ถ้าจับน้ำเสียงหรือใบหน้าของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าหลังจบเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ก็คงวินิจฉัยได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เสียใจรุนแรงหรือผิดหวังมากมายอะไร อดีตโค้ชบาร์เซโลนาเคยออกมาพูดก่อนแล้วว่า"วันใดวันนึง แมนฯซิตี้ก็ต้องสะดุดเพราะนี่คือพรีเมียร์ลีก"
เชลซีภายใต้เมาริซิโอ ซาร์รี่แสดงให้เห็นถึงวิธีการหยุดแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกครั้งว่าต้องทำอย่างไร มันต้องเล่นแบบเจียมตัวหน่อยๆ พยายามตั้งรับให้มีวินัยมากที่สุดและสำคัญที่สุดต้องฉวยทุกโอกาสให้ได้ โอกาสแรกของเอ็นโกโล่ ก็องเต้ในนาทีสุดท้ายครึ่งแรกก็ส่งลูกหนังสงบนิ่งก้นตาข่าย
สาวกเรือใบอาจต้องขยี้ตาด้วยความไม่อยากเชื่อเพราะก่อนหน้านั้น 44 นาที เป็นเกมที่ทีมของพวกเขาพับสนามบุกแทบฝ่ายเดียว ลูกบอลเคลื่อนที่ไปทั่ว จากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย มีการออกริมเส้นและมีการลองเจาะตามช่อง
แน่นอน เป๊ปเองก็สามารถตัดพ้อถึงสภาพทีมที่ไร้เซร์คิโอ อเกวโร่ไป โมงยามนี้ฟอร์มของกาเบรียล เชซุสก็ไม่ได้อยู่ตามมาตรฐาน(เราจึงได้เห็นบทบากองหน้าตัวเป้าของสเตอร์ลิ่ง) หากอย่างน้อยนี่ก็เป็นการแพ้ในลีกเพียงหนแรกซีซั่นนี้
- หรือกระทั่งนับถอยหลังไปก็จะอ่านได้ว่า"แพ้หนที่ 3 จาก 62 เกม"
อย่างไรก็ตามนี่น่าเป็นสัญญาณเตือนไปยังเป๊ปในเชิงบวกมากกว่าลบ ด้วยจำนวนเกมที่เหลืออยู่อีกเยอะ เขาเองก็คงวางแผนต่อไปได้ว่าควรจะจัดการอย่างไรกับทีมชุดนี้โดยเฉพาะเมื่อความหวังในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกก็ยังต้องแบกเอาไว้หนักหน่วงเช่นกัน
พลันที่เชลซียัดเยียดความปราชัยให้ทีมของเป๊ปได้ ก็พบเสียงชนแก้วและการโห่ร้องของปวงเดอะ ค็อปทุกซอกหลืบของโลก ว่ากันว่าบางผับในเมอร์ซี่ย์ไซด์ถึงขนาดมีการคำรามบทเพลงคุณไม่เคยเดินเดียวดายกันเลยทีเดียว
ลิเวอร์พูลกลับขึ้นนำจ่าฝูงอีกครั้ง ถามว่าใครบ้างจะปฎิเสธได้ว่าซีซั่นนี้พวกเขาอาจดูไม่ใช่ทีมที่ดุดันเหมือนเดิมแต่บนความราบเรียบมาพร้อมกับความสม่ำเสมอ
- คำไม่กี่พยางค์ดังกล่าว พูดง่าย ทำยากนะครับ
เอาแค่ส่องกระจกดูตัวเอง เราก็อาจได้แต่เกาศีรษะตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้เท่าวันก่อน ทำไมเราถึงทำไม่ได้ตามวาจาที่เคยลั่นไว้
หงส์แดงชุดนี้อาจมีบางเกมมีเทพีแห่งโชคยืนเคียงข้างแต่ก็ต้องชื่นชมว่าการแก้ปัญาหาที่ถูกจุดในการคว้าเวอร์กิล ฟาน ไดค์กับอลิสซงมายกระดับพวกเขาขึ้นมา เจอร์เก้น คล็อปป์ก็คงสะท้านเช่นกันว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะต้องโยกหัวฟังดนตรีร็อคทุกเกม ต้องมีบ้างที่เปลี่ยนมาเป็นจังหวะสโลว เพลงช้าๆ
- พรีเมียร์ลีกคงเป็นลีกขวัญใจมหาชน
เชื่อไหมว่าซีซั่นนี้ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์สออกสตาร์ทดีที่สุดรอบห้าทศวรรษ หนสุดท้ายทำได้ดีกว่านี้เป็นซีซั่น 1960/61 ทว่าพวกเขาก็ทำได้ดีที่สุดอันดับสามตาราง ตามหลังจ่าฝูง 6 คะแนน
แม้แต่อาร์เซนอลก็ตาม กี่นัดแล้วล่ะที่ไม่แพ้ใคร?? หากเดอะ กันเนอร์สก็ยังรั้งเพียงพื้นที่ยูโรปา ลีกหลังผ่านมา 16 เกม
หลายสัปดาห์ก่อนผมเลยเคยละเลียดงานไปว่า ยุคนี้มันไม่ใช่แค่"ดี"ก็เพียงพอได้ชูโทรฟี่แต่มันต้อง"ดีที่สุด"เนื่องจากมาตรฐานมันสูงกว่าก่อนมาก
อย่างไรก็ตามส่วนตัวคงเชื่อว่าจะมีแค่ม้าสองตัวเท่านั้นที่ควบเบียดแย่งแชมป์ นั่นคือสีแดงกับสีฟ้า หลายคนชี้ไปยังเกมวันที่ 3 มกราคมว่าอาจตัดสินได้เลยเมื่อแมนฯซิตี้เปิดเอติฮัดรับลิเวอร์พูล
กระนั้นอย่าลืมปัจจัยอื่นๆที่พร้อมเป็นตัวแปรอีกเพียบ อีกเรื่องที่ผมรู้สึกลึกๆคือว่าบางทีถ้าหงส์แดงตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีกก็อาจเป็นผลเชิงบวกในการลุ้นพรีเมียร์ลีก
- ไม่รู้นะ...ผมคิดแบบนั้น
ทีมของเป๊ปคงเป็นเต็งหนึ่งที่มีความครบเครื่องกว่าทีมของคล็อปป์ โปรแกรมของพวกเขาที่เหลือจะมีเกมเยือนยากหน่อยก็คือทำศึกดาร์บี้แมตช์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่เหลือรอเปิดรังรับทั้งสิงห์, ไก่และปืน
ขณะที่ลิเวอร์พูลเองกำลังเจอช่วงที่แฟนบอลคงต้องลุ้นเกร็งติดกัน เริ่มจากชี้ตะตาตัดนาโปลีในกลางสัปดาห์, แดงเดือดแห่งศักดิ์ศรี จากนั้นช่วงคาบเกี่ยวเปลี่ยนศักราชต้องเจออาร์เซนอล, แมนฯซิตี้ตามด้วยเยือนวูล์ฟส์แฮมป์ตันในเอฟเอ คัพ
นั่นเองที่เป๊ปให้สัมภาษณ์เอาไว้"เราแพ้เกมนี้แล้วตกจากจ่าฝูงย่อมดีกว่าไปเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม"
////////////////////////////////////////////////////////////////////////