Members

มองในแง่ไหน


ในอดีตกาล มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะองค์ที่ ๓ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านสุมังคลเศรษฐีซึ่งเป็นผู้มี
ศรัทธาแก่กล้า ได้สร้างกุฏิสำหรับเป็นที่ประทับประจำถวายพระพุทธเจ้าหลังหนึ่งนอกเมือง และออกไปเผ้า
อุปัฏฐากทุกเช้า ในเช้าวันหนึ่งได้เตรียมของถวายแล้วให้คนใช้ถือตามหลังออกไปเช่นเคย พอถึงประตูเมืองได้
เห็นชายคนหนึ่งมีเท้าเปรอะเปื้อนโคลนนอนคลุมโปงอยู่ จึงพูดเปรยกับกับใช้ว่า คนๆนี้ สงสัยจะเที่ยวดึก กลับ
เข้าเมืองไม่ทันประตูปิด จึงต้องมานอนลำบากอย่างนี้ น่าสงสรรจริง ชายคนนั้นได้ยินแว่วๆ จึงเปิดหน้าออกมา
มองดูเห็นเศรษฐีเข้าก็จำได้ว่าเป็นใคร แต่ไม่พูดอะไร ได้แต่ผูกอาฆาตในใจว่า เศรษฐีคนนี้ ยุ่ง ไม่เข้าเรื่องมัน
เรื่องอะไรของเขา เราจะเที่ยวดึกไม่ดึกมันเรื่องของเรา ไม่น่ามาเกี่ยวกัน เอาเถอะ สักวันหนึ่งเราจะให้รู้สึกถึงการ
ยุ่งเรื่องคนอื่นเขาไม่เข้าเรื่อง ผูกอาฆาตแล้วก็หลับต่อ ตื่นขึ้นในตอนสาย นึกถึงคำพูดของเศรษฐีได้ ความโกรธ
ก็แล่นขึ้นหน้าอีก เขาไม่อาจจะทำ ร้ายเศรษฐีโดยตรงได้ จึงลอบเผานาเศรษฐีเสีย ๗ ครั้ง ความโกรธยังไม่คลาย
เลยลอบตัดเท้าวัวเศรษฐีในคอกเสียอีก ๗ หน เศรษฐีทราบเรื่องก็ไม่โกรธ และไม่สั่งให้ค้นหาตัวคนทำมาลงโทษ
ประการใด เมื่อเขาไม่โกรธตัวเองกลับไม่พอใจหนักขึ้นตามลักษณะคนพาล ซึ่ง


ได้โอกาสจึงลอบเผาบ้านเศรษฐีเสีย ๗ ครั้ง ๗ หลังด้วยกัน เท่านี้แทนที่จะลดความอาฆาตลงได้ กลับเพิ่มความ
ความโกรธทวีขึ้นเมื่อเศรษฐีไม่โต้ตอบ คิดหาทางว่าจะทำอย่างไรหนอจึงจะทำให้เศรษฐีเจ็บแสบ เที่ยวสืบเสาะดู
ก็ได้ความว่า เศรษฐีคนนี้รักเคารพในพระพุทธเจ้ามาก ถึงกับสร้างกุฏิถวายเป็นที่ประทับ สิ่งที่เศรษฐีรักและหวง
สมใจเราแน่ พอพระพุทธเจ้าไม่อยู่ในวันหนึ่งจึงเข้าไปจุดไฟเผา กุฏิไหมเป็นจุณไป และแทนที่จะหลบหนีไปเสีย
กลับปะปนกับฝูงชนเข้ามาดูผลงานของตน และ ดูอาการโกรธของเศรษฐี ท่านเศรษฐีพอรู้ว่าไฟไหม้กุฏิก็รีบมา
มาถึงเห็นกุฏิถูกไฟไหม้ผลาญเหลือแต่ซาก แทนที่จะเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธแค้นคนทำ กลับตบมือฉาดๆมอง
หน้าฝูงชนด้วยความพออกพอใจ เมื่อถูกถามว่าทำไมไม่โกรธไม่เสียใจ ที่ของรักหวงแหนวิบัติไปเช่นนี้ ก็ตอบ
ว่า เราจะเสียใจไปทำไม ดีใจเสียอีกไม่ว่า เราจะได้สร้างกุฏิใหม่ให้ใหญ่กว่านี้แข็งแรงกว่านี้ถวาย เราต้องขอบใจ
คนเผาเสียด้วยซ้ำไป ถ้าเขาไม่เผา เราก็จะไมมีโอกาสได้ทำบุญใหญ่เช่นนี้อีก เราขอบใจเขาจริงๆ คำพูดนี้แทงใจ
ชายคนร้ายเหลือเกิน ผิดหวังก็ผิดหวัง โกรธก็โกรธ หาช่องทางกำจัดเศรษฐีนั้นต่อไป


พอท่านเศรษฐีสร้างกุฏิ หรือพระคันธกุฏีหลังใหม่เสร็จก็ทำการฉลอง ชายคนนั้นได้ช่องทางที่จะลอบฆ่าเศรษฐี
นั้นตอนคนพลุกพล่านมากๆ จึงเหน็บมีดปลายแหลมคมไว้ที่ชายพกปะปนไปกับฝูงชนเช่นเคย เมื่อท่านเศรษฐี
ถวายภัตตาหาร ถวายกุฏิหลังใหม่แด่พระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ก่อนที่จะกรวดน้ำรับพรพระ จึงลุกขึ้นประกาศแก่ฝูง
ชนในที่นั้นว่า ท่านทั้งหลาย มีคนๆหนึ่งลอบเผานาข้าพเจ้า ๗ ครั้ง ตัดเท้าวัว ๗ หน เผาบ้านอีก ๗ หลัง มาบัดนี้
เขามาเผากุฏิอีกเพราะอาศัยเขา ข้าพเจ้าจึงได้ทำบุญใหญ่เห็นปานนี้ในวันนี้ ถ้าไม่มีเขา ก็จะไม่มีวันนี้สำหรับ
ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบใจเขา และข้าพเจ้าขอยกส่วนนี้ให้เขาเป็นคนแรก คำประกาศนี้เหมือนน้ำกรดทิพย์
ที่ละลายความอาฆาตมาดร้าย ที่ฝังแน่นอยู่ในใจของเขาให้มลายสิ้นในพริบตา เขาแหวกฝูงชนเข้ามาเผชิญกับ
ท่านเศรษฐี คุกเข่าแล้วดึงมีดออกมาส่งให้เศรษฐี พร้อมกับกล่าวว่า ข้าพเจ้าทำผิดต่อท่านมามาก โปรดฆ่าข้าพเจ้า
เสียเถิด ข้าพเจ้าสมควรตาย แต่ท่านเศรษฐีกลับคุกเข่าลงประคองเขาให้ยืนขึ้นแล้ว ปลอบประโลมไม่ถือสาไม่เอา
โทษทัณฑ์แต่ประการใด กลับชวนให้ไปอยู่ที่บ้านด้วย ให้ช่วยทำงานที่บ้าน


กรรมดีที่เขาถอดสลักเวรได้ ทำให้เขาอยู่สุขสบายในบ้านเศรษฐี แต่กรรมชั่วที่เขาทำไว้ก่อนหน้านั้น ส่งให้เขา
ตกนรกหมกไหม้ หลังจากตายไป ใช้กรรมในนรกแล้ว เศษกรรมยังส่งให้เขาเกิดมาเป็นเปรตอยู่ที่เชิงเขาคิชฌกูฏ
ถูกไฟไหม้ร่างกายปวดแสบปวดร้อน อยู่ตลอดเวลา ตายก็ไม่ตาย หายก็ไม่หาย นี่คือผลกรรม
เล่าเรื่องนี้มาก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า คนเรานั้นอาจทำผิดได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และอาจผิดได้บ่อยๆ ด้วย และใน
ชั่วชีวิตของแต่ละคนนั้นอาจจะได้ทำความดีกันไว้บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้น หากเราจะมองข้ามความผิดเล็กๆน้อยๆ
ของกันและกันไปเสีย มองหาแต่แง่ดีๆของกันและกันก็จะพบได้ และจะทำให้เราเกิดความนิยมนับถือในตัวผู้นั้น
ได้อย่างสนิทใจ ความจริง ชายคนนั้นได้ทำผิดคิดร้ายต่อท่านเศรษฐีอย่างให้อภัยกันไม่ได้หลายครั้งหลายหน แต่
ท่านเศรษฐีก็มองหาจุดดีของเขาจนพบ อันจุดดีนั้นกลายเป็นจุดเด่นที่ลบล้างจุดด้อยของชายคนนั้นได้สิ้นเชิงใน
สายตาของท่านเศรษฐี ทำให้ท่านอภัยเขาได้ ทำให้ท่านไม่ต้องเดือดร้อนใจ ไม่ต้องก่อเวรก่อภัยต่อกันอีก คนดี
มักจะมองคนอื่นในแง่ดีอยู่ เสมอ มิใช่ว่าจะมองไม่พบ แง่เสียหรือแง่ร้ายของเขา พบเหมือนกัน แต่เมื่อพบแล้ว
มองข้ามมันไปเสียไม่ติดใจในแง่นั้น เพราะเห็นว่าทุกคนมีโอกาสผิดพลาดหรือเสียหายได้ด้วยกัน เมื่อมองกันใน
แง่ดีแล้วก็จะสบายใจ ทั้งคนมองและคนที่ถูกมอง


สามีมองเห็นภรรยาทำอะไรไม่เข้าท่าไม่น่าดูในบางอย่างบางสถานที่ เช่น เป็นคนขี้หึง เป็นคนพูดมาก
หรือชอบแต่งตัวจนเกินงาม เช่นนี้ แม้จะไม่ถูกตาถูกใจ แต่มันเป็นนิสัยของเขา เป็นเรื่องชอบของเขา มอง
ข้ามเสียก็สบายใจไปได้ หรือมาคิดเสียว่า ที่เขาหึงเพราะเขารักเรามาก หรือเพราะเราเจ้าชู้มากนั่นเอง ที่เขา
พูดมากเพราะเราทำไม่ถูกใจเขามาก หรือเขาชอบแต่งตัวก็เพื่อให้เราดูจะได้ไม่เบื่อเขา มองเสียได้อย่างนี้ก็
ทำให้ไม่มีเรื่องราวกัน สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย มองอย่างนี้แหละมองกันในแง่ดี ซึ่งเป็นวิสัยของคนดี
หากมองกันแต่ในแง่ร้ายๆ คอยจับผิดคอยจับพิรุธกันอยู่ร่ำไป ใจของคนมองนั่นแหละจะเกิดความไม่สบาย
ใจเกิดความฟุ้งซ่านเอง นานๆเข้า สุขภาพจิตก็จะตกต่ำถึงระดับเห็นว่าไม่มีใครในโลกดีพอที่จะยกย่องได้
เพราะคนเราย่อมมีทั้งดีและไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเรามองแต่แง่ดีก็จะพบแต่ความน่านับถือของเขา หากเรา
มองในแง่ร้าย ก็จะพบแต่ความร้ายกาจความไม่ดีของเขา ซึ่งจะพบมากหรือน้อยก็แล้วแต่ว่าเราจะมองเขาด้วย
จิตใจอย่างไร ด้วยใจคิดยกย่องหรือทำลาย ด้วยต้องการแก้ผิดหรือต้องการแก้เผ็ด
การมองกันในแง่ดีเป็นการสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ ตรงข้าม
การมองกันในแง่ร้ายเป็นการทำลายสังคม ทำลายหมู่คณะโดยไม่รู้ตัว
แล้วทำไมเราจะต้องมามองคนอื่นในแง่ร้ายด้วย

Views: 448

Comment

You need to be a member of Manchester City Fan Club in Thailand Website to add comments!

Join Manchester City Fan Club in Thailand Website

Comment by mcfc-มีน on May 20, 2009 at 11:47am
ถือว่าเป็นอะไรที่สมบูรณ์มากทั้งเนื้อหา
และบทสรุปในตัวเสร็จสรรพ เรื่องนี้ ถึง
ผมจะเคยอ่านมาแล้วก้อตาม แต่ถึงจะอ่าน
อีกสักกี่รอบ มันก้อให้ผลในแง่ดี แบบนี้
ดีใจและยินดีอ่านเสมอๆเลยครับ และต้อขอ
ขอบคุณคุณ suri2 ที่หามาให้อ่าน อีกแล้วครับท่าน^^
สาธุ ด้วยคร้าบบบ อิอิ

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.