ได้ใกล้กัน เนื่อง Google car จะหลีกเลี่ยงการชนเป็นหลัก ทำให้สามารถพัฒนารถยนต์ที่เบากว่าเดิมทำให้ช่วยประหยัดน้ำมันได้ด้วย

Sony วางตลาด Google TV ปลายปีนี้

หลังจากที่ Logitech เปิดตัว Revue เซ็ตทอปบ๊อกซ์ที่จะเปลี่ยน HDTV ของคุณให้กลายเป็น Google TV ซึ่งพร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าได้ภายในสิ้นเดือนนี้ ล่าสุดมีข่าวว่า Sony เตรียมเข็น Google TV ของทางบริษัทออกมาลุยตลาดในเร็ววันนี้เช่นเดียวกัน...ว้าว!!!

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ Google TV ที่เป็นกล่องต่อเพิ่ม แต่ก็มีคำถามตามมาว่า คุณยังต้องการมีบ๊อกซ์อะไรเพิ่มเติมใต้ทีวีของคุณอีก หรือไม่? ว่าแล้ว Sony ก็รีบตัดสินใจออกมาแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการออก Google TV ที่ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์อยู่ภายในเครื่องรับทีวีเลย โดย Google TV ของ Sony จะมี 4 รุ่นด้วยกันได้แก่ขนาด 24, 32, 40 และ 46 นิ้ว ภายในเครื่องทำงานด้วยขุมพลังโพรเซสเซอร์ Intel ทำให้เจ้าของทีวีสามารถท่องเว็บ และรับชมอินเทอร์เน็ตวิดีโอได้จากบนทีวีเลย สนนราคาเริ่มต้นที่ 1,000 - 1,900 เหรียญฯ (ประมาณ 30,000 - 40,000 บาท) วางตลาดปลายปีนี้

Credit : ARIP & MatiChon Online