ทำไม แมนฯ ซิตี้ ต้องเป็นแชมป์แบบไร้พ่าย

เมื่อพรีเมียร์ลีกและฤดูกาลนี้ผ่านพ้นไป 13 นัด ถามว่าใครจะเป็นแชมป์?

    ขอบอกว่าคอลัมนิสต์ลูกหนังผู้มีอาการทางจิตเล็กน้อยอย่างผมสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำทันที โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ

    แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ครับ - แมนเชสเตอร์ ซิตี้

    ย้ำอีกครั้งนะครับว่า แมนฯ ซิตี้ แถมยังมั่นใจแบบเต็มประดาด้วยว่าไม่มีทางพลิกโผ หรือจะเกิดอุบัติเหตุทางลูกหนังกับพวกเขา แม้นเส้นทางจะเหลืออีกยาวไกลพอสมควรก็ตาม 

    สำหรับท่านที่จัดอยู่ในประเภท "เด็กผี" ซึ่งยังมีจิตศรัทธาในปีศาจแดงว่าทีมที่ตัวเองเชียร์แบบเต็มเปี่ยมนั้นยังมีสิทธิ์พลิกสถานการณ์กลับมาจากป่าช้าในเส้นทางที่เหลืออีกยาวไกล ผมก็ไม่ว่าอะไร และไม่ขอเถียง เพราะคนเราย่อมมีความเชื่อมั่นเป็นของตัวเอง 

    ผมไม่มีสิทธิ์ใปจำกัดความหวังหรือทำลายความเชื่อมั่นของใคร

    แต่ถ้าคุณพอจะสละเวลามาดูเกมที่ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ลงเล่นอย่างตั้งอกตั้งใจสักหน่อย ไม่ต้องเยอะครับ เอาแค่ 2-3 นัดก็พอ แล้วเอาฟอร์มการเล่นของพวกเขามาเทียบกับฟอร์มการเล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ดู บางทีทั้งความยึดมั่น ถือมั่น และความลำเอียงในใจของคุณจะถูกกระทืบจนแหลกสลายไปเลย

    และบางทีคุณอาจจะรีบยกแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ให้ แมนฯ ซิตี้ แบบไม่มีข้อแม้...ก็...เป็น...ได้

    ย้อนกลับไปเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

    แมนฯ ยูไนเต็ด ลงสนามก่อน และคว้า 3 แต้มได้อย่างหวุดหวิด - ไล่บีบทีมเพื่อนบ้านผู้น่ามคาญของตัวเองเหลือ 5 แต้ม

    เรียกว่าสร้างความกดดันเล็กๆ ให้ทีมจ่าฝูงก่อนออกไปเยือนจอห์น สมิธ สเตเดี้ยม ถิ่นที่เจ้าของบ้านเคยยัดเยียดความปราชัยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มาแล้ว

    แน่นอนว่าบรรดาเด็กผีต้องมีแอบคิดชั่วกับคู่แข่งร่วมเมืองเดียวกันบ้างล่ะน่า 

    ทว่าความจริงที่บังเกิดขึ้นคือลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พับสนามบุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียวด้วยศักยภาพของผู้เล่นและวิธีการเล่นที่เหนือกว่า (เยอะ)

    ก่อนจบครึ่งแรกประกายแห่งความหวังถูกจุดขึ้นในใจด้วยไฟแช็กที่พลังงานใกล้หมด เมื่อเป็น ฮัดเดอร์สฟิลด์ ที่ชิงจังหวะทำประตูขึ้นนำก่อนจากลูกเตะมุม

    ตอนนั้นผู้ชมทางบ้านอย่างผมแอบสบถในใจเบาๆ เพราะกลัวชาวบ้านได้ยินว่า "เอาล่ะ...โว้ยยยย!!!"

    สุดท้าย แมนฯ ซิตี้ ก็แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของแชมเปี้ยนส์ เมื่อพลิกกลับมาเป็นผู้มีชัยได้สำเร็จ

    เฮ่ออออออ!

    ใครที่ไม่ได้ดูเกมนี้ หรือดูแบบผ่านๆ อาจมองว่ามันเป็นชัยชนะในรูปแบบของการกระเสือกกระสนของ แมนฯ ซิตี้

    เพียงแต่ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมขอบอกว่ามันเป็นอีกเกมที่พลพรรคเรือใบสีฟ้าเล่นกันได้ไฉไลเป็นบ้า

    ด้วยผู้เล่นแนวรุกที่จัดจ้านยิ่งกว่าเคี้ยวพริกขี้หนู 300 เม็ดก่อนลงสนาม แถมยังสามารถพลิกแพลงเกมรุกของตัวเองได้หลากหลาย มันช่วยให้พวกเขาหาช่องว่างหลุดเข้าไปโจมตีในพื้นที่สุดท้ายได้เป็นระยะ 

    ต่อให้เอารถบัส 6 คันมาจอดขวางก็ต้านไม่อยู่

    ถึงตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ เดินหน้ากะซวกชัยชนะ 11 นัดติดต่อกัน และยังไม่แพ้ใคร โดยทิ้งห่างผู้ไล่ล่า 8 แต้มเหมือนเดิม

    เรื่องคว้าแชมป์คงไม่ต้องพูดถึงแล้วล่ะ - เรื่องที่พูดกันหลายปาก ณ จุดนี้ คือ แมนฯ ซิตี้ จะเป็นแชมป์แบบไร้พ่ายหรือเปล่า?

    อืมมมมมม...นะ

    เรียนตามตรงว่าผมไม่กล้าตอบพอๆ กลับไม่กล้าชี้ชัดนะครับ เหตุเพราะไม่รู้ว่าในเส้นทางที่เหลือนั้นจะมีนรกอะไรจะบังเกิดขึ้นบ้าง แต่ถามว่าการเป็นแชมป์แบบไร้พ่าย มันยากขนาดไหน ผมตอบได้เลยว่าโคตรยากระดับเครือญาติทางด้านบิดากับเครือญาติทางด้านมารดาเดินทางมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย เพราะถ้ามันง่าย - ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาคงมีแชมป์แบบไร้พ่ายมากกว่า 1 ทีมไปแล้วล่ะ

    เหนือสิ่งอื่นใดคือเก่งอย่างเดียวไม่พอ - ต้องเฮงด้วย

    ขนาดมหาอำนาจลูกหนังอังกฤษคนละยุคสมัยที่กินเวลายาวนานอย่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่เคยเฉียดเข้าใกล้เลยนะครับ

    ดังนั้น การเป็นแชมป์ลีกสูงสุดแบบไร้พ่ายจึงเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่แบบเต็มประดาพลางถูกจารึกอยู่ในความทรงจำแบบตราบนานเท่านานเหมือนที่ อาร์เซน่อล เคยจารึกเอาไว้นั่นแหละ

    ทวนเข็มนาฬิกากลับไปในฤดูกาล 2003-04

    อาร์เซน่อล มีขนาดทีมที่ใหญ่พอสมควร ผู้เป็นกุนซืออย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ก็กำลังสดพลางค้นส่วนผสมที่ลงตัวมากจนโชว์ฟอร์มได้อย่างสะเด่าไปเลยอีน้องทั้งในเกมรุกและเกมรับ

    ที่สำคัญพวกเขามีเฮงด้วย

    นอกจากจะค้นพบส่วนผสมที่ลงตัว เจ้าป้าแห่งสถาบันปืนโตยังปราศจากปัญหาผู้เล่นสำคัญถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปนานๆ จนสามารถจัดตัวผู้เล่นชุดที่เจ๋งที่สุดได้อย่างต่อเนื่องเกือบทุกสัปดาห์

    เท่านั้นไม่พอ ยังมีเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์อีกต่างหาก

    จำได้ไหมครับว่าทีมสีหนาทปืนโตเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เพียงเกมที่ 6 ของฤดูกาลไร้พ่าย

    การศึกครั้งนั้นทั้ง 2 ฝ่ายห้ำหั่นกันอย่างถึงใจพระเดชพระคุณบนความดุเดือดเลือดพล่านระดับ 80 กะโหลก ก่อนพลพรรคปีศาจแดงจะมาได้จุดโทษในนาทีสุดท้าย 

    ถ้า รุด ฟาน นิสเตลรอย สังหารเข้าไปตุงตาข่าย ป่านนี้อาจยังไม่มีคำว่าแชมป์แบบไร้พ่ายเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก

    ว่าแล้ว "พี่ม้า" ก็ตะบันลูกจุดโทษไปชนคานซะอย่างนั้น!

    หลังจากรอดพ้นจากความปราชัย อาร์เซน่อล ก็เดินหน้าทำสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

    เห็นไหมครับว่าการเป็นแชมป์ลีกสูงสุดแบบ "อินวิซิเบิ้ล" นั้นมันต้องมีดวงเข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย เก่งอย่างเดียวไม่พอแน่นอน

    ตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ เหลือเกมอีก 25 นัดในพรีเมียร์ลีกให้ทำสถิติ ซึ่งอย่างที่บอกนั่นแหละว่าเรื่องแชมป์แทบไม่ต้องพูดถึงแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะเนรมิตคำว่า "ไร้พ่าย" ให้ตัวเองได้สำเร็จหรือไม่

    คำถามนี้ผมตอบไม่ได้ แถมไม่กล้าชี้ชัด ก็เพราะอย่างที่ทราบกันดีนั่นแหละว่ามันมีปัจจัยแวดล้อมมากมายเหลือเกิน

    เราไม่มีทางรู้ว่าจะมีผู้เล่นสำคัญๆ ถูกอาการบาดเจ็บบุกมาชิงตัวไปพร้อมกันทีละหลายๆ คนหรือเปล่า

    แล้วไหนจะต้องกรำศึกหนักอย่างซอยยิกไม่ยั้งหยุดทั้งในสมรภูมิแข้งพรีเมียร์ลีก รวมถึงรายการอื่นๆ เฉพาะอย่างยิ่ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ "เดอะ ซิติเซนส์" จัดอยู่ในประเภทตัวเต็งที่มีโอกาสคว้าแชมป์เหมือนกัน

    ย้อนกลับไปในฤดูกาลไร้พ่ายของ อาร์เซน่อล อีกครั้ง 

    พวกเขาตะลุยถึงรอบตัดเชือก ลีก คัพ ก่อนผสมตัวสำรองลงไปแล้วพ่ายแพ้แก่ มิดเดิ้ลสโบรช์ เช่นเดียวกับในเอฟเอ คัพ ที่ตะลุยถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนถูกคู่แค้นระดับฆ่าล้างโคตรอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด เอาคืน

    ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถูกคู่แข่งร่วมเมืองและร่วมชาติอย่าง เชลซี เขี่ยตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังจากพ่ายปีศาจแดงในรอบตัดเชือก เอฟเอ คัพ แค่ 3 วัน

    ฤดูกาลนั้น อาร์เซน่อล ไม่เหลือถ้วยอื่นให้สิ้นเปลืองพลังงาน นับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2004 โดยเหลือเกมในพรีเมียร์ลีกอีก 8 นัดให้ทำสถิติแบบไร้พ่าย

    ด้วยขนาดของทีมที่เบ่งบวมพอสมควร และด้วยฟอร์มการเล่นอันเปล่งปลั่งอย่างน่าสยดสยอง ผมมองว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถตั้งเป้าหมายในการเป็นแชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปได้อีก 1 รายการ โดยไม่จำเป็นต้องสนใจสถิติการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายให้มากนัก เสมอหนึ่งเป็นเพียงแค่โบนัส

    ในเส้นทางสู่แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังอุดมด้วยคู่แข่งประเภท เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด และหงส์แดง เรียนตามตรงว่าเจาะจงยากถึงยากบรรลัยครับว่าทีมใดจะพุ่งชนความสำเร็จในบั้นปลาย แตกต่างจากแชมป์พรีเมียร์ลีกที่เปรียบเสมือน "ของตาย" ที่คงไม่หนีไปจาก แมนฯ ซิตี้ แน่ๆ

    ในรอบ 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัยในฤดูกาล 2011-12 และ 2013-14 จากการทำงานของ โรแบร์โต้ มันชินี่ และ มานูเอล เปเยกรีนี่ กระนั้น แมนฯ ซิตี้ ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แถมไม่ค่อยมีใครกล่าวขวัญถึงสักเท่าไหร่ เพราะด้วยพลังและอำนาจเงินของโคตรอัครมหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของทีมที่พากย์อังกฤษว่า "อาหรับ มันนี่" ทำให้พวกเขาเหนือกว่าคู่แข่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    การได้แชมป์พรีเมียร์ลีกจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

    ในสายตาของแฟนบอลทั่วไป โดยเฉพาะเด็กผี, เด็กหงส์, เด็กปืน และโดยไม่เว้นแม้แต่เด็กหอย - แมนฯ ซิตี้ เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จโดยไม่มีประวัติศาสตร์พลางค่อนขอดว่าสโมสรนี้เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008

    ต่อให้พวกเขาคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้ มันก็เป็นเพียงแชมป์อีกแค่ 1 สมัยที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น 

    อย่างไรเสีย แมนฯ ซิตี้ ก็ยังคงเป็นทีมที่ไม่มีประวัติศาสตร์ และเป็นเพียงเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญของพวกเด็กผีที่เทียบความเกรียงไกรกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ ในเมื่อสิ่งที่ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ทำได้ - ทีมสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์ก็เคยทำได้ แถมเคยทำได้มากกว่าซะด้วย 

    ฉะนั้น & ฉะนี้

    หากผมเป็นโอรสเจ้าอาหรับอย่างท่าน ชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ผู้เป็นเจ้าของทีม ผมคงจะมีคำสั่งลงมาถึงเบื้องล่างอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ว่าช่วยเสกให้ แมนฯ ซิตี้ สถาปนาตัวเองเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายให้จงได้ในฤดูกาลนี้ทีเถอะ

    เพราะหากทำสำเร็จละก็ 

    แมนฯ ซิตี้ คือทีมที่สามารถทำในสิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่กว่าอีกหลายทีมไม่เคยทำได้ 

    แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ขึ้นมาทันที!

    "บอ.บู๋"

สยามสปอร์ต