เชลซี ที่แม้มีฟอร์มกระท่อนกระแท่นในลีก โอกาสพลาดพลั้งกระเด็นตกขอบถนนในรอบแบ่งกลุ่มมีน้อยเหลือเกิน ด้วยเหตุคู่ต่อสู้อีก 3 ทีมที่เหลือยังไม่แกร่งพอ อีกอย่าง เวทีนี้รับมือได้ง่ายกว่าพรีเมียร์ลีกลีกแห่งความพลิกผันอยู่เยอะ โชเซ่ มูรินโญ่ คงพาทีมตีตั๋วเข้ารอบต่อไปแบบไม่แป้กชัวร์ป้าบ
 
         แมนฯ ยูไนเต็ดของ หลุยส์ ฟาน กัล นัดแรกพลาดท่าสะดุดยอดหญ้าที่ฮอลแลนด์ก็จริง แต่ถ้ายังรักษาความต่อเนื่องในผลงานสนามเหมือนเกมลีกเอาไว้ได้ ซีเอสเค มอสโก (2นัด) และ โวล์ฟสบวร์ก (2นัด) ขณะที่จะได้เปิดบ้านรอล้างแค้นคืน พีเอสวีฯ ดูยังไงก็สะสมแต้มในมือได้เพียงพอ
 
         แตกต่างจากปืนใหญ่และเรือใบ
 
         อาร์แซน เวนเกอร์ ทำใจเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ผลจับติ้วคลอดโผ โอกาสรั้งหัวหาดของกลุ่มนี้เป็นไปได้ยากประหนึ่งเข็นครกขึ้นภูเขาเอเวอร์ เรสต์ เนื่องจาก บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่ตัวดียืนตระหง่านขวางทางอยู่ ดังนั้นอันดับสองของกลุ่มจึงมีลุ้นที่สุด
 
         น่าเสียดายปนความผิดหวังอย่างรุนแรงที่เกมแรกดันมือเปล่ากลับมาจาก แผ่นดินโครเอเชีย นั่นทำให้เกมนัดต่อไปที่เปิดรังรับการมาเยือน โอลิมเปียกอส อังคารนี้ ต้องลงเล่นด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับ ชนะสถานเดียวห้ามแพ้ด้วยประการทั้งปวงหรือแม้กระทั่งหน้าเสมอก็ไม่เป็นผลดี ด้วยเช่นกัน
 
         เมื่อนัดที่ 3-4 มีคิวเผชิญหน้ากับโคตรบอลอย่างเสือใต้ทั้งเหย้า-เยือน แหงนหน้ามองอนาคตชั่วครู่ เรามีโอกาสเห็น เวนเกอร์ แอนด์ โค เดินคอตกออกจากสนามมากกว่าชูกำปั้นขึ้นฟ้า บาเยิร์น มิวนิค ก็ยังเป็น บาเยิร์น มิวนิค มาตรฐานทีมสูงลิบ แข็งแกร่งทุกส่วนสัด
 
         จริงอยู่ ทุกคนรู้ดีว่า ถ้าวันไหนอาร์เซน่อลดันเกิดผีเข้า เล่นได้ตามจังหวะจะโคนเป๊ะๆ พวกเขาสามารถชนะคู่แข่งระดับท็อปในโลกลูกหนังใบนี้ได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม คงมีคนส่วนน้อยที่กล้าหยิบแบงก์ปึ้กใหญ่ไปเสี่ยงสวนกระแสที่ร้านพนันวันเจอ เสือใต้ยุคนี้
 
         อาร์เซน่อลอังคารนี้มีข้อแม้เดียวคือต้องชนะ ฟันสามแต้มแรกให้ได้ ผิดเพี้ยนไปจากนี้ พี่เบิ้มแห่งลอนดอนตอนเหนืออาจร่วงหล่นตกรอบตั้งแต่ยังไม่พ้นเดือนพฤศจิกายน
 
         ประวัติศาสตร์ถ้วยบิ๊กเอียร์ที่ผ่านมา มีเพียง เอฟซี บาเซิ่ล จากสวิตเซอร์แลนด์ทีมเดียว ที่ทะลุสู่รอบน็อกเอาต์ด้วย 7 คะแนน ไม่มีทีมไหนตีตั๋วด้วย 6 คะแนนมาก่อน และถัดจาก 2 เกมกับบาเยิร์น มิวนิคแล้ว อาร์เซน่อล จะห่ำหั่นกับ ดินาโม ซาเกร็บ ที่เอมิเรตส์ (24 พ.ย.) และ ปิดท้ายด้วยการยกพลเยือนโอลิมเปียกอส ที่กรีซ (9 ธ.ค.) แต่ถ้าผ่านพ้นนัดสองเก็บได้แค่แต้มเดียวหรือโบ๋ ก็เอวังด้วยประการฉะนี้ทันที
 
         ได้ไปต่อหรือจะจอดไม่ต้องแจว ขึ้นอยู่กับผลแข่งอังคารนี้ครับ
 
         อย่างไรก็ตาม บนความกังวลเหล่านี้ก็แฝงไว้ด้วยข่าวดี นอกเหนือจากสถิติเฮดทูเฮดกับโอลิมเปียกอสชี้ชัดว่า บ้านใครบ้านมัน (3 หนหลังที่เจอ 3-1, 2-1, 2-0) มันช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกินที่ อาร์เซน่อล สามารถเรียกขวัญกำลังใจคืนมาได้พอดิบพอดี จากวันสูญเสียความมั่นใจกับเชลซี แต่แก้ตัวทันควันกับเกมแห่งศักดิ์ศรีที่ไวท์ ฮาร์ท เลน แล้วต่อเนื่องความยอดเยี่ยมที่สังเวียนคิง เพาเวอร์ที่ว่ากันว่าไม่ใช่เกมง่ายแต่เด็กๆ ของเวนเกอร์ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เมื่อทุกอย่างมันลงตัวและเริ่มคลิกในทุกๆ ภาคส่วน
 
         เกมรับอาจมีหลายจังหวะให้หวาดเสียวสะท้านหัวใจแฟนบอลปืนโตแต่เหนือ สิ่งอื่นในวันที่จุดเด่นของทีมทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ อาร์เซน่อล ก็ไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงผู้ใด

 
         อย่างที่เราได้เห็นกันแล้ว แดนกลางกับกองหน้าของทีมดูจะจูนกันติดหนึบเป็นตังเม ตัวจริงในความเชื่อมั่นของเจ้านายอย่าง ธีโอ วัลค็อตต์ ยิงได้เล่นดี แม้กระทั่งสำรองที่เปลี่ยนลงมาเพียงไม่กี่นาที โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ยังคลำเป้าเจอตอบแทนความไว้วางใจ เท่านั้นไม่พอไอ้คนที่ดูเงียบๆ ไม่เปรี้ยงปร้างตั้งแต่ออกสตาร์ตซีซั่น อเล็กซิส ซานเชส ก็ระเบิดฟอร์มเก่งกดแฮตทริกแรกทันที หรือจะเป็น ซานติ กาซอร์ล่า กับ เมซุต โอซิล ก็ยังโดดเด่นไม่แพ้กัน
 
         ความมุ่งมั่นกันเนอร์สวินาทีนี้สูงลิบมาก นักเตะเริ่มดูคึกคัก ตั้งแต่ชนะเกมลีกกลางสัปดาห์ไล่มาถึงนัดบุกถล่มเลสเตอร์ดังนั้นหากว่าพวกเขา เอาชนะโอลิมเปียกอสได้อย่างสวยหรูหมดจนก็หาใช่เรื่องแปลกอะไรไม่เลย ขอเพียงอย่าติดประมาทหรือยิงทิ้งยิงขว้างก็พอ
 
         แม้มีบิ๊กแมตช์ที่รอคอยวีกหน้ากับแมนฯ ยูไนเต็ด แต่อังคารนี้อาร์เซน่อลต้องปิดจ๊อบให้ได้ตามเป้าหมายก่อน นั่นคือเรื่องสำคัญกว่า
 
         จากลอนดอนเหนือมุ่งหน้าสู่แมนเชสเตอร์ย่านสีฟ้า
 
         ฟุตบอลของแมนฯ ซิตี้ 2015 ก็เพี้ยนๆ ใช่เล่น
 
         สาวกซิตี้ เซนส์คงงงกันตาตั้งว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น?? ก่อนหน้านั้นเรือใบสีฟ้าลำนี้เปล่งพลังในสนามได้อย่างสวยงามกว่าใครเขา ชนะรวดเกมลีก 5 เกมติดต่อกันแถมไม่โดนใครเปิดบริสุทธิ์ประตูหลังด้วย ขณะที่ยูเวนตุสมาเยือนด้วยการสะกดคำว่าชนะใครไม่เป็น 3 แมตช์แรก ทั้งๆ ที่เกมดังกล่าวใช่ว่าเล่นไม่ดี ดีกว่าอาคันตุกะจากแดนมะกะโรนีเสียด้วยซ้ำ แต่ท้ายสุดก็พังพาบคาบ้าน ยิงผ่านมือ จิจี้ บุฟฟ่อน ไม่ได้ ก่อนมาโดนสวนดอกสองก็จบเห่
 
         จากนั้นซิตี้ปราชัย 2 นัดรวมต่อเวสต์แฮมต่อด้วยเกมล่าสุดบุกไปเยือนสเปอร์สแล้วโดนถล่มเละเทะยับเยิน 1-4
 
         การแพ้ 3 จาก 4 เกมหลัง ทำเอาแมนฯ ซิตี้สะเทือนซางกันทั้งบาง  โดยในทุกๆ เกมที่แพ้มันมีเหตุผลรองรับอยู่เสมอ ทั้งแนวรุกขาดความเฉียบขาดเสียเอง เกมรับเสียสมาธิดื้อๆ ความผิดพลาดของระบบส่วนตัว โกลสำรองทะเล่อทะล่าออกมาป้องประตูโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ความสะเพร่าของผู้ตัดสิน และ ฯลฯ
 
         สภาพจิตใจของแมนฯซิตี้ย่ำแย่อยู่แล้วไม่พอ ภาพรวมของนักเตะชุดปัจจุบันยังไม่สมบูรณ์ 100 % อีกด้วย คีย์แมนทั้ง แว็งซ็องต์ ก็องปานี, ยาย่า ตูเร่, ดาบิด ซิลบา อยู่ในลิสต์คนเดี้ยงพร้อมกัน มิพักเอ่ยถึงอะไหล่เสริมทั้ง วิลเฟรด โบนี่, เอเลียควิม ม็องกาล่า, กาแอล กลิชี่ และ ฟาเบียง เดลฟ์ ไม่พร้อม โจ ฮาร์ท ที่เจ็บหลังก็ไม่แน่ เรียกได้ว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์ยังเข้าไม่แทรกในเวลาไม่ควรด้วย
 
         สถานการณ์ตอนนี้บีบให้ซิตี้จำเป็นต้องชนะสถานเดียวในเกมแช มเปี้ยนส์ ลีกที่จะพบกับโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค เหมือนกับ อาร์เซน่อล เพื่อนร่วมลีก แต่เอาเข้าจริง มานูเอล เปเยกรีนี่ แอนด์ โค ดูจะน่าเป็นห่วงมากกว่าหลายเท่า
 
         จะว่าไปแมนฯ ซิตี้ก็เป็นทีมแปลกประหลาดมาตั้งแต่ไหน ไม่ว่าเค้นฟอร์มเก่งได้ดีแค่ไหนหรือจะห่วยบรมในลีกขนาดไหน มักทำผลงานได้ขี้เหร่อยู่เสมอมาสำหรับเกมยุโรป จะยุค โรแบร์โต้ มันชินี่ หรือปัจจุบันกับ เปเยกรีนี่ ก็ยังไม่สามารถยกระดับตัวเองขึ้นเป็นแถวหน้าของถ้วยนี้ได้
 
         ไม่ง่ายเลยในการบุกเยือนทัพสิงห์หนุ่มแห่งเมืองเบียร์ ชื่อชั้นของทีมและนักเตะเหนือกว่าก็จริง แต่เกมนี้ไม่หมูอย่างแน่นอน
 
         นับจาก ลูเซียง ฟาฟร์ ลุกจากเก้าอี้เซ่นความรับผิดชอบผลงานห่วยช่วงแรกของซีซั่น เส้นกราฟผลงานของกลัดบัค พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยทันที ใช่เลย บอลประเภทเปลี่ยนโค้ชแล้วมักน่าสะพรึงกลัวเสมอ 2 นัดที่ผ่านมา สอยประตูคู่ต่อสู้ถึง 7 ตุง ล่าสุดพกความเชื่อมั่นมาเต็มกระเป๋าจากถล่มสตุ๊ตการ์ทมันเท้า 3-1 ขณะเดียวกันตัวทีเด็ดอย่าง กรานิต ชากา, ธอร์แกน ฮาซาร์ หรือ ราฟฟาเอล กำลังมั่นใจสุดๆ ด้วย
 
         เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ จะให้แมนฯ ซิตี้เจอกับเกมที่ง่ายได้อย่างไร??
 
         เปเยกรีนี่ เจอกับการบ้านกองโตเท่าภูเขาอีกครั้ง จะมีวิธีปลุกขวัญและกำลังใจของลูกทีมยังไงให้กลับคืนสู่สภาวะปกติให้ได้ทัน เวลา??
 
         ที่ผ่านมา เท่าที่สังเกตจากฤดูกาลที่แล้ว ถ้าแมนฯ ซิตี้เป๋เกมหนึ่งแล้วมีบอลชปล.เข้ามาเอี่ยวก็จะเสียสูญการทรงตัวอย่างต่อ เนื่อง
 
         21 ตุลาคม 2014 : โดนซีเอสเคเอ มอสโกตามตีเสมอ 2-2 เหลือเชื่อทั้งๆ ที่นำสบาย2-0 จาก 3 เหลือ 1 แต้ม จากนั้นเรือใบก็ฟุบยาว แพ้ขุนค้อน พ่ายนิวฯ คั่นกลางด้วยการชนะสงครามแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ แต่ก็พังพาบคาบ้านต่อ ซีเอสเคเอ มอสโก ตกรอบ ตามด้วยเจ๊าคิวพีอาร์ กว่าจะคืนฟอร์มเก่งได้ก็ใช้เวลาหลายนัดอยู่
 
         เช่นกัน 25 กุมภาพันธ์ 2015 : ปราชัยต่อบาร์ซ่า 1-2 บุกโดนลิเวอร์พูลสอย แม้บดบี้ขยี้เลสเตอร์กับเวสต์บรอมวิชได้ แต่ก็แพ้ต่อเบิร์นลี่ย์,บาร์เซโลน่า เรื่อยมาถึง คริสตัล พาเลซ 1-2 และ ยับเยินที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 2-4
 
         แล้วปีนี้ล่ะ??
 
         3 ใน 4 ตัวแทนถ้วยใหญ่ดันออกตัวแย่พร้อมกัน โอกาสที่ลีกอังกฤษส่อแววเสียสิทธิ์อันดับ 4 ในการเล่นบนเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับทีมจากกัลโช่ เซเรีย อา ในซีซั่น 2017/18 ก็มีเพิ่มขึ้นเมื่อค่าประสัมสิทธิ์ไม่ห่างกันเหมือนเดิม แต่ก่อนจะคิดถึงวันนั้นที่ยังมาไม่ถึง นี่ถือได้ว่าเป็นเกมสำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นเกมเรียกความเชื่อมั่นเดิมๆ ของ เปเยกรีนี่ คืนมา
 
         โดยเฉพาะขาใหญ่เบื้องบนที่ชักไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น เกมฟุตบอลพ่ายแพ้กันได้เสมอ มีความผิดพลาดกันได้ แต่ปราชัยยับเยิน 1-4 นับว่าทุเรศสายตาสำหรับทีมใหญ่ระดับแมนฯ ซิตี้เกินไป ไม่ใช่เรื่องปกติสามัญแน่ นี่คือครั้งแรกตั้งแต่เมษายน 2011ที่แพ้จำนวนห่างของประตูเยอะสุด (3)โดยครั้งล่าสุดเป็นลิเวอร์พูลที่มอบบทเรียนราคาแพงให้
 
         เปเยกรีนี่ เผชิญหน้ากับความกดดันมหาศาลอีกครั้ง
 
         เพราะถ้าเกมนี้ไม่ชนะอีก อุณหภูมิเก้าอี้ของตัวเองก็จะเริ่มสูงขึ้นตามเพื่อนร่วมอาชีพนามว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทันที

      'อีกา'

***************************************************

Cr.siamsport  ติดตามข่าวสารได้ที่เวปหลักของประเทศไทย  www.mcfc.in.th