Members

วิจารณ์ทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก (แบบมั่วๆ)

วิจารณ์ทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก (แบบมั่วๆ)                             สนับสนุนเนื้อหา hikicker


ฟุตบอล : ผ่านไปแล้ว 10 เกมสำหรับพรีเมียร์ลีก ลีกฟุตบอลต่างประเทศที่ได้รับความนิยมจากแฟนบอลชาวไทยมากที่สุด ไม่ต้องสงสัยว่าผู้อ่านแต่ละท่านต่างเลือกเชียร์ทีมรักที่แตกต่างกันออกไปมากมาย เพราะมีทีมเจ๋งๆให้เลือกได้หลากหลายมาก

หลังสิ้นสุดสัปดาห์ที่สิบของพรีเมียร์ลีก ก็หมายความว่าตอนนี้เส้นทางการลุ้นแชมป์นั้นผ่านไปแล้ว 1 ใน 4 ก่อนจะถึงเส้นชัย ณ จุดนี้ไม่ต้องสาธยายอะไรกันมาก ท่านผู้อ่านลองถามตัวเองดูสิว่าฤดูกาลนี้ได้แปลกประหลาดเกินการคาดการณ์ของตัวเองไปมากแค่ไหน ผู้เขียนเชื่อว่าพวกท่านต้องมีเซอร์ไพรส์กับผลที่ออกมาดังที่เห็นกันแน่นอน และต่อจากนี้ไปมันจะยิ่งเข้มข้น หักมุม เลี้ยวลดคดเคี้ยวอีกหลายตลบกว่าจะได้บทสรุปออกมา

แต่ไหนๆก็ไหนแล้ว ครั้งนี้ผู้เขียนจะขอวิเคราะห์บรรดาทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ (แบบมั่วๆ) ดูว่าใครมีโหงวเฮ้งเป็นยังไงกันบ้าง ชนิดที่ถูกสับเละไม่ให้เหลือชิ้นดีแน่นอน

ปล.หากผู้เขียนเพ้อเจ้ออะไรไม่เข้าตาและค้านความรู้สึกจากก้นบึ้งของท่านผู้อ่าน ก็ขอนิรโทษกรรมมา ณ ที่นี่ด้วยขอรับ

1.อาร์เซน่อล

ที่คือทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ ในฤดูกาลนี้ได้มากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะจากความเคยชินของเราจะรู้กันดีว่าที่ผ่านมา อาร์เซน่อล ตกต่ำไปมากขนาดไหน ไม่เคยได้ลืมตาอ้าปากกับเขาได้สักปี แต่ไปๆมาๆปีนี้กลับเปรี้ยงปร้างขึ้นมาเหมือนคนละทีม เพราะปัจจุบัน อาร์เซน่อล นำเป็นจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกอยู่หลายสัปดาห์แล้ว แถมดันทำแต้มหนีห่างทีมอื่นอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

สาเหตุหลักนั้นน่าจะมาจากพัฒนาการของผู้เล่นหลายรายในทีม อย่าง อารอน แรมซี่ย์ ที่อยู่ดีๆก็แปลงร่างกลายเป็นแรมโบ้ ยิงกระหน่ำช่วยทีมมาได้ตลอด ถึงแม้ว่าฟอร์มโดยรวม ผู้เขียนยังคงมองว่า แรมซี่ย์ ยังทำได้ไม่ดีนัก แต่ไม่รู้ทำไมดันยิงประตูสำคัญช่วยทีมได้ทุกที ทีเด็ดอยู่ตรงนี้นี่แหละ

ส่วนการได้ตัว เมซุต โอซิล มานั้น ผู้เขียนมองว่าเป็นเพียงการเสริมสร้างกำลังใจในทีมเท่านั้นเอง เพราะเมื่อลงเล่นกันจริงๆแล้ว โอซิล ก็ยังไม่ได้ถึงขนาดเป็นจอมทัพนำทีมบุกป่าฝ่าดงแต่อย่างใด เพราะในหลายๆเกมก็ยังมีบทบาทกับทีมน้อยไป หรือมองอีกมุมอาจเป็นเพราะ เจ๊เวนเกอร์ อาจไม่ต้องการเน้นพึ่ง โอซิล คนเดียวเหมือนที่เคยพึ่ง อองรี กุนซือหน้าเหี่ยวคนนี้อาจกำลังสอนให้ลูกทีมทุกคนรู้จักยืนด้วยลำแข้งตัวเองเสียที พอกันทีสำหรับระบบฮีโร่ดังคนเดียว เพราะตอนนี้เกมรุกของ อาร์เซน่อล มีความอิสระมากขึ้น ไม่เน้นฝากความหวังไว้ที่ใครคนเดียวเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

แต่! แน่นอนว่าต้องมีแต่ เพราะจุดแข็งของ อาร์เซน่อล นั้นกลับกลายเป็นจุดอ่อนของพวกเขาไปด้วย ซึ่งหากท่านมองดู 11 ตัวจริงแล้วฟันธงว่า "แกร่ง" จริงก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าเหลือบลงไปดูตัวสำรองนี่มันคนละเรื่องกันเลย แต่ละคนแทบไม่มีใครรู้จัก พูดง่ายๆว่าหาก 11 ตัวในสนามเล่นไม่ดี ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเจ๊ ที่จะแก้เกมส่งใครลงไปเล่นแทน

ยิ่งไปกว่านั้นหากตัวหลักบาดเจ็บหนักขึ้นมา งานเข้าแน่พี่น้องครับ โดยเฉพาะนักเตะอย่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่ผู้เขียนฟันธงว่าฤดูกาลนี้ กองหน้าคนนี้สำคัญกับทีมมากที่สุดแล้ว ประมาณว่าห้ามเจ็บห้ามตายเด็ดขาด เพราะ ชิรูด์ ช่วยทีมได้มาก ใช้ความใหญ่เบียดกับกองหลังคู่แข่งได้สบายแฮมาหลายเกม ทั้งยังพักบอลบังบอลจนมิดพร้อมส่งให้เพื่อนที่เติมขึ้นมาได้ทำเกมต่อ หากขาด ชิรูด์ ไปท่านคิดว่าใครจะมาแทนเขา อ๋อ! ผู้เขียนลืมไป อาร์เซน่อล ยังมี นิคลาส เบนท์เนอร์! เจ้าของฉายา "นิวซลาตัน" คนนั้น....

สรุป หากไม่เสริมทีมเพิ่มในเดือนมกราคม มีปัญหาแน่นอนเพราะ อาร์เซน่อล เจออาการบาดเจ็บเล่นงานทุกปี มีบทเรียนก็ต้องเก็บเอาไว้เรียนรู้นะครับ เจ๊เวนเกอร์

2.เชลซี

การกลับมาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ยังคงไม่เปรี้ยงปร้างอะไรมากนัก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ฟอร์มการเล่นนั้น "แปลกๆ" ขออภัยที่ผู้เขียนนึกคำอื่นไม่ออกจริงๆเพราะ เชลซี ทำเกมบุกแบบ "แปลกๆ" เหมือนจะบุกไม่สุด พอยิงได้เป็นอันถอยหนีลงไปรับทุกที ไม่กล้าบุกถล่มคู่แข่งเพิ่มเติม ทั้งที่ๆแนวรุกของ เชลซี นั้นอันตรายไม่เป็นสองรองใครไม่ว่าจะเป็น อาซาร์, ออสการ์, มาต้า, ชูร์เล่ รวมทั้งสิงห์ม้านั่งอย่าง เดอ บรุน และ วิลเลี่ยน ที่ น้ามู เสียเงิน 30 ล้านปอนด์เพื่อซื้อมานั่งเล่น

แต่! แน่นอนว่า เชลซี ต้องมีแต่ เพราะแม้ว่าจะมีตัวรุกที่อันตรายที่สุด แต่บรรดากองหน้านี่สิกลับตรงกันข้ามทั้ง เอโต้ และ ตอร์เรส ที่ฟอร์มสามวันดีสี่วันไข้ จะออกทะเลเมื่อไหร่ไม่รู้ได้ นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์คู่บุญของ น้ามู อย่าง แลมพาร์ด และ เทอร์รี่ ต่างพากันโรยราแก่ชรากันหมดแล้ว ไม่ได้ฟิตเต็มถังเหมือนเมื่อหลายปีก่อน

เมื่อไปถามความเห็นจากแฟนสิงห์บลูส์ส่วนใหญ่ หลายคนบอกว่า "ไม่ปลื้ม" เพราะเล่นกันไม่มันส์สะใจวัยสะรุ่นเลย แต่แล้วในช่วงหลังมานี้ เชลซี ก็เริ่มพัฒนากลับมาอีกครั้ง ฟอร์มการเล่นมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด หลังจากเก็บชัยชนะได้ต่อเนื่อง ที่สำคัญยิงกระจายทุกเกมเพื่อเป็นการตบปากแฟนบอลทั้งหลายที่บ่นว่าทีมตนเองยิงน้อย

อย่างไรก็ตาม ในเกมล่าสุด เชลซี กลับไปอีหรอบเดิมอีกแล้วหลังจากแพ้ นิวคาสเซิ่ล ชนิดที่หมดท่า ไม่เหลืออะไรเลยกลับบ้าน ฟอร์มขั้นเทพหลายเกมก่อนถูกลักพาตัวไป ทีมของ น้ามู กลับมาเล่น "แปลกๆ" อีกครั้ง แต่ถึงอย่างไร หนึ่งในข้อดีของ เชลซี คือตัวเยอะแถมตัวสำรองก็ทดแทนตัวจริงได้แทบจะเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้นสามารถต่อสู้กับปัญหาบาดเจ็บในทีมได้สบาย สิ่งเดียวที่ตอนนี้ทีมต้องการก็คือฟอร์มการเล่นที่ไม่ "แปลกๆ"

สรุป หากไม่สามารถรักษาฟอร์มเก่งเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง มีสิทธิ์เป็นได้แค่พระรองเท่านั้น

3.ลิเวอร์พูล

"เฮ้ย!!" ผู้อ่านหลายท่านที่ไม่นิยมชมชอบสัตว์ปีกอาจอุทานออกมาเหมือนคำพูดเมื่อสักครู่นี้อย่างแน่นอน "ลิเวอร์พูล มาได้ไงฟะ!" จะสงสัยแบบนี้ก็ไม่แปลกเพราะที่ผ่านมาทีมหงส์แดง ขออัญเชิญตัวเองลงไปตีสนิทกับทีมกลางตารางมาโดยตลอด จนทำให้แฟนบอลลืมภาพการเห็นทีมหงส์แดงอยู่หัวตารางไปแล้ว หลายท่านจึงพากันยืนยันว่า "ไม่ชิน"

ฤดูกาลนี้ ทีเด็ดของ ลิเวอร์พูล อยู่ที่คู่กองหน้า SOS เอ้ย! SAS หรือ ซัวเรซ แอนด์ สเตอร์ริดจ์ ที่ควงแขนยิงกันกระจุยกระจาย เพราะเมื่อผ่านไปแล้ว 10 เกม ลิเวอร์พูล ยิงได้ 17 ประตูก็จริง แต่สองคนนี้ยิงรวมกันก็ปาเข้าไป 14 ประตูแล้ว กลายเป็นคู่หูดูโอ้ที่อันตรายมาก ซัวเรซ นั้นเป็นกองหน้าชนิดที่เรียกว่าทำมาหากินเองได้ คือพูดง่ายๆสามารถลากเลื้อยพาบอลขึ้นไปคนเดียวแล้วซัดเปรี้ยงเป็นประตูได้เลย ในขณะที่ สเตอร์ริดจ์ ตัวใหญ่กว่าพักบอลได้ หรือมีความเป็นหน้าเป้ามากกว่า จะโหม่งจะยิงได้หมด ขอให้ส่งมาก็พอ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวมา จนในที่สุดทั้งคู่ก็พร้อมจะร้องเพลง "หากันจนเจอ" ได้สักที

แต่! ต้องมีแต่สำหรับ ลิเวอร์พูล เพราะเห็นได้ชัดว่าลูกทีมของ บีร็อด ค่อยๆซึมซับระบบพึ่งพาสองกองหน้านี้ไปทีละนิด ตอนนี้กองกลางไม่ต้องคิดอะไรมาก ส่งให้ ซัวเรซ ก็พอ เดี๋ยวพี่แกเลี้ยงเข้าไปยิงเองนั่นแหละ หรือไม่โยนๆเข้าไป เดี๋ยว สเตอร์ริดจ์ ก็ยิงจนได้ คำถามคือหากไร้ ซัวเรซ จอมลากเลื้อยขึ้นมา หรือไม่มี สเตอร์ริดจ์ ตัวจบสกอร์ล่ะ จะทำอย่างไร? ลำพังจะกลับไปพึ่งพา สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในวัย 33 ปีก็ดูจะเป็นภาระของเฮียแกไปหน่อย

สรุป ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องสร้างความหลากหลายในเกมรุกมากกว่านี้ ต้องหันมาเน้นให้กองกลางสร้างสรรค์เกมจากรูปแบบอื่นบ้าง หากสามารถพลิกแพลงรับทุกสถานการณ์ได้ มีสิทธิ์สยายปีกแน่นอน

4.แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ส่วนทีมนี้เต็งลุ้นแชมป์อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรเลย แค่เหลือบมองดูตัวผู้เล่นก็รู้แล้วว่า "ปึ้ก" ขนาดไหน จะไม่ปึกขนาดนี้ได้ยังไงก็ซัมเมอร์ที่ผ่านมา ลุงเปเยฯ จัดการกว้านซื้อแต่กองหน้า กองกลาง มาเต็มทีม ชนิดที่ตอนนี้แบ่งเป็นสองทีมช่วยกันลุ้นแชมป์ยังได้เลย

จุดแข็งที่เห็นได้ชัดของ แมนฯซิตี้ ในปีนี้คือเกมรุก ยิงระเบิดเถิดเทิงตามสภาพขุมกำลังขาโหดที่มี และที่สำคัญมีผู้เล่นให้เลือกใช้ไม่ซ้ำหน้าและสามารถทดแทนกันได้อย่างไม่มีช่องโหว่ เป็นสาเหตุให้ตอนนี้ทีมเรือใบยิงมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกไปอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ถึงยิงเยอะ แต่ก็เสียเยอะด้วย เพราะกลายเป็นว่า แมนฯซิตี้ แพ้ไปแล้ว 3 เกม สาเหตุนั้นเนื่องมาจากการบาดเจ็บของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี กองหลังกัปตันทีมที่แทบไม่ได้ลงเล่นในฤดูกาลนี้และกองหลังอีกหลายคนที่ผลัดกันเจ็บตลอดเวลา ทำให้บางเกม ลุงเปเยฯ ต้องส่งกองกลางอย่าง ฆาบี การ์เซีย ลงไปยืนหลังแทน ทำให้ผลออกมาเป็นอย่างที่เห็น แต่หากว่า ก็องปานี และผองเพื่อน กลับมาฟิตเต็มที่ได้เมื่อไหร่และเกมรับได้รับการแก้ไขแล้ว แมนฯซิตี้ ทีมนี้จะเป็นทีมที่น่ากลัวที่สุดในฤดูกาลนี้แน่นอน เพราะเมื่อเทียบกับบรรดาทีมลุ้นแชมป์ด้วยกันแล้ว ซิตี้ แทบไม่มีจุดอ่อนอะไรให้เห็นเลย

สรุป แข็งแกร่งทั่วแผ่นกว่าใคร ทีมมีขนาดใหญ่พอ ตัวสำรองทดแทนตัวจริงได้อย่างสบาย พูดง่ายๆคือปีนี้ได้ลุ้นแชมป์ยาวๆและมีโอกาสมากที่สุดแล้ว ถ้าท่านชีคห์ไม่ล้มละลายเพราะผู้คนทั้งโลกเลิกใช้น้ำมันกันซะก่อน

5.แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

มาถึงทีมสุดท้ายและเป็นทีมที่ทำผลงานได้เซอร์ไพรส์แฟนบอลเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ เดวิด มอยส์ เข้ามาคุมทีม แต่เรื่องที่เซอร์ไพรส์นี่ถ้าถามแฟนผีคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าลองถามแฟนบอลทีมอื่น ทุกคนคงจะตอบเป็นเสียงกันว่า "แบบนี้ที่รอมานาน!"

แมนฯยูไนเต็ด ในยุคไร้เงา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังถูกฝีมือการแก้เกมระดับเทพของ มอยส์ เข้ามาเติมเต็ม (จุดอ่อน) เพราะปรากฎว่าผ่านไป 10 เกมทีมแชมป์เก่ายังคงอยู่อันดับ 8 ของตารางหลังออกสตาร์ทไม่ติดชนิดหัวเทียนบอด นักเตะในทีมเล่นกันไม่เป็นสับปะรดเลย เดี๋ยวแพ้ เดี๋ยวเสมอ กลายเป็นทีมที่ไร้เขี้ยวเล็บไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดกระแส "เรารักมอยส์" ฟีเวอร์ขึ้นมาในพริบตา

แต่! (อย่าตกใจ แต่ ในที่นี้เป็นเรื่องดีครับ) แมนฯยูฯ ก็ค่อยๆคลืบคลานเก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่องอีกครั้งในช่วงหลัง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า มอยส์ เริ่มจูนทีมตัวเองได้ถูกทางแล้ว หลังจากที่ศึกษาวิธีการแก้เกมให้เป็นอยู่นาน ในตอนนี้ทีมกลับมามีเกมรุกที่ดุดันอีกครั้ง โดยเฉพาะคู่หน้าอย่าง ฟาน เพอร์ซี่ และ รูนี่ย์ ก็เข้าขาเป็นปาท่องโก๋เลยทีเดียว

ถึงกระนั้น แมนฯยูฯ ในยุคของ มอยส์ ก็แตกต่างจากยุคของป๋าไปแล้ว เห็นได้จากเวลาที่ขึ้นนำคู่แข่งทีไร มอยส์ เป็นต้องแก้เกมช่วยฝ่ายตรงข้ามโดยการถอยไปตั้งรับรอโดนยิงทุกที ผิดกับนิสัยของป๋าที่ชอบบู๊ล้างผลาญคือยิงไปเรื่อยๆ เสียประตูช่างมัน แค่ยิงได้มากกว่าเสียก็เป็นอันใช้ได้

สรุป ว่ากันว่าปีแรกยากลำบากเสมอ ดังนั้นปีนี้ แมนฯยูฯ ยากจะป้องกันแชมป์ไว้ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่านักเตะทีมปีศาจแดงมีความเจนจัดกับการไล่ล่าแชมป์มานานแล้ว ดังนั้นสุดท้ายแล้วประสบการณ์อาจช่วยได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ธนันต์ อยู่ในศิล : ขีดเขียน

ที่มา http://sport.sanook.com

ติดตามข่าวสารทีมได้ที่ http://mcfc.in.th/

Views: 996

Reply to This

Replies to This Discussion

ขอแชมป์เลยได้มั้ยครับ ลุ้นยังเหนื่อยอยู่นิดหน่อย อิอิ

เรือใบเต็งแชมป์ปีนี้ ปัญหาตอนนี้ ผู้รักษาประตู กับ เซ็นเตอร์แบ็ก อีกอย่างนักเตะสำรองอย่างนาบาสยังจูนเครื่องไม่ติด นอกนั้นสมบูรณ์แล้ว

เขียนได้ดีจริงๆ

บมความอ่านแล้วนุกดีครับ ขอบคุณบทความดีๆแบบนี้น่ะครับ 

เขียนมาอีกน่ะคับเป็นกำลัใจให้ อิอิ

อ่านแล้วเพลีนดีครับ

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.