ตลอดเวลาที่ผ่านมาอนาคตของ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรดังแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็เป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจมากในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะเขาจะหมดสัญญากับทีมในช่วงซัมเมอร์ ปี 2021 แต่ก็ยังไม่มีการต่อสัญญากันสักที

    กระทั่งล่าสุด กวาร์ดิโอล่า ก็ทำให้กระแสของเรื่องดังกล่าวมันน่าสนใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาเปิดเผยผ่าน "เป๊ป ซิตี้ : เดอะ เมกกิ้ง ออฟ อะ ซูเปอร์ทีม" (Pep’s City: The Making of a Superteam) หนังสือของตัวเองที่เตรียมจะวางขายภายในเดือนนี้ว่าถ้าเกิดทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามแผน อย่างเช่นเรื่องการที่ไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จอย่างมากได้ เขาก็จะบอกลาทีมแน่นอน

    ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมามีอยู่เพียง 2 ชื่อเท่านั้นที่ถูกมองว่าอาจจะได้เป็นทายาทของ กวาร์ดิโอล่า ได้แก่ มิเกล อาร์เตต้า หนึ่งในสตาฟฟ์โค้ชชุดปัจจุบันของ กวาร์ดิโอล่า และ โจวานนี่ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ อดีตฟูลแบ็กชาวดัตช์ โดยคนหลังมีข่าวลือว่าฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ให้เขามารู้งานเบื้องหลังต่างๆ เพื่อเป็นการปูทางเผื่อว่าเขาจะได้มาคุม "เรือใบสีฟ้า" ในอนาคต คำถามที่น่าสนใจก็คือใครที่น่าจะเหมาะกับตำแหน่งผู้สืบทอดของ กวาร์ดิโอล่า มากกว่ากัน ?

    - อาร์เตต้า
    อดีตมิดฟิลด์ชาวสแปนิชได้รับคำชมจากหลายคนมานานพอตัวแล้ว โดยที่จริงเขาก็เคยเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ อาร์เซน่อล คิดที่จะดึงไปเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในตอนที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ลงจากตำแหน่งด้วยซ้ำ ก่อนที่สุดท้ายทัพ "ไอ้ปืนใหญ่" จะหันไปเลือกใช้บริการของ อูไน เอเมรี่ กุนซือที่มีประสบการณ์โชกโชน

    ด้วยความที่เข้ามาทำงานที่ แมนฯ ซิตี้ พร้อมกับ กวาร์ดิโอล่า ตั้งแต่ปี 2016 ทำให้ อาร์เตต้า น่าจะซึมซับวิธีการทำทีมของ กวาร์ดิโอล่า มาได้ไม่มากก็น้อย แถมยังรู้เรื่องราวต่างๆ ภายในสโมสรเป็นอย่างดี รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมกับนักเตะบางคนในทีมด้วย ซึ่งนั่นถือเป็นข้อได้เปรียบของเขาเมื่อเทียบกับ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์

    อย่างไรก็ตาม อาร์เตต้า ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์การคุมทีมแบบจริงจังเลย จริงอยู่ว่าเขาเคยคุมทีมชุดใหญ่ของ แมนฯ ซิตี้ ลงเล่นเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดเจอกับ โอลิมปิก ลียง แทนที่ กวาร์ดิโอล่า มาแล้ว จากการที่ตอนนั้น กวาร์ดิโอล่า ติดโทษแบน แต่มันก็วัดอะไรไม่ได้มากนัก แถมเกมนั้น แมนฯ ซิตี้ ยังแพ้ ลียง 1-2 อีกต่างหาก

จริงอยู่ว่าที่ผ่านมาเคยมีคนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทั้งที่เพิ่งได้คุมทีมระดับชุดใหญ่ได้ไม่นาน อย่างเช่น กวาร์ดิโอล่า ที่ตอนแรกคุมแค่ทีมชุด เบ ของ บาร์เซโลน่า ก่อนที่จะสร้างชื่อกับทีมชุดใหญ่ของ "อาซูลกราน่า" ได้ และ ซีเนดีน ซีดาน ที่ตอนแรกแค่ทำงานกับทีมสำรองของ เรอัล มาดริด แต่ในเวลาต่อมาก็ประสบความสำเร็จกับทีมชุดใหญ่ของ "ราชันชุดขาว" เป็นต้น แต่ถ้าวัดแบบอัตราส่วนจริงๆ มันก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ทำอย่างนั้นได้ ดังนั้นการให้ อาร์เตต้า คุมทีมต่อจาก กวาร์ดิโอล่า ก็ดูจะเสี่ยงไปหน่อย

    - ฟาน บรองค์ฮอร์สท์
    แฟนบอลหลายคนอาจจะลืมหน้าค่าตาของ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ กันไปแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาแยกทางกับ บาร์เซโลน่า ในปี 2007 เพราะเขาไม่ใช่แข้งระดับซูเปอร์สตาร์ โดยที่จริงหลังจากหันหลังให้ "อาซูลกราน่า" แล้วนั้น เขาก็ไปเล่นกับ เฟเยนูร์ด ทีมที่เขาเคยอยู่ด้วยตั้งแต่ระดับอะคาเดมี่ ต่ออีกพักหนึ่ง แล้วแขวนสตั๊ดในปี 2010

    หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ก็เข้าเป็นผู้ช่วยเทรนเนอร์ของ เฟเยนูร์ด ในปี 2011 และพอถึงเดือนมีนาคม ปี 2015 เฟเยนูร์ด ก็ประกาศแต่งตั้งให้เขาเป็นกุนซือของทีมแบบล่วงหน้า โดยเขามาเริ่มงานอย่างเป็นทางการจริงๆ ในฤดูกาล 2015-16

    แค่ซีซั่นแรกกับ เฟเยนูร์ด ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ก็พาทีมได้แชมป์ เคเอ็นวีบี คัพ หรือเทียบเท่ากับ เอฟเอ คัพ ของที่ประเทศอังกฤษ ไปครองทันที ยิ่งไปกว่านั้น พอถึงซีซั่น 2016-17 เขาก็ถึงขั้นพาทีมคว้าแชมป์ เอเรดิวิซี่ หรือลีกสูงสุดของฮอลแลนด์มาเชยชมได้ จนทำให้ เฟเยนูร์ด ได้แชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี และพอเป็นฤดูกาล 2017-18 อดีตดาวเตะเชื้อสายอินโดนีเซียก็พาทีมได้แชมป์ เคเอ็นวีบี คัพ อีกหน

    มีเพียงซีซั่น 2018-19 เท่านั้นที่ถือว่าน่าผิดหวังสำหรับ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ เพราะเขาพาทีมได้เพียงแชมป์ โยฮัน ครัฟฟ์ ชิลด์ หรือเทียบเท่า คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ของที่อังกฤษ ซึ่งมันก็ไม่ใช่แชมป์ที่ได้รับการยกย่องมากนัก โดยที่ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ก็ตัดสินใจยอกลาทีมหลังจบฤดูกาลดังกล่าว

    ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ถือเป็นกุนซือที่เน้นเกมบุกเป็นหลัก ตลอดช่วงระยะเวลาที่คุม เฟเยนูร์ด ทีมในยุคของเขาทำประตูได้รวมแล้ว 367 ลูก จากการลงเล่น 176 นัดในทุกรายการ ส่วนเกมรับก็ดูดีในระดับหนึ่ง จากการเสียไป 190 ประตู แถมเปอร์เซ็นต์ชนะก็สูงลิบถึง 60.80 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ซึ่งการที่เขามีประสบการณ์การคุมทีมแบบจริงจังมาแล้วทำให้ตรงจุดนี้เขามีภาษีดีกว่า อาร์เตต้า

    ถึงกระนั้น มันก็มีความเสี่ยงที่ว่าเขาเพิ่งทำงานคุมทีมมาเพียงทีมเดียวเท่านั้น และเขาก็อาจจะต้องใช้เวลาเยอะพอตัวในการวางระบบการเล่นของทีมให้เข้ากับความต้องการของตัวเอง ตรงข้ามกับกรณีของ อาร์เตต้า ที่น่าจะให้ทีมเล่นตามสไตล์เดิมของ กวาร์ดิโอล่า ได้ทันที อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิด ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ใช้เวลาต่อจากนี้ในการศึกษาแผนของ กวาร์ดิโอล่า แล้วเอามาปรับใช้กับแผนของตัวเองได้แล้วล่ะก็ เขาก็อาจจะไม่ต้องเสียเวลาในการวางโครงสร้างการเล่นของตัวเองมากนัก

    สรุป : ในแง่ของประสบการณ์การคุมทีมแล้วนั้น ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ถือว่าเหนือกว่า อาร์เตต้า จากการที่ผ่านงานกับ เฟเยนูร์ด มาแล้ว แม้ว่าการใช้งาน อาร์เตต้า จะทำให้มีโอกาสที่ทีมจะเดินหน้าต่อจากยุคของ กวาร์ดิโอล่า ได้ทันที แต่ความเสี่ยงก็เยอะเกินไป ด้วยเหตุนี้ การให้ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ ได้เป็นทายาทของ กวาร์ดิโอล่า จึงดูจะเหมาะสมกว่า

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

Cr.siamsport