Members

Techno update with Ninja Boy 07/12/10 (Nexus S วางตลาด 16 ธันวาคม ศกนี้ & หนอน Twitter แพร่ผ่านลิงค์ goo.gl & ตัวอย่างภาพยนต์ Transformers 3)

"คีย์บอร์ดไร้สาย"พิมพ์ได้แม้มีแค่ 4 ปุ่ม?

หากคุณผู้อ่านกำลังมองหา"คีย์บอร์ด"สำหรับอุปกรณ์โมบาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต แต่ครั้นจะนำคีย์บอร์ดมาตรฐานที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ติดตัวไปในทุกที่ ก็ดูท่าจะไม่สะดวกนัก บางที Kee4 อาจจะเป็นสิ่งที่คุณกำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้ เพราะนอกจากมันจะมีขนาดเล็กพกพาสะดวกแล้ว มันยังสามารถใช้มือเดียวในการพิมพ์ข้อความต่างๆ ที่ต้องการได้อีกด้วย...ไม่ได้โม้ :O

Kee4 นวตกรรมคีย์บอร์ดที่ได้รับการออกแบบใหม่โดย Citta Consulting สามารถทำงานแบบไร้สายกับอุปกรณ์ต่างๆ ตั้งแต่ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน MID และแท็บเล็ต โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือไดรเวอร์ เพิ่มเติมแต่อย่างใด จุดเด่นที่ทำให้คุณต้องทึ่งในดีไซน์ของ Kee4 ก็คือ มันเป็นคีย์บอร์ดที่มาพร้อมปุ่มกดมาตรฐาน แต่มันมีแค่ 4 ปุ่มเท่านั้น อ้าว!!! แล้วจะพิมพ์ได้อย่างไรล่ะ?



แม้ Kee4 จะมีแค่ 4 ปุ่ม และใช้งานแค่มือเดียว แต่มันกลับสามารถใช้พิมพ์ข้อความได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยผู้ใช้จะต้องสอดนิ้วโป้งเข้าไปในสายรัดที่มากับ Kee4 จากนั้นวางนิ้วทั้งสี่ลงบนปุ่มที่เรียงกันตามลำดับ (1,2,3 และ 4) ความลับของการทำงานที่ทำให้ผู้ใช้สามารถกดแค่ 4 ปุ่ม แต่สามารถพิมพ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z ตลอดจนตัวเลข และฟังก์ชันคีย์ต่างๆ เหมือนคีย์บอร์ดปกติ นั่นก็คือ วิธีพิมพ์ที่ทางบริษัทได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว เรียกว่า "composite keystrokes" หรือการผสมคีย์ที่ใช้ในการกดนั่นเอง




สำหรับ การ"ผสมคีย์"ในที่นี้จะหมายถึง ลำดับการกด และยกนิ้ว ซึ่งจะทำให้ Kee4 สามารถส่งรหัสของตัวอักษรที่ต้องการพิมพ์ที่แตกต่างกันไปยังอุปกรณ์ ต่างๆ ที่เชื่อมต่อการทำงานแบบไร้สายได้นั่นเอง โดยจะแบ่งลักษณะการกดป็น 2 แบบคือ rocking keystrokes และ rolling keystrokes (อ่านรายละเอียด และทดลองใช้ระบบการจำลองการใช้งานผ่านแบบฟอร์มบนเว็บกับคีย์บอร์ดทั่วไปได้ ที่ kee4.com)



นอก จากรูปแบบการผสมคีย์ที่กดจะสามารถทำให้ผู้ใช้พิมพ์ตัวอักษรได้แล้ว มันยังใช้ในการพิมพ์ตัวเลข ตลอดจนตัวอักษรพิเศษ ตัวอักษรใหญ่ และปุ่มฟังก์ชันอย่าง ALT และ CTRL ได้อีกด้วย ปัจจุบันทางบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับนักลงทุน เพื่อนำต้นแบบที่ได้มีการสาธิตให้ดูในคลิปที่นำมาฝากไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ วางจำหน่ายให้กับลูกค้าที่สนใจ คุณผู้อ่านล่ะครับ อยากมีไว้ใช้บ้างไหม?




อยากรู้ไหม? ใครดูโปรไฟล์เฟซบุ๊คคุณ


รายงานข่าวล่าสุด พบมัลแวร์บนเฟซบุ๊ค (Facebook) ที่ได้รับการออกแบบโดยใช้หลักจิตวิทยาพื้นฐานของมนุษย์ที่มักจะ"หลงตัวเอง" กับ"ความรู้สึกกังวล" ด้วยการอ้างว่า มันสามารถบอกเหยื่อได้ว่า มีใครบ้างที่ได้เข้าไปดูหน้า Profile ของคุณใน Facebook เพียงแค่นี้มัลแวร์ดังกล่าวก็สามารถแพร่กระจายไปตัวเองออกไปได้อย่างรวดเร็ว ราวกับไฟลามทุ่งแล้ว

ตามรายงานกล่าวว่า เหยื่อจะได้รับข้อความ "OMG ...I can't believe this actually works! Now you really can see who viewed your profile!" ซึ่งมาพร้อมกับ"ลิงค์"ที่เชื่อมโยงไปยังแอพฯหลอก เมื่อเหยื่อคลิกบนลิงค์ก็จะถูกพาไปยังหน้าเว็บที่ร้องขอให้ผู้ใช้ยอมให้แอพฯ ดังกล่าวเข้าถึงข้อมูล Profile ของเหยื่อได้



"กล อุบายในลักษณะนี้มักจะถูกใช้ในการหาค่านายหน้าของสแปมเมอร์ผู้อยู่เบื้อง หลัง ซึ่งผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อมักจะไม่ได้ตระหนักถึงการเข้าถึงโพรไฟล์ เพื่อสแปมลิงค์โดยแอพฯเหล่านี้" Graham Cluley ที่ปรึกษาอาวุโสจาก Sophos "เมื่อเหยื่อคลิ้กให้แอพฯทำงานได้ พวกเขาก็จะพบว่า โพรไฟล์ของเขาตกเป็นเหยื่อที่ถูกใช้ในการนำไปหลอกเพื่อนๆ ด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงที่ควรทราบก็คือ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า มีใครเข้าไปดูหน้าโพรไฟล์ของคุณบ้าง"

หลังจากที่แอพฯดังกล่าวโผล่ขึ้น ไปใน Facebook ปรากฎว่า มีผู้ใช้ที่ตกเป็นเหยื่อด้วยการคลิกลิงค์ดังแล้วกว่า 60,000 รายภายใน 2-3 ชม.เท่านั้น Facebook กล่าวย้ำว่า ผู้ใช้ไม่ควรเชื่อเรื่องนี้ "บน Facebook ไม่มีทางที่จะเห็นได้ว่า ใครเข้ามาเยี่ยมชมหน้าโพรไฟล์ของคุณ เรายังได้มีการป้องกันด้วยวิธีต่างๆ เพื่อไม่ให้มีการทำงานในลักษณะนี้ได้อีกด้วย" ทาง Facebook ยังกล่าวอีกด้วยว่า ที่ผ่านมาทางบริษัทได้ทำงานอย่างหนักในการป้องกัน และกำจัดเว็บไซต์ หน้าเว็บต่างๆ ตลอดจนแอพฯที่อ้างว่า สามารถทราบข้อมูลดังกล่าวได้ ถ้าผู้ใช้พบคำอ้างลักษณะนี้ อย่าโดนหลอก และควรจะรายงานให้ Facebook ทราบทันที

ว้าว!!! WheeMe หุ่นยนต์"นวดหลัง"

รายงานแก็ดเจ็ต (Gadget) ต่อไปนี้ สำหรับคุณผู้อ่านที่ทำธุรกิจสปาอาจจะสนใจ เพราะมันคือ WheeMe หุ่นยนต์"จอมนวด" จากบริษัท DreamBots โดยแทนที่จะใช้เครื่องมือนวดหลังแบบลูกกลิ้งที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับ การกดจุดเบาๆ บนหลัง คุณสามารถให้เจ้า WheeMe ทำหน้าที่นี้แทนได้โดยอัตโนมัติ



WheeMe เลียนแบบการทำงานของอุปกรณ์ที่ใช้นวดหลังแบบลูกกลิ้ง (handheld roller massage) ซึ่งปกติพนักงานผู้ให้บริการจะใช้มือจับมันกลิ้งไปบนหลังของลูกค้า แต่ด้วย WheeMe หุ่นยนต์นวดหลังตัวจ้อยนี้ มันสามารถจัดการให้ลูกค้าของคุณได้โดยอัตโนมัติ โดยระบบตรวจจับ (sensor) ในตัว WheeMe จะทำให้มันรู้ได้เองว่า เป็นตำแหน่งทีต้องเคลื่อนที่กลับแล้ว ไม่งั้นร่วงตกลงจากหลังของลูกค้าแน่ๆ และด้วยล้อลูกกลิ้งที่ทำลักษณะเป็นเฟืองจักรปลายมนคล้ายนิ้วเล็กๆ (fingrerettes) ทั้ง 4 ล้อ เมื่อเคลื่อนไปบนหลังก็จะทำให้ได้รับสัมผัสที่ช่วยผ่อนคลายนั่นเอง นอกจากใช้นวดหลังแล้ว WheeMe สามารถ นวดตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายได้อีกด้วย (ชมตัวอย่างการใช้งานได้จากในคลิปวิดีโอข้างล่างนี้) อย่างไรก็ตาม มันยังไม่วางตลาดในขณะนี้ แต่จะเปิดตัวในงาน CES (Consumer Electronic Show) ช่วงเดือนมกราคมปี 2011




ปล. อยากเป็นหุ่นยนต์จริงคร๊าบ แหะๆ

Google Earth 6 เชื่อม Street View


เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Google Earth 6 แอพพลิเคชันแผนที่โลกเสมือนจริงเวอร์ชันล่าสุดได้รับการแนะนำพร้อมทั้งเพิ่ม คุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจเข้าไปด้วยอย่างเช่น ต้นไม้ในรูปแบบของ 3D อีกทั้งยังเชื่อมการทำงานร่วมกับบริการ Google Street View (ใครที่ใช้ Google Maps จะคุ้นเคยเป็นอย่างดี) อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือ Google Earth 6 จะมีรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ตลอดจนความแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ Google Earth และ Street View จะมีให้บริการเฉพาะบางเส้นทางของท้องถนนเท่านั้น แต่ล่าสุด ข้อมูลของภาพเมืองและถนนเส้นทางต่างๆ ในมุมมอง 360 องศาจะได้รับการเชื่อมโยงเขากับ Google Earth โดยสมบูรณ์ นั่นหมายความว่า ถ้ามันมี Street View ให้คุณสามารถรับชมใน Google Maps ได้ ใน Google Earth 6 ก็จะมีด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ Google Earth เวอร์ชันใหม่ยังสามารถแสดงมุมมองจากนอกโลกได้อีกด้วย เรียกได้ว่า คุณสามารถมองโลกด้วย Google Earth ได้ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางต่างๆ ไปจนถึงตึกรามบ้านช่องในรูปแบบ 3D ได้ราวกับอยู่ในสถานที่นั้น



สำหรับ รายละเอิยดเพิ่มเติมใน Google Earth 6 ที่สังเกตได้ชัดก็คือ การเพิ่มต้นไม้ที่เรนเดอร์เป็นภาพ 3D รอบๆ บริเวณตึกอาคาร 3D ที่สร้างจากโปรแกรมเช่นเดียวกัน Google กล่าวว่า ทางบริษัทได้เพิ่มต้นไม้ 3D เข้าไปใน Google Earth มากกว่า 80 ล้านต้น ไม่ว่าจะเป็นในเมือง Athens Berlin, Chicago, New York City, San Francisco และ Tokyo



NASA เผยพบหลักฐาน"มนุษย์ต่างดาว"

กำลังเป็นข่าวใหญ่ที่แพร่สะพัดไปทั่วเน็ต เมื่อทาง NASA ได้ประกาศเตรียมแถลงข่าวใหญ่วันนี้ โดยจั่วหัวเรื่องว่า "astrobiology finding" ซึ่งตีความหมายง่ายๆ อย่างตรงไปตรงมาก็คือ การพบหลักฐานว่า มนุษย์ต่างดาวอยู่ที่นี่...บนโลกใบนี้ ไม่แน่บางทีคุณอาจจะมีเพื่อนในเฟซบุ๊ค (Facebook) ที่เป็น"เอเลี่ยน"อยู่ก็ได้ :O

อย่างไรก็ตาม คงต้องรอความชัดเจนสำหรับการแถลงข่าวที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ รายงานข่าวจากเว็บไซต์ Telegraph ระบุว่า นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์จากนาซ่าจะเปิดเผยหลักฐานการค้นพบสิ่งมีชีวิตเล็กๆ (microb) จากนอกพิภพที่สามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตในยุค ก่อนหน้านี้ แต่ด้วยพัฒนาการของมันฉลาดพอที่จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้...



ทั้ง นี้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เราไม่รู้จักมันมาก่อนนี้พบที่ด้านล่างของ Mono Lake ใน Yosemite National Park รัฐ California ซึ่งพวกมันสามารถดำรงชีวิตด้วยสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารหนู (Arsenic) ที่เป็นพิษ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญสิ่งมีชีวิตนอกโลกกล่าวว่า "พวกมันเป็นเอเลี่ยน และเอเลี่ยนพวกนี้กำลังอยู่กับพวกเราด้วย" สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยว กับข่าวนี้ ทางเว็บไซต์ arip จะติดตามนำมาเสนอกันต่อไป หลังจากที่มีการแถลงข่าวของ NASA ในวันนี้

ลองชุดสวยด้วย"กูเกิ้ล"กับโปรเจ็กเตอร์

เมื่อช่วงประมาณกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ Google ได้ประกาศเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ชื่อว่า Boutiques.com เป็นการผสมผสานเทคโนโลยีกับแฟชั่นได้อย่างลงตัว โดยผู้ใช้บริการร้านออนไลน์แห่งนี้สามารถเลือกแฟชันในแบบของตัวเอง อีกทั้งยังสามารถแชร์ไอเดียการแต่งตัวกับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

แต่รายงานข่าวชิ้นนี้ ไม่ได้เป็นการแนะนำเว็บไซต์ข้างต้นแต่อย่างใด แต่เป็นไอเดียเด็ดๆ ที่รับรองว่า คุณผู้อ่านโดยเฉพาะสาวๆ ต้องชอบแน่ๆ นั่นก็คือ ไอเดียการจัด"เวอร์ชวล"แฟชั่นโชว์ที่คุณสามารถเป็นนางแบบลองชุดเสื้อผ้าสวยๆ ได้ เพียงแค่มี Google กับเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ (Projector) เพื่อฉายภาพชุดแฟชั่นสวยๆ ที่เสิร์ชได้จาก Google Image บนฉาก โดยขยายให้มันมีขนาดเท่ากับรูปร่างของนางแบบ (ที่อาจหมายถึงตัวคุณก็ได้) ซึ่งสวมชุดสีขาว เมืีอนางแบบเข้าไปในฉาก ภาพฉายจากโปรเจ็กเตอร์ก็จะปรากฎบนตัวนางแบบพอดิบพอดี จะลองกี่่ชุดก็ได้ นับเป็นไอเดียที่น่าสนใจทีเดียว



Virtual Fashion Show เป็นหนึ่งในไอเดียที่คุณผู้อ่านสามารถเข้าไปชม และโหวดได้ใน Google Demo Slam โดยทางเว็บไซต์เปิดให้ผู้ที่มีไอเดียที่หลายคนอาจะไม่กล้าทำ หรือนึกไม่ถึง และสามารถนำไปทำได้จริงๆ ซึ่งนอกจากไอเดียนี้แล้ว ก็ยังจะมีไอเดียอย่างเช่น ตัดผมเอง การใช้ของต่างๆ มากมายทำ QR Code ฯลฯ ลองเข้าไปชมกันนะครับ รับรองว่า คุณผู้อ่านของเว็บไซต์ arip ต้องชอบอย่างแน่นอน :D



Galaxy Tab ปะทะ iPad ใครเจ๋งกว่ากัน?

วันนี้ (3 ธ.ค. 2553) เป็นวันแรกที่ iPad เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย หลังจากที่ Samsung Galaxy Tab กำลังได้รับความสนใจอย่างแรงจากผู้ใช้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงชาวไทยด้วยเหมือนกัน ล่าสุด CNET ได้นำแท็บเล็ตสองตัวนี้มาเปรียบมวยกันระหว่าง iPad 3G กับ Galaxy Tab ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ใครแพ้ใครชนะ ติดตามจากคลิปที่นำมาฝากกันได้เลยครับ

ยอดขาย Galaxy Tab ทะลุล้านเครื่อง!!!


เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซัมซุง (Samsung) ประกาศว่า ทางบริษัทได้จำหน่าย Galaxy Tab ไปทั่วโลกแล้วมากกว่า 600,000 เครื่อง ล่าสุด Samsung ออกมาประกาศว่า ยอดขายของ Galaxy Tab ทะลุด 1 ล้านเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจนถึงต้นปี 2011 ยอดขายจะแตะ 1.5 ล้านเครื่อง

ปัจจุบัน Galaxy Tab ได้วางจำหน่ายถึง 64 ประเทศผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย 120 ราย ซึ่งรวมถึงฝรั่งเศษ สหราชอณาจักร และสหรัฐฯ Galaxy Tab ได้รับการแนะนำค่อนข้างดีจากผู้ใช้ และผู้ทดสอบ ทั้งๆ ที่มันมีขนาดหน้าจอแค่ 7 นิ้ว ซึ่งขนาดสตีฟจอบส์จากแอปเปิ้ลพยายามจะแตะเบรคด้วยการออกมากล่าวว่า มันเล็กเกินไปสำหรับผู้ใช้ โดยแม้แต่ New York Times ยังรีวิวถึง Galaxy Tab ในทางที่ดี โดยเฉพาะประสิทธิภาพของหน้าจอแสดงผล และการตอบสนองของระบบสัมผัสที่รวดเร็ว และแน่นอน



อย่าง ไรก็ตาม แม้ยอดขายของ Galaxy Tab จะผ่านหลัก 1 ล้านเครื่องไปได้แล้ว แต่ Samsung ยังถูก Apple ทิ้งห่างค่อนข้างไกลมากทีเดียว ซึ่งล่าสุดมีรายงานข่าวว่า iPad ม่ียอดจำหน่ายทั่วโลก 7 ล้านเครื่องไปแล้วตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แถมยังมีข่าวลือเกี่ยวกับ iPad 2 ที่มีกล้องทั้งด้านหน้าและหลัง ตลอดจนการเพิ่มพอร์ต USB ซึ่งน่าจะอุดช่องโหว่ที่ทำให้ Galaxy Tab ประสบความสำเร็จได้อีกด้วย



Facebook ยกเครื่องหน้า Profile อีกแล้ว


ในรายการ 60 Minutes ที่เผยแพร่ในสหรัฐฯเมื่อวานนี้ Mark Zuckerberg ซีอีโอจากเว็บไซต์ Facebook ได้เปิดเผยว่า ทางบริษัทกำลังปรับแต่งหน้าโพรไฟล์ (profile) ของผู้ใช้ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 500 ล้านราย เพื่้อให้สะท้อนถึงตัวตนการใช้ชีวิตจริงของผู้ใช้มากขึ้น พร้อมด้วยคุณสมบัติการใช้งานที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงนั่นก็คือ Photos

สำหรับรายละเอียดบนบล็อกของ Facebook ล่าสุดยังได้มีการให้คำอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องของการยกเครื่องหน้า Profile ด้วย โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองได้ง่ายขึ้น ไมว่าจะเป็นการให้รายละเอียดว่า คุณคือใคร ทำงานที่ไหน (คล้าย Linkedin) ตลอดจนปรัชญาของการดำรงชีวิต และใครที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตของคุณ โดยในส่วนของรูปภาพจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตั้งแต่ภาพถ่ายต่างๆ ไปจนถึงรูปภาพที่ผู้ใช้สนใจ



เซ็คชั่นประวัติส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นใหม่นี้ไม่เพียงแต่จะบอกว่า คุณคือใคร และอยู่ที่ไหนเท่านั้น แต่มันยังมีการตั้งค่าให้แสดงผลภาพล่าสุดของคุณที่เพื่อนได้ tag ไว้ด้วย โดยก่อนหน้านี้ ใช้จะต้องคลิกบนแท็บ เพื่อดูภาพล่าสุดบนโพรไฟล์ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถระบุความสำคัญของเพื่อนในหน้าโพรไฟล์ได้อีกด้วย ในขณะที่ก่อนหน้านี้จะใช้การสุ่มขึ้นมา ส่วนในเรื่องของงาน ในหน้าดีไซน์ใหม่ผู้ใช้สามารถเพิ่มโครงการที่กำลังทำอยู่ได้อีกด้วย ซึ่งโดยรวมการปรับแต่งหน้า Profile ใหม่เป็นการแสดงให้เห็นภาพความเป็นตัวตนของผู้ใช้มากขึ้น แน่นอนว่า การเปิดเผยตัวตนที่มากขึ้นของผู้ใช้จะดึงดูดผู้ลงโฆษณามากขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม Facebook ไม่ได้มีการเปลียนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวในส่วนของการปรับหน้า Profile ครั้งนี้แต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดนี้น่าจะเป็นการรุกคืบอีกขั้นของ Facebook สำหรับการแข่งขันกับ Google เสิร์ชเอ็นจิ้นอันดับหนึ่งของโลก ในฐานะของหน้าเว็บพื้นฐานที่ผู้ใช้เน็ตทุกคนต้องเข้าไปใช้งาน การเปลี่ยนแปลงข้อมูลบนหน้า Profile ของผู้ใช้จะเป็นอะไรที่อัพเดตสุด หากเทียบกับข้อความที่สตรีมบน wall หรือลิงค์ ตลอดจนภาพต่างๆ ที่ผู้ใช้โพสต์ขึ้นไป


Nexus S วางตลาด 16 ธันวาคม ศกนี้

และแล้วก็ได้เวลาของกูเกิ้ลโฟนรุ่นใหม่ Nexus S ที่พัฒนาโดยซัมซุง (Samsung) ซึ่งมือถือรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 4 นิ้ว โพรเซสเซอร์ Hummingbird ความเร็ว 1GHz และเหนืออื่นใดมันยังมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 2.3 หรือ Gingerbread



สำหรับ เหตุผลที่ทำให้สาวก Android สนใจ Nexus Phone รุ่นนี้ัก็เนื่องจากมันเป็นแอนดรอยด์โฟนรุ่นแรกที่ได้รับการอัพเกรด ซอฟต์แวร์ และ Google mobile apps ใหม่ล่าสุดทันทีที่มือถือรุ่นนี้วางจำหน่าย Nexus S จะมีสตอเรจภายใน 16GB และหน่วยความจำ RAM ขนาด 512MB พร้อมทั้งติดตั้งเซ็นเซอร์ Gyroscope และสนับสนุน VoIP โพรเซสเซอร์ Hummingbird (ใช้สถาปัตยกรรม Cortex A8) 1GHz และจอ Super AMOLED 4 นิ้ว ความละเอียด 800x480 พิกเซล ฟังดูสเป็กจะคล้ายๆ กับ Samsung Galaxy S ที่ออกมาก่อนหน้านี้



ใน ส่วนของกล้องด้านหลังจะมีความละเอียดถึง 5 ล้านพิกเซล แถมยังมีกล้อง VGA ด้านหน้าอีกด้วย และด้วยดีไซน์ของตัวเครื่องที่โค้งมนทำให้เวลาถือใช้งานในฟังก์ชัน video chat ทำได้สะดวก ทางบริษัทเตรียมที่จะวางตลาด Nexus S ในสหรัฐฯ วันที 16 ธันวาคม ศกนี้ โดยสนนราคาเครื่องปลดล็อคอยู่ที่ 529 เหรียญฯ หรือประมาณ 16,000 บาท ซึ่งยังคงเป็นที่ BestBuy และเว็บไซต์ Google เช่นเดียวกับรุ่นแรก




Google eBooks เปิดให้บริการแล้ว!!!


Google เปิดบริการใหม่ Google eBooks แล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถซื้อ และอ่านหนังสือออนไลน์ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับในช่วงเริ่มต้นจะเปิดให้บริการที่สมบูรณ์แบบกับผู้ใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วโลกตอนนี้จะสามารถอ่านหนังสือที่เป็นสาธารณะสมบัติ (public domain) ได้ฟรีมากกว่า 3 ล้านไตเติ้ล!!!

เป้าหมายของ Google ก็คือ การสร้างชั้นหนังสือออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถจัดเก็บหนังสือหลายเล่มที่ซื้อจาก Google eBooks หรือบริการอื่นๆ โดยหนังสือเหล่านี้สามารถอ่านได้จากบราวเซอร์บนคอมพิวเตอร์ แอพฯบนมือถือทั้ง Android และ iOS ตลอดจนถ่ายโอนไปบนเครื่องอ่านอีบุ๊คที่ทำงานด้วย Adobe Digital Editions "เราออกแบบให้ Google eBooks ทำงานในระบบเปิด อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะทำงานได้ดีกับบริการ Google eBooks ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค เน็ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงอีรีดเดอร์ ด้วยโปรแกรมอ่านอีบุ๊คบนเว็บ หรือ Google eBooks Web Reader ผู้ใช้สามารถซื้อ จัดเก็บ และอ่าน Google eBooks ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ Cloud ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณสามารถเข้าถึงอีบุ๊คเล่มโปรดได้เช่นเดียวกับการที่คุณเปิดอ่าน Gmail หรือเปิดดูภาพบน Picasa ได้ทุกที่ที่มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเน็ต โดยใช้รหัสผ่านบัญชีใช้งานของ Google พร้อมทั้งสามารถจัดเก็บอีบุ๊คได้มากมายไม่จำกัด"



สำหรับ ประเด็นที่แตกต่างจากบริการภาพดิจิตอลอย่าง Picasa ก็คือ ผู้ใช้จะไม่สามารถดาวน์โหลดอีบุ๊คที่ไม่ติด DRM จาก Google เพื่อนำไปอ่านบนอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทางบริษัทไม่ได้สนับสนุนอย่างเช่น Kindle ของ Amazon เป็นต้น แม้ Google eBooks จะดูเหมือนเป็นการให้บริการในระบบเปิด แต่จริงๆ แล้วมันเป็นระบบปิด ตัวอย่างเช่น คุณจะสามารถอ่านอีบุ๊คในขณะออฟไลน์ได้เฉพาะเวลาทีใช้แอพฯบนมือถือของ Google และต้องใช้อีรีดเดอร์ที่สนับสนุนแพลตฟอร์มอีบุ๊คของ Adobe เท่านั้น




วิจัยชี้ยุคของ"พีซี"ใกล้ล่มสลายแล้ว


รายงานข่าวล่าสุด นักวิจัยตลาดจาก IDC เปิดเผยว่า ผู้บริโภคกำลังปฏิเสธการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer) และเลือกที่จะใช้สมาร์ทโฟน (smartphone) กับแท็บเล็ต (tablet) แทน โดยฟันธงว่า ยุคของการใช้พีซีเป็นศูนย์กลางของการทำงานกำลังจะล่มสลายในอีก 18 เดือนข้างหน้า!!!

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่กำลังจะเกิดขึ้นใน ปี 2011 ไม่ว่าจะเป็นบริการที่ใช้ระบบ Cloud computing และ Social computing ที่ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริการลักษณะดังกล่าวตอบสนองต่อแพลตฟอร์มใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยในรายงานวิจัยฉบับดังกล่าวอธิบายว่า อุปกรณ์โมบายอย่างเช่น สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตจะเป็นแพลตฟอร์มหลักของผู้บริโภคตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นไป



ข้อ สรุปจากรายงานอ้างว่า โมบายคอมพิวติ้งบนอุปกรณ์ต่างๆ ที่หลากหลาย รวมถึงแอพพลิเคชันใหม่ๆ ที่มีให้เลือกใช้อย่างมากมาย จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2011 ซึ่งเป็นตัวเร่งให้แพลตฟอร์มใหม่เกิดขึ้นแทนที่แพลตฟอร์มเดิม โดยทาง IDC คาดว่า การเติบโตของตลาดอุปกรณ์โมบายที่ไม่ใช่พีซีอย่างเช่น สมาร์ทโฟน มีเดียแท็บเล็ต ฯลฯ ที่สามารถใช้งานแอพฯต่างๆ ได้มากมาย จะมียอดจำหน่ายแซงหน้าตลาดคอมพิวเตอร์พีซีภายใน 18 เดือนข้างหน้านี้



ใน ขณะที่ไมโครซอฟท์กำลังพยายามผลักดัน Windows Phone 7 ให้เกิดในตลาดให้ได้ แถมยังอาจต้องเสี่ยงกับภาวะถดถอยของตลาดพีซีในอนาคต ซึ่งคาดการณ์ว่า โอเอสอันดับหนึ่งของโลกอาจจะไม่ใช่ Windows อีกต่อไป แต่จะเป็น iOS และ Android แทน อย่างไรก็ตาม แม้ Google จะกุมอำนาจในโลกของเสิร์ช แผนที่ และบริการแอพฯในตลาดอุปกรณ์โมบายที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้แทรฟฟิกต่างๆ พุ่งไปยัง Google ประกอบกับบริการ Cloud Computing ของ Android ที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จมากกว่าระบบปฏิบัติการเสียด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ Google อาจจะถูกแตะเบรคโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากมีข้อพิพาทเรื่องความเป็นส่วนตัว และการผูกขาดทางการค้า ทางด้าน iOS ของ Apple จึงดูมีโอกาสไม่น้อยเหมือนกันที่จะครองบัลลังก์โอเอสอันดับหนึ่งของโลก งาน นี้คงต้องเฝ้าดูกันต่อไป

Google โชว์ต้นแบบแท็บเล็ต MotoPad

หลังจากที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ว่า Google เตรียมเปิดตัวเน็ตบุ๊คที่ทำงานด้วย Chrome OS ล่าสุดทางผู้บริหารของบริษัทได้แนะนำต้นแบบแท็บเล็ต (tablet) ที่ร่วมมือพัฒนากับทางโมโตโรลา (Motorola) โดยใช้ชื่อว่า MotoPad ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่มีขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว ทำงานด้วยโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ NVIDIA Tegra 2 พร้อมด้วยกล้องด้านหน้าสำหรับวิดีโอแชท

ในงาน D:Drive Into Mobile ที่จัดขึ้นโดยกูเกิ้ลวันนี้ Andy Rubin รองประธานบริษัทผู้ซึ่งเป็นหัวหอกของ Android ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์โมบายได้สาธิตการทำงานของแท็บเล็ตต้นแบบ MotoPad ที่คาดว่าน่าะใช้ Honeycomb (Android 3.0) ในการทำงาน ซึ่งจะมาพร้อมกับฟังก์ชันการปรับแต่งการทำงานที่น่าสนใจอย่างเช่น การแยกหน้าจอแสดงผล เพื่อดูการทำงานในส่วนต่างๆ แยกกัน



สำ หรับแท็บเล็ตลึกลับดังกล่าวคาดว่าจะเปิดตัวในงาน CES วันที่ 5 มกราคม ซึ่งจะเป็นวันที่ Motorola มีคิวในการขึ้นเวที โดยแท็บเล็ต MotoPad น่าจะทำงานร่วมกับเครือข่าย Verizon และเป็นเวอร์ชันที่เชื่อมต่อไร้สายผ่าน 3G แต่สามารถอัพเกรดเป็น 4G LTE ได้ในภายหลัง Rubin เป็นแฟนพันธุ์แท้ของแท็บเล็ต โดยเขากล่าวว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานที่สุดสำหรับการโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ของ ผู้ใช้ มันเป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านกายภาพที่จับต้องได้ และความรู้สึก แม้ Rubin จะไม่ได้สาธิตการใช้อินเตอร์เฟซให้ได้เห็นกันมากนัก แต่เขาตั้งข้อสังเกตว่า อินเตอร์เฟซที่ดีของแท็บเล็ตจะสามารถเรียนรู้และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ Rubin ไม่ได้พูดถึงกรณีที่สตีฟจอบส์ (Steve Jobs) ซีอีโอของ Apple บอกว่า แท็บเล็ตจอเล็กไม่เวิร์ก



นอก จากจะมีการแนะนำ MotoPad แท็บเล็ตรุ่นใหม่ของโมโตฯแล้ว ทาง Rubin ยังได้โชว์ให้เห็นเทคโนโลยีใหม่อย่าง Google Maps เวอร์ชัน 3D ที่ทำให้สามารถเลือกมองจากมุมต่างๆ เพื่อให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น ที่สำคัญมันทำงานเร็วขึ้นด้วยระบบการแสดงผลแบบเวคเตอร์ ดังนั้นแอพฯจะสามารถเร็นเดอร์ภาพได้ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย คร่าวๆ ก็คือ มันสามารถโหลดได้เร็วกกว่าเดิมประมาณ 100 เท่า (โดยเฉพาะข้อมูลตอนต้นที่ต้องโหลด) และด้วยขนาดของข้อมูลที่เล็กลง ผู้ใช้สามารถเก็บแผนที่ทั้งรัฐไว้ในหน่วยความจำของเครื่อง โดยไม่ต้องคอยเปิดใช้บริการเครือข่าย Rubin กล่าว นอกจากนี้ แอพฯแผนที่บนแท็บเล็ตยังสามารถหันหน้าไปในทิศทางเดียวกับผู้ใช้ได้อีกด้วย เรียกได้ว่า เงยหน้าจากจอแผนที่ก็จะเห็นภาพถนนหนทางจริงที่ตรงกันพอดิบพอดี คาดว่าผู้ใช้จะได้ใช้ Google Map 3D ในเร็วๆ นี้

ลือ!!! iPad 2 วางตลาดกุมภาพันธ์ 2011

ในขณะที่บ้านเราเพิ่งเปิดตัวกันไปสำหรับ iPad หลังจากซื้อเครื่องหิ้วกันมาหลายเดือนแล้ว ล่าสุดมีข่าวลือออกมาจาก Foxconn บริษัทผู้ผลิตหลักทั้ง iPhone และ iPad ของ Apple ซึ่งตั้งอยู่ในไต้หวันที่ระบุว่า iPad รุ่นต่อไปจะมีกำหนดการวางตลาดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2011

ตามรายงานข่าวที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ DigiTimes ที่ อ้างว่า ทาง Foxconn มีกำหนดการที่จะต้องผลิต iPad 2 ให้สามารถพร้อมวางจำหน่ายเป็นจำนวน 400,000 - 600,000 เครื่องภายใน 100 วัน อย่างไรก็ตาม ทาง Foxconn ได้ปฏิเสธที่จะคอมเมนต์ข่าวลือดังกล่าว นอกจากนี้ DigiTimes ยัง อ้างอีกด้วยว่า ตอนแรก Apple คาดว่าจะเริ่มผลิต iPad 2 ในเดือนมกราคม แต่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากเฟิร์มแวร์ของ iPad 2 ยังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ซึ่งเมื่อมีการสอบถามไปยังทาง Apple ตัวแทนบริษัทไม่ได้ให้คอมเมนต์ในประเด็นนี้แต่อย่างใดเช่นเดียวกัน



ก่อน หน้านี้ ทางเว็บไซต์ arip ได้รายงานไปแล้วว่า iPad 2 มีรอบการวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2011 โดยจะมาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ซึ่งหากทางบริษัทเลือกใช้ชิปของ Qualcomm ก็จะทำให้ iPad 2 สามารถทำงานได้ทั้งเครือข่ายที่ทำงานในระบบ CDMA และ GSM โดยจะทำให้ iPad 2 ใช้งานได้ทั่วโลกจริงๆ เนื่องจากปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 3G และทำงานกับเครือข่าย GSM เท่านั้น อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามความชัดเจนของข่าวนี้กันต่อไป

Amazon เพิ่มบริการอ่านอีบุ๊คบน"เว็บ"

รายงานข่าวล่าสุด Amazon คงจะรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรกับข่าวการเปิดตัว Google eBookstore โดยทางบริษัทได้ประกาศเพิ่มบริการใหม่เป็น Kindle สำหรับการอ่านอีบุ๊คทั้งเล่มผ่านเว็บ และซิงค์การอ่านบนแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ จะเห็นได้ว่าพื้นฐานของคุณสมบัติการให้บริการจะเหมือนกับ eBookstore ของ Google ไม่มีผิดเพี้ยน

หลัง จาก Google ประกาศเปิดตัว eBookstore ทาง Amazon ก็เตรียมประกาศแนะนำคุณสมบัติใหม่ของการทำงานสำหรับ Kindle โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถ"อ่านอีบุ๊คได้เต็มเล่ม"จากในบราวเซอร์ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เว็บไซต์ต่างๆ สามารถทำหน้าที่เป็นร้านขายอีบุ๊คของ Kindle ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใครก็เห็นจะได้



ประเด็น ที่น่าประหลาดใจก็คือ คุณสมบัติข้างต้นไม่มีอยู่ใน Kindle อย่างไรก็ตาม การเพิ่มเติมคุณสมบัติใหม่นี้จะทำให้ Amazon ที่ล่วงหน้าก่อนมาเป็นเดือนแล้วได้เปรียบ (Kindle for web ที่ให้บริการในปัจจุบันจะเปิดอ่านได้แค่บางส่วนที่ทางหนังสืออนุญาตเท่า นั้น) แต่หากเปรียบเทียบกันจริงๆ แล้ว Amazon ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของซอฟต์แวร์บนมือถือที่มีทั้ง iOS และ Android อีกทั้งยังมีฮาร์ดแวร์อ่านอีบุ๊คยอดนิยมอย่าง Kindle ซึ่งทำตลาดล่วงหน้ามาหลายปีแล้ว นักวิจัยตลาดบางรายประเมินว่า 50% ของตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊คในปัจจุบันเป็นของ Kindle ในขณะที่ Google ไม่มีฮาร์ดแวร์เครื่องอ่านเป็นของตนเอง อย่างไรก็ดี การที่จะตัดสินว่า ใครจะชนะในเกมนี้ คงจะยากอยู่เหมือนกัน เนื่องจากทั้งคู่เป็นผู้เล่นในตลาดที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองกันเลย

WP7 อัพเดตเพิ่มคำสั่ง copy และ paste

หลายคนทราบดีว่า Windows Phone 7 ขาดฟังก์ชัน Copy & Paste และแน่นอนว่า Microsoft จะต้องอัพเกรดคุณสมบัติดังกล่าวให้กับผู้ใช้ โดยคาดว่าชุดอัพเดตจะสามารถออกได้ในช่วงต้นปี 2011 แต่คุณผู้อ่านที่สนใจ Windows Phone 7 คงอยากเห็นการใช้งานคำสั่ง copy & paste ว่าจะสะดวกแค่ไหน



อย่าง ไรก็ดี ความลับไม่มีในโลกว่า ล่าสุดมีมือดีโพสต์คลิปการใช้คำสั่ง copy & paste บน Samsung Taylor ทีทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows Phone 7 ที่คาดว่าน่าจะเป็นเวอร์ชันที่ได้รับการอัพเดตแล้ว สำหรับวิธีที่ Copy & Paste ของ WP7 จะใช้การแตะ เพื่อเลือกคำที่ต้องการแล้วแตะไอคอนสัญลักษณ์ copy ที่ปรากฎตรงมุมบนขวาของคำ หรือขอความที่เลือก ซึ่งเวลาที่คุณแก้ไขเอกสาร เหนือเวอร์ชวลคีย์บอร์ดจะปรากฎไอคอน paste เมื่อแตะที่ไอคอนนี้ ข้อความที่ก็อปปี้ก็จะถูกวางลงบนตำแหน่งเคอร์เซอร์ให้ทันที สังเกตว่า จะต่างจาก iOS ที่ใช้การแตะค้าง เพื่อเลือกใช้คำสั่ง select/copy และ paste แบบไหนจะคล่องตัวกว่าก็แล้วแต่รสนิยมของคุณผู้อ่านนะครับ




หนอน Twitter แพร่ผ่านลิงค์ goo.gl


ด่วน!!! พบหนอนทวิตเตอร์ (Twitter) กำลังแพร่กระจายผ่านอุปกรณ์โมบายผ่านบริการลิงค์ย่อ Goo.gl ของ Google โดยมันจะส่งต่อตัวเองเมื่อผู้ใช้คลิกบนลิงค์ดังกล่าว เนื่องจากลิงค์เต็มๆ ของมันจะเป็นพาหะทีใช้ในการแพร่กระจายหนอนตัวนี้ ผู้ใช้ทวิตเตอร์โปรดระวังลิงค์ goo.gl ที่ลงท้ายด้วย "od0az" sinv "R7f68" อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต



การแพร่กระจายของหนอนตัวนี้จะสามารถทำได้ทั้งจากบัญชีผู้ ใช้ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หรือใช้แอคเคาต์สแปมของมันที่มีอยู่แล้วในการแพร่กระจาย โดยทาง Twitter จะส่งรหัสผ่าน (password) ทีใช้สำหรับการรีเซตไปยังผู้ใช้ที่โดนหนอนตัวนี้เล่นงาน เพื่อหยุดการแพร่ กระจาย พร้อมทั้งแจ้งว่า จะติดตามดูสถานการณ์ของผู้ใช้ต่อไป ทั้งนี้ผู้ใช้จะได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการคลิ้กบนลิงค์ Goo.gl ที่ต้องสงสัย โดยหนอนดังกล่าวจะแพร่ผ่าน http://mobile.twitter.com ดังนั้นผู้ใช้สมาร์ทโฟนควรระวัง

สำหรับ ผู้ใช้ที่ได้คลิกลิงค์อันตรายนี้ไปแล้ว แนะนำให้เข้าไปที่ Twitter แล้วคลิกลิงค์ "Settings" ตามด้วย "Connections" แล้วมองหาแอคเคาต์ชื่อ "Fllwrs" คลิกลิงค์ "Revoke Access" เพื่อหยุดการแพร่กระจายในเบื้องต้น ในส่วนของความคืบหน้า หากมีอะไรเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอีกทีหนึ่ง


PostPost หนังสือพิมพ์ Facebook ?

TigerLogic บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดการข้อมูลได้แนะนำบริการใหม่บนเว็บไซต์ชื่อว่า PostPost หนังสือพิมพ์สังคมส่วนตัว(ของคุณ)ที่สามารถรายงานข่าวสารต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ (real-time) โดยเนื้อข่าวที่ปรากฎใน PostPost จะถูกรวบรวมมาจากโพสต์ข้อความต่างๆ ที่แชร์โดยเพื่อนๆ ของคุณในเฟซบุ๊ค (Facebook) และจัดให้อยู่ในรูปแบบเลย์เอาต์ของหนังสือพิมพ์

สำหรับการเข้าถึงบริการของ PostPost ผู้ใช้สามารถล็อกอินด้วยการใช้ Facebook Connect หลังจากนั้น ลิงค์ต่างๆ รวมถึงภาพถ่าย วิดีโอ ตลอดจนบทความที่เพื่อนๆ ของคุณใน Facebook แชร์ให้กันก็จะถูกแสดงผลขึ้นบนหน้าแรกของในรูปแบบหนังสือพิมพ์ส่วนตัว เบื้องหลังการทำงานของเว็บไซต์ PostPost จะใช้กลไกการทำงานของเทคโนโลยีการค้นหาที่ชื่อว่า yolink ของ TigerLogic เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นหาคอนเท็นต์ล่าสุดแบบเรียลไทม์บนหน้าบริการ PostPost ซึ่งจะทำให้คุณได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่มาจากเรื่องราวต่างๆ ที่เพื่อนคุณสนใจ และแบ่งปันใน Facebook นั่นเอง



"PostPost จะรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ โดยผสานการทำงานร่วมกับ yolink search ทำให้ผู้อ่านได้รับคอนเท็นต์ภาพรวมที่น่าสนใจ แถมยังเป็นการเปิดเผยให้เห็นข้อมูลทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในลิงค์นับร้อยใน Facebook ที่บางเรื่องอาจมีความน่าสนใจ แต่คุณอาจจะข้ามไป" Brian Cheek ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจที่ TigerLogic กล่าว "ไอเดียของ PostPost เกิดจากการสังเกตว่า เพื่อนๆ ของเรามักจะแชร์เรื่องราวที่น่าสนใจ และเกี่ยวกับเราได้ดีกว่าที่รวบรวมโดยหนังสือพิมพ์ทั่วไป" PostPost ให้บริการฟรี และจะมีการพัฒนาคุณสมบัติการทำงานใหม่ๆ ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ




IE9 เพิ่มคุณสมบัติ"ป้องกันการติดตาม"


ในขณะที่ Google โดนโจมตีอย่างต่อเนื่องสำหรับกรณีการติดตาม (Tracking) ผู้ใช้ผ่านบริการต่างๆ ของทางบริษัท ทาง Microsoft ใช้จังหวะนี้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ด้วยการเพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้าไปใน IE9 เรียกว่า Tracking Protection หรือระบบ"ป้องกันการติดตาม" ซึ่งจะพบได้ในเวอร์ชัน RC ที่จะออกมาให้ใช้กันในปีหน้า

ในส่วนของคุณสมบัติ Tracking Protection จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้เว็บบราวเซอร์ IE9 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยผูืใช้สามารถควบคุม (ให้ หรือไม่ให้อนุญาต) วิดเจ็ต (widget) และสคริปท์ต่างๆ ตลอดจนข้อมูลที่พวกมันจะดึงออกไปจากระบบการใช้งานของผู้ใช้เวลาที่เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่ง IE9 จะแสดงรายละเอียดให้ผู้ใช้ได้ทราบ เพื่อตัดสินใจว่าจะยอมให้เว็บไซต์เหล่านั้นติดตาม และเก็บข้อมูลจากระบบของคุณไปหรือไม่ ซึ่งการประกาศคุณสมบัติใหม่นี้ นอกจากจะเป็นการตอกย้ำ Google แล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามที่คณะกรรมการการค้าภายในสหรัฐฯ หรือFTC ได้ออกมาประกาศว่า ทางหน่วยงานจะให้ความสำคัญ และตรวจสอบเรื่อง Internet Privacy เป็นพิเศษ



สำหรับ Tracking Protection ใน IE9 จะปรากฎอยู่ในตัวเลือก (Option) "Do Not Track" ซึ่งถูกเสนอให้ใช้ข้อความตัวเลือกนี้โดย FTC เมื่อผู้ใช้เปิดการทำงาน (enable) ของตัวเลือกดังกล่าว เวลาที่เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ IE9 ก็จะตรวจสอบวิดเจ็ต และสคริปท์ที่ทำงานว่ามีการติดตาม หรือเก็บข้อมูลไปหรือไม่? นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถสร้างรายชื่อของเว็บไซต์ที่มีการติดตาม (Tracking list) พร้อมทั้งเผยแพร่รายชื่อเหล่านั้นบนเว็บ เพื่อให้ผู้ใช้คนอื่นๆ ได้สมัครและใช้รายการเหล่านั้นคล้ายๆ กับ RSS แต่ผู้ใช้ก็ยังสามารถเลือกที่จะอนุญาตให้บางเว็บไซต์ในรายการติดตามได้




Google เผยโฉมเน็ตบุ๊ค Chrome OS


ในที่สุด Google ก็ได้เผยโฉมเน็ตบุ๊คต้นแบบที่ใช้ Chrome OS ในการทำงาน พร้อมทั้งแนะนำ Chrome Web Store ที่มีแอพฯไว้คอยบริการทั้งจำหน่าย และดาวน์โหลดฟรี โดยในส่วนของเน็ตบุ๊คดังกล่าวใช้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Google Cr-48 ซึ่งคาดว่าจะมีการผลิตออกมาและวางจำหน่ายโดยบริษัทผู้ผลิตชั้นนำอย่าง Acer, Samsung ในช่วงกลางปี 2011

Google Cr-48 เป็นชื่อเรียกของเน็ตบุ๊ค Chrome OS โดยชื่อนี้ได้มาจากสัญลักษณ์ของโครเมี่ยมพร้อมเลข Isotope ในตารางธาตุ ซึ่งเน็ตบุ๊คเหล่านี้จะได้รับการส่งให้กับผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการ Chrome OS Pilot Program โดยทาง Google คาดหวังที่จะได้ฟีดแบ็คจากผู้ใช้ (นักพัฒนา และผู้ใช้ทั่วไป) กลุ่มนี้ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาปรับปรุง และพัฒนาให้ Google Cr-48 เป็นเน็ตบุ๊คที่ผู้บริโภคพึงพอใจก่อนที่จะผลิตออกมาวางจำหน่ายในช่วงกลางปี 2011



สำหรับคุณสมบัติในขั้นต้นของ Google Cr-48 ก็คือ มันจะเชื่อมต่อเน็ตตลอดเวลา (always connected) ซึ่งผู้ใช้ในสหรัฐฯ จะใช้เน็ตบุ๊คเครืองนี้ทำงานกับผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง Verizon ด้วยข้อตกลงพิเศษที่เรียกว่า "pay as you use 3G" (คิดค่าบริการเมื่อใช้ 3G) และทุกเดือนผู้ใช้จะสามารถใช้ข้อมูลได้ 100MB ฟรี โดยไม่มีค่าเริ่มต้นการใช้งาน หรือค่ายกเลิกการใช้บริการแต่อย่างใด เนื่องจากมันจะ activate การทำงานได้เอง ค่าบริการในขั้นต้นวันละ 9.99 เหรียญฯ (ประมาณ 300 บาท) หรือคิดตามค่าใช้ข้อมูล ส่วนตัวเครื่องจะมีขนาดหน้าจอ 12.1 นิ้ว คีย์บอร์ด 100% แทร็คแพดขนาดใหญ่ เชื่อมต่อไร้สาย 3G ด้วยเครือข่าย Verizon และ Wi-Fi 802.11n แบตเตอรีนานมากกว่า 8 ชม. สแตนด์บายได้นานมากกว่า 8 วัน เว็บแคม และสตอเรจใช้หน่วยความจำแฟลช



นอกจากจะแนะนำเน็ตบุ๊ค Chome OS ทาง Google ยังได้เปิดตัว Chrome Web Store อีกด้วย โดยถือได้ว่า มันเป็นของขวัญสำหรับนักพัฒนาก็ว่าได้ สำหรับหน้าร้านจำหน่ายแอพฯแห่งนี้จะคล้ายๆ กับ iOS App Store ของ Apple และ Androdi Market ของ Google โดยเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถนำแอพฯของตนมาวาง เพื่อให้ผู้ใช้มองเห็น และซื้อออกไป ซึ่งนโยบายของ Google คือ ไม่เก็บค่านายหน้ากับนักพัฒนา และแอพฯที่จำหน่ายจะพัฒนาด้วย HTML5 นอกจากนี้ นักพัฒนายังสามารถใส่โฆษณาเข้าไปในแอพฯ เพื่อหารายได้เพิ่มอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ระบบชำระค่าแอพฯจะใช้บริการ Google Checkout อ้าว???







Flix on Stix ตู้เช่าหนังใส่"แฟลชไดรฟ์"


ดูเหมือนโมเดลธุรกิจอย่างร้านเช่าวิดีโอในปัจจุบันจะไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่เสียแล้ว บริษัทต่างๆ อย่าง Hollywood Video และ Blockbuster กำลังล้มหายตายจากไปอย่างรวดเร็ว โดยถูกแทนที่ด้วยทางเลือกใหม่อย่างเช่น Netflix ที่ให้บริการเลือกเช่าหนังผ่านเว็บ และส่งแผ่นให้ในรูปพัสดุไปรษณีย์ ตามด้วยการให้บริการในลักษณะสตรีมมิ่งวิดีโอผ่านเน็ตอย่าง Hulu (และ Netflix ในปัจจุบัน) หรือจะเป็นตู้บริการเช่าแผ่น DVD/Blu-ray อย่าง RedBox และ Blockbuster

ล่าสุดมีบริษัทที่คิดรูปแบบการให้บริการเช่าหนังด้วยตู้บริการอีกราย โดยใช้ชื่อบริการว่า Flix on Stix ซึ่งแทนที่จะให้บริการเช่าหนังแผ่นจากตู้อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น Flix on Stix จะใช้การดาวน์โหลภาพยนต์ดิจิตอล(หรือรายการโชว์ทางทีวี และเกมส์)ลงไปใน USB Flash Drive ที่นำติดตัวมาแล้วกลับไปเปิดดูที่บ้านได้เลย เงื่อนไขของการให้บริการของ Flix on Stix ก็คือ ผู้ใช้บริการจะต้องนำแฟลชไดรฟ์ (หรือซื้อของบริษัท) ติดตัวมาที่หน้าตู้บริการ เลือกหนัง รายการทีวี หรือเกมส์ที่ต้องการเช่า รูดบัตรเครดิต จากนั้นเสียบแฟลชไดรฟ์ (หรือการ์ดหน่วยความจำ SD) เพื่อโหลดโปรแกรมเล่นภาพยนต์ที่ต้องการ โดยมันจะไม่สามารถใช้เล่นได้อีกเมื่อถึงระยะเวลากำหนด อัตราการเช่าหนังบนแฟลชไดรฟ์ 1 เหรียญฯ จะสามารถรับชมได้ 3 วัน 2 เหรียญฯ ได้ 6 วัน 3 เหรียญฯ ได้ 9 วัน และ 4 เหรียญฯ ได้ 12 วัน (ราคาเช่าประมาณ 30 - 120 บาท)



ข้อดีของการให้บริการเช่าหนังในลักษณะนี้ ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าส่งหนังคืนช้า หรือลืมนำภาพยนต์ไปคืนที่ตู้เหมือนบริการเช่าหนังแผ่นจากตู้ของ RedBox หรือ Blockbuster ส่วนข้อที่เป็นกังวลก็อาจจะเป็นเรื่องของขนาดไฟล์โปรแกรมภาพยนต์ที่ใหญ่กว่าความจุของไดรฟ์ เวลาที่ใช้ในการก็อปปี้ ชนิดของการบีบอัดภาพยนต์กับคุณภาพที่ได้ เพราะถ้าขนาดความจุไม่พอก็จบกัน หรือต้องยืนรอมันก็อปนานจนเมื่อย และที่แย่กว่านั้นคือ คุณภาพการบีบอัดที่อาจจะทำให้ความคมชัดที่ได้ไม่เหมาะกับการชมภาพยนต์ อย่างไรก็ตาม ข้อกังวลเหล่านี้ ทาง Flix on Stix พยายามแก้ไขด้วยการใช้ USB 3.0 ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาทีต้องรอก็อปปี้ลง แต่ผู้บริโภคคงต้องใช้แฟลชไดรฟ์ที่สนับสนุน และมีผู้ชมกี่คนที่ต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์กับทีวี งานนี้คงต้องดูว่า โมเดลร้านเช่าวิดีโอแบบใหม่ทีให้บริการในรูปแบบของตู้เช่า เพื่อให้ดาวน์โหลดหนังไปชมลงบนแฟลชไดรฟ์จะไปได้แค่ไหน? แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ คิดเห็นกันอย่างไรกับการให้บริการในลักษณะนี้



Intel หนุน Tablet ชูแพลตฟอร์ม Atom

รายงานข่าวล่าสุด Paul Otellini ซีอีโอของ Intel กล่าวเมื่อวานนี้ว่า โพรเซสเซอร์ของทางบริษัทจะถูกใช้"แท็บเล็ต" (tablet) รุ่นต่างๆ ที่จะออกวางตลาดในปี 2011 มากกว่า 35 โมเดล พร้อมทั้งยืนยันความชัดเจนว่า โพรเซสเซอร์ที่ใช้ในอุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นแพลตฟอร์ม Atom

"เรากำลังทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจได้ว่า Intel สนับสนุนทุกระบบปฏิบัติการอันหลากหลายที่พบในตลาดวันนี้" Otellini กล่าวที่งานประชุม Barclays Capital 2010 Global Technology โดยการประชุมดังกล่าวได้มีการสตรีมมิ่งระบบเสียงบนอินเทอร์เน็ตด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้เปิดเผยรายชื่อแบรนด์ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำ กว่า 15 ราย ซึ่งในที่นี้รวมถึงบริษัทที่กำลังเตรียมวางตลาด"แท็บเล็ต"อย่างน้อย 35 โมเดลที่ทำงานด้วยชิป Atom ไม่ว่าจะเป็น โตชิบา เดลล์ เลอโนโว อัสซุส เอเวอร์ และโมชั่นคอมพิวติ้ง "แท็บเล็ตที่ออกมาเหล่านี้มีทั้งที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows และ Android ที่มีทั้ง Froyo และ Honeycomb" Otellini กล่าว



"เรา มีความตั้งใจที่จะใช้ชิป Atom กับสองสายผลิตภัณฑ์ด้วยกัน" Otellini กล่าว "โดยโพรเซสเซอร์ Atom โค้ดเนม Oak Trail จะยังคงรักษาตลาด PC (เน็ตบุ๊ค) ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้อุปกรณ์รอบข้างที่เข้ากันได้ PC เนื่องจากเครื่องพิมพ์ทุกรุ่นในโลก ตลอดจนไดรเวอร์ USB ทั้งหมดจะทำงานได้กับ PC ที่ใช้โพรเซสเซอร์ Oak Trail ซึ่งเป็นโพรเซสเซอร์ Atom ที่มีประสิทธิภาพการทำงานที่สูง ทนทาน และใช้พลังงานต่ำ" Otellini กล่าวต่อว่า "ในขณะเดียวกันเรายังมี Atom เวอร์ชันที่ได้รับการออปติไมซ์เรียกว่า Moorestown ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องที่มีความบางเบา แบตเตอรี่ใช้ได้นาน โดยมันจะไม่ได้ใช้กับ PC โพรเซสเซอร์เวอร์ชันนี้จะทำงานด้วยชุดคำสั่ง x86 ดังนั้นมันจะเข้ากันได้กับการเชื่อมต่อ Internet และไม่ต้องกังวลสำหรับการสนับสนุนระบบการทำงานเดิม (Windows)" Otellini กล่าว "แท็บเล็ตที่จะวางตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2011 จะสนับสนุนทั้ง 3 ระบบปฏิบัติการ"



นอก จาก Otellinin จะพูดถึง Intel Atom สองตระกูลที่ใช้สนับสนุน PC และ Tablet แล้ว เขายังกล่าวอีกว่า มันถึงเวลาแล้วที่ Intel จะได้ผลิตชิปที่ใช้ในสมาร์ทโฟน "มันเป็นการแข่งแบบมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งแข่งระยะสั้น" เขากล่าวว่า โพรเซสเซอร์ Atom รุ่นที่สองจะใช้กับสมาร์ทโฟน โดยมีชื่อว่า "Medfield" โดยจะเริ่มใช้ในสมาร์ทโฟนที่จะวางตลาดตั้งแต่ในปี 2011 ซึ่ง Otellini ย้ำว่า ผู้บริโภคจะได้เห็นสมาร์ทโฟนจากผู้ผลิตแบรนด์ชั้นนำในไตรมาสที่สองของปี 2011

sWaP Rebel นาฬิกาข้อมือ"ฮัลโหล"ได้?

มาติดตามรายงานข่าวแก็ดเจ็ต (Gadget) เด็ดดวงกันบ้างดีกว่า เช้านี้ขอแนะนำอุปกรณ์ลูกผสมอย่างนาฬิกาข้อมือกับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งรับรองว่า ดีไซน์ และสีสันของนาฬิกาข้อมือฮัลโหลดได้รุ่นนี้โดนใจวัยโจ๋หลายๆ คนอย่างแน่นอน หน้าตาและสเป็กเป็นยังไงนั้น ติดตามกันได้เลย



ดูจากภายนอก sWaP Rebel เป็นนาฬิกาข้อมือดีไซน์สปอร์ตที่มาพร้อมกับสีสันสวยงาม เห็นแล้วทำให้นึกถึงไอเดียของสายนาฬิกาข้อมือที่ใช้กับ iPod Nano รุ่นใหม่ แต่ความจริง sWaP Rebel เป็นมือถือที่ได้รับการออกแบบแพคเกจเป็น"นาฬิกาข้อมือ" โดยผู้ใช้สามารถติดตัว เพื่อใช้มองดูเวลา (แทนการล้วงมือถืออกจากกระเป๋าขึ้นมาดูเวลา) และรับสายเรียกเข้าผ่านบลูทูธ ทีนี้พอรวมอุปกรณ์ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ผู้ใช้ไม่ต้องพกทั้งมือถือ และนาฬิกาให้หนักร่างกายอีกต่อไป



มาดูที่คุณสมบัติการทำงานของ sWaP Rebel กันบ้าง โดยฟังก์ชันหลักของการเป็นมือถือจะสนับสนุนการทำงานร่วมกับเครือข่าย GSM 850/900/1800/1900MHz พร้อมระบบไร้สาย Bluetooth สำหรับหูฟัง แต่มันมีไมค์อยู่ในตัวด้วย หากคุณต้องการยกแขนขึ้นมาคุยแบบนักสืบ Dick Tracy ในส่วนของหน้าจอ LCD ขนาด 1.46 นิ้วของ sWaP Rebel จะทำงานด้วยระบบสัมผัส ซึ่งอาจจะดูเล็กเกินไปสำหรับการใช้นิ้ว แต่ไอคอนขนาดใหญ่บนหน้าจอก็ทำให้คุณจิ่มได้ไม่ยากนัก (กรณีที่นิ้วคุณอ้วนมากก็สามารถใช้ตัวช่วยอย่าง Stylus ที่มาด้วยกันจิ้มแทนก็ได้) นอกจากใช้ดูเวลา และฮัลโหลได้แล้ว sWap Rebel ยังมาพร้อมกับกล้องที่ถ่ายได้ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ โดยสามารถส่งไฟล์ไร้สายผ่าน Bluetooth หรือผ่านทางสายรัดที่มีคอนเน็คเตอร์ USB ในตัวกับพีซีของคุณได้อีกด้วย sWaP Rebel ใช้คุยได้นานประมาณ 130 - 160 นาทีต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และสแตนด์บายได้นาน 85 ชม.สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 300 เหรียญฯ (ประมาณ 9,000 บาท)



ตัวอย่างภาพยนต์ Transformers 3

และแล้วตัวอย่างภาพยนต์ชุด Transformers: Dark of the Moon หรือภาค 3 ของอภิมหาภาพยนต์ฟอร์มยักษ์จากสองฝีมือผู้กำกับระดับเทพฯ ไมเคิล เบย์ และสตีเว่น สปิลเบิร์ก ก็ได้ปล่อยออกมายั่วน้ำลายกันแล้ว ทั้งๆ ที่ภาพยนต์เรื่องนี้คาดว่าจะลงโรงในวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี 2011



ใน ที่สุด ตัวอย่างชุดแรกของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ Transformers: Dark of the Moon ที่เป็นการกลับมาแก้มือของไมเคิล เบย์ หลังจากที่ภาค 2 Transformers: Revenge of the Fallen ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งเรื่องของรายได้ และเสียงวิพากย์วิจารณ์ โดยในภาคล่าสุด เรื่องราวที่ปรากฎในตัวอย่างจะเป็นการร่อนลงสู่ดวงจันทร์ของ Apollo 11 พร้อมกับความลับทีไม่ได้มีการเปิดเผยนานกว่า 40 ปี นั่นก็คือ การสำรวจพบยานอวกาศที่เสียหายบนดวงจันทร์ ซึ่งภายในยานมีหุ่นยนต์ยักษ์ Transformer ที่รอการตื่นขึ้นมา อภิมหาสงครามระหว่าง Autobot กับ Decepticon กำลังจะอุบัติอีกครั้งในวันที่ 1 กรกฎาคม 2011



iProp ขาตั้ง iPad ปรับแต่งได้สารพัด!!!

เชื่อว่าคุณผู้อ่านที่ติดตามเว็บไซต์ arip อยู่เป็นประจำ เชื่อว่า Gadget ประเภทขาตั้งสารพัดรูปแบบสำหรับ iPad คงจะเป็นที่คุ้นตากันบ้าง จะว่าไปมันมีตั้งแต่ชนิด"ทำมือ"ที่ใช้ไม้แขวนเสื้อแบบลวดดัดไปจนถึงไม้ติด ลูกยางสูญญากาศ(ใช้ดูดติดด้านหลัง iPad และมีไม้ค้ำยัน) แต่รับรองว่า ไม่มีตัวไหนสู้ iProp ที่จำแนะนำต่อไปนี้ได้อย่างแน่นอน

iProp ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ iPad ตั้งได้เท่านั้น แต่เป็นขาตั้งที่ปรับระดับได้ แถมยังสามารถหมุนได้ 360 องศา (ด้วยข้อต่อที่ใช้ลูกบอลกลมกับซ็อคเก็ต) และดัดโค้งงอได้ตามต้องการ...ว้า ว!!! เรียกว่า ต้องการขาตั้ง (Prop) แบบไหน จัดให้ได้ ไม่ว่า คุณจะยืน นั่งทำงาน หรือจ่อมตัวตามสบายบนโซฟา รวมถึงพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนด้วย iProp คุณสามารถดัดให้มันนำเสนอ iPad พร้อมใช้งานในท่าทีคุณสะดวกได้อย่างสบาย



iProp ประกอบด้วยแท่นยึด iPad ที่ติดกับข้อต่อหมุนได้ 360 องศา ซึ่งเชื่อมอยู่กับส่วนของขาตั้งความยาวประมาณ 24 นิ้วสามารถดัดโค้งได้ตามต้องการ ตามด้วยส่วนที่เป็นขาตั้งที่แข็งแรงจนถึง พื้นจะมีความสูงประมาณ 36 นิ้ว เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถจัดวาง และดัดขาตั้งของ iProp เพื่อให้ iPad อยู่ในตำแหน่งพร้อมใช้งานได้แล้ว สนนราคาของ iProp อยู่ที่ 79.95 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,400 บาท วางตลาดต้นปีหน้า

พอร์ต VGA จะเลิกใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า

รายงานข่าวล่าสุด บริษัทผู้ผลิตโพรเซสเซอร์ และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel, AMD และ Samsung ออกมาประกาศแผนการที่จะยกเลิกการใช้พอร์ต VGA โดยจะเปลี่ยนมาใช้เป็นพอร์ต HDMI และ DisplayPort กับผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท

VGA (Video Graphic Array) เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อส่วนแสดงผลที่มีอายุอานามหลายสิบปี โดยทำหน้าที่เชื่อมต่อมอนิเตอร์เข้ากับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม มันมีข้อจำกัดของเทคโนโลยี VGA ที่เป็นแอนาล็อกนั่นก็คือ ความสามารถในการแสดงผลที่ความละเอียดสูงสุด ซึ่งเทคโนโลยี HDMI และ DisplayPort ที่ทำงานในระบบดิจิตอลจะตอบโจทย์การใช้งานปัจจุบันได้ดีกว่า ว่าแล้วยักษ์ใหญ่ในโลกเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น Intel, AMD, Samsung, LG, Dell และ Lenovo ต่างก็ออกมาประกาศแผนการเลิกใช้ VGA โดยเปลี่ยนไปใชพอร์ต HDMI และ DisplayPort เป็นอินเตอร์เฟซหลักสำหรับจอแสดงผลของพีซีแทน

"อินเตอร์ เฟซจอแสดงผลดิจิตอลสมัยใหฒ่อย่างเช่น DisplayPort และ HDMI จะให้ประสบการ์ณในการใช้พีซีที่เหนือกว่า โดยเฉพาะความละเอียดของการแสดงผลที่สูงขึ้น และความล้ำลึกของสีทีแสดง ในขณะที่ใช้พลังงานต่ำกว่า โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์แลปทอป" Eric Mentzer รองประธานบริษัท Intel กล่าว "การย้ายไปใช้อินเตอร์เฟซใหม่จะทำให้ Intel สามารถโฟกัสการลงทุนไปที่นวตกรรมใหม่ๆ ในการสร้างประสบการณ์ในการใช้งานพีซี แทนที่จะต้องมาคอยแก้ปัญหาให้เทคโนโลยีใหม่สนับสนุนอินเตอร์เฟซแอนาล็อก เก่าๆ" ทางด้าน AMD มีแผนที่จะเลิกใช้ LVDS และ VGA ในปี 2013 และจะไม่เห็นพอร์ตเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทเลยในปี 2015

Android แอคติเวท 3 แสนเครื่องต่อวัน

Google อ้างว่า ปัจจุบันมีการกระตุ้น (activate) การทำงานของสมาร์ทโฟน Android ทะลุ 300,000 เครื่องต่อวันแล้ว ซึ่งเท่ากับการเปิดมือถือใหม่ทั่วโลกทีใช้โอเอส Symbian ตัวเลขดังกล่าวนอกจากจะบอกถึงชัยชนะของ Android แล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงยอดขายที่น่าจับตามองอีกด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม Eric Schmidt ซีอีโอของ Google กล่าวว่า ทางบริษัทได้กระตุ้นการทำงานของมือถือ Android ประมาณ 200,000 เครื่องต่อวัน แต่ยอดตัวเลขใหม่ที่ได้มีการทวีตโดย Andy Rubin เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาระบุตัวเลขที่กระโดดขึ้นไปเป็นมากกว่า 300,000 เครื่องต่อวัน ซึ่งทำให้เป็นไปได้อย่างมากที่ Android จะเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

อย่าง ไรก็ตาม ตัวเลขที่มีการเปิดเผยล่าสุดไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์มาก นัก เนื่องจากพวกเขาได้คาดการณ์ไว้แล้ว อย่างไรก็ดี ความเร็วของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างหาก เนื่องจากมันเป็นการเติบโตที่เร็วกว่าเดิมถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลสำรวจล่าสุดยังระบุอีกว่า ครึ่งหนึ่งของยอดขายสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯช่วงไตรมาสที่ 3 เป็น Android สำรวจโดย comScore เมื่อเป็นเช่นนี้ คาดว่า Apple คงเตรียมการตอบโต้ Android อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางผ่านเครือข่ายผู้ให้บริการมือถือนอกจาก AT&T ที่จะหมดสัญญาในปี 2011 ตามด้วยการออก iPhone 5 ทังนี้คงต้องดูกันต่อไปว่า แผนการทั้งสองข้อจะสามารถหยุดยั้งการเติบโตของ Android ได้ หรือไม่?

ทั่วโลกค้นหาอะไรมากทีสุดในปี 2010

หลังจาก Yahoo ออกรายงานคีย์เวิร์ดที่ผู้คนทั่วโลกค้นหามากทีสุด หรือ Top Searches ได้เพียงไม่ี่กวัน Google ก็รีบประกาศผลลัพธ์เดียวกันนี้จากรายงานประจำปีของ Zeitgeist ทันทีเช่นเดียวกัน โดยในรายงานดังกล่าวจะมีทั้งผลลัพธ์คำค้นยอดนิยมประจำปี 2010 ทั้งในภูมิภาคต่างๆ และทั่วโลก

Google ได้ทำการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เกิดขึ้นหลายพันล้านครั้งในรอบปี 2010 โดยเปรียบเทียบกับผลลัพธ์การเสิร์ชในปี 2009 เพื่อดูว่า มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นในปีนี้ ผลลัพธ์คือ 3 คีย์เวิร์ดแรกที่มีการค้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบในช่วงสองปีนี้คือ Chatroulette, iPad และ Justin Bieber ในขณะเดียวกัน Twitter และ Facebook ก็ติดอันดับกับเขาด้วย โดยอยู่ในอันดับที่ 9 และ 10 ตามลำดับ ในระหว่างหัวข้อยอดฮิตเหล่านี้ก็มีประเด็นที่น่าสนใจที่ทั่วโลกให้การติดตาม ในปี 2010 ด้วยนั่นคือ หวัดหมู swine flu หรือเรื่องราวของนิยายรักแวมไพร์และผู้แต่งอย่าง Twilight: New Moon และ Stephanie Meyer ตามด้วยนักร้องคุณป้าที่ดังภายในข้ามคืนอย่าง Suan Boyle รวมถึงภาพยนต์ที่กวาดรางวัลมากมายอย่าง Slumdog Millionaire และ Michael Jackson

Pad เป็นคำทีมีการค้นมากเป็นอันดับหนึ่งในหมู่สินค้า consumer electronics ตามด้วย iPhone 4, Nokia 5530, HTC EVO 4G และ Nokia N900 ส่วนคำค้นที่เกียวกับข่าวทีมีอันดับสูงสุดคงจะหนีไม่พ้นข่าวแผ่นดินไหวที่ Haiti และคีย์เวิร์ด "earthquake" และที่ตามติดมาในหมวดนี้ด้วยก็คือ Lady Gaga และ iPhone 4 หากคุณผู้อ่านต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งทีผู้คนทั่วโลกค้นหา และให้ความสนใจในปี 2010 จาก Google ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ Zietgeist 2010 ซึ่งจะมีเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้คุณดำดิ่งลึกลงไปในข้อมูลได้อย่างง่ายดาย เอ่อ...เรื่องราวในบ้านเราก็ดังเหมือนกัน :(

รั่ว!!! เคส iPad 2 เผยกล้อง+ช่องใส่ SD

พบภาพรั่วที่กำลังว่อนเน็ตขณะนี้ที่หลายคนสงสัยว่า มันอาจจะเป็นเคสด้านหลัง iPad 2 ที่หลุดออกมาจากโรงงานผลิตแห่งหนึ่งในจีน ซึ่งหากเป็นไปอย่างที่ข่าวว่า แล้วรูที่อยู่มุมบนซ้าย และช่องเว้าบริเวณขอบที่เพิ่มขึ้นมานั้น คืออะไรกันแน่?

หาก พิจารณาภาพเคสที่สันนิษฐานว่าเป็นเคสด้านหลังของ iPad 2 รูวงกลมที่อยู่มุมบนซ้ายน่าจะเจาะไว้สำหรับ"กล้องด้านหลัง" ส่วนรอยเว้าขนาดใหญ่ที่ขอบด้านข้างล่าง ซึ่งอยู่ถัดจากช่องของคอนเน็คเตอร์น่าจะเป็นช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD อย่างไรก็ตามมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกมาว่า มันอาจจะไม่ใช่ช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ SD แต่น่าจะเป็นช่องของลำโพงที่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ เนื่องจาก Apple ไม่เคยดีไซน์ช่องขนาดใหญ่สำหรับลำโพง โดยอ้างอิงจาก iPhone และ iPod Touch หากเคสนี้เป็นของจริง iPad 2 อาจจะแตะเบรค Samsung Galaxy Tab ได้สำเร็จ ว่าแต่แล้วมันจะแตะเบรค iPad เวอร์ชันปัจจุบันด้วยไหม?

ด่วน!!! Firefox 3.6.13 อุด 11 ช่องโหว่

เริ่มต้นข่าวเช้านี้ ขอประเดิมด้วยรายงานล่าสุดที่ผู้ใช้ Firefox ควรทราบนั่นคือ Mozilla ได้อัพเดตเวอร์ชันใหม่ของบราวเซอร์ Firefox เป็น 3.6.13 เพื่ออุด 11 ช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัย ขณะเดียวกันยังได้อัพเดตอีเมล์ไคลเอ็นต์อย่าง Thunderbird เป็น 3.1.7 ด้วย

สำหรับช่องโหว่ 11 แห่งที่พบนั้น 9 ช่องโหว่ถูกระบุว่าเป็นช่องโหว่วิกฤต (critical) ส่วนที่เหลือเป็นช่องโหว่ที่มีความร้ายแรงระดับปานกลาง (moderate) และสูง (high) ทั้งนี้ในส่วนของช่องโหว่วิกฤตก็จะเกี่ยวข้องกับการกระโดดข้ามระบบรักษาความ ปลอดภถัยของ Java การสั่งรันโค้ดอันตรายผ่านเน็ต และช่องโหว่ต่างๆ ที่เกิดจากระบบจัดการหน่วยความจำที่ไม่ชัดเจน ส่วนช่องโหว่ที่ไม่วิกฤตก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้ารหัสตัวอักษร และการหลอกให้เข้าใจผิดคิดว่าการเชื่อมต่อขณะนั้นปลอดภัยด้วย SSL แล้ว ทาง Mozilla กล่าวว่า การอัพเดตยังได้แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ระบบมีการทำงานที่สเถียรขึ้นอีก 68 แห่ง

นอก จากออกอัพเดต Firefox แล้ว ทาง Mozilla ยังได้ออก Thunderbird เวอร์ชัน 3.1.7 เพื่อปรับปรุงการทำงาน โดยเฉพาะการแสดงผลอีเมล์ที่เป็น HTML ทั้งในเรื่องของข้อผิดพลาด ประสิทธิภาพในการทำงาน ความสเถียรของโปรแกรม ตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัย Mozilla ยังอ้างอีกด้วยว่า อัพเดตเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการกับโฟลเดอร์ไฟล์ขนาดใหญ่ ที่อยู่ในเครื่อง และลดความเสี่ยงจากการเสียหายของเมล์บ๊อกซ์ที่ใช้ IMAP ทั้งนี้ผู้ใช้จะได้รับการแจ้งเตือนให้ติดตั้งอัพเดตของซอฟต์แวร์ทั้งสองตัว แต่ถ้าต้องการอัพเดตทันทีก็เข้าไปที่ Firefox และ Thunderbird

เหตุผลที่ Chrome OS Netbook น่าใช้?

หลังจากทีได้มีการแนะนำกันไปบ้างแล้ว สำหรับ Chrome OS Netbook ซึ่งก็มีคุณผู้อ่านหลายท่านที่ให้ความสนใจกันพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำถามตามมาว่า มันก็แค่"เน็ตบุ๊ค"เครื่องหนึ่ง และหากจะว่าไปมันดูเหมือนกำลังจะเป็นขาลงของเน็ตบุ๊คไม่ใช่ หรือ? แล้ว Google Cr-48 เน็ตบุ๊คที่ทำงานด้วย Chrome OS มีดีอะไร? ที่ทำให้ผู้ใช้ต้องหันมามอง

หาก คุณผู้อ่านสนใจในประเด็นนี้ ลองเสิร์ชคำว่า Google CR-48 ใน YouTube จะพบว่า มีคลิปสารพัดที่พยายามให้คำตอบในเรื่องนี้ ล่าสุดทาง Google เองได้จัดทำคลิปแนะนำ และตอกย้ำคำอ้างเกี่ยวกับ Google Chrome OS Netbook ที่ว่า มันไม่เพียงแต่มีดีไซน์ที่น่าใช้ด้วยความบางเพียง 0.9 นิ้ว และหนักแค่ 3.6 ปอนด์ (1.63 กิโลกรัม) เท่านั้น แต่ไม่ว่าคุณจะทำมันพังสักกี่เครื่อง ข้อมูลต่างๆ และงานของคุณจะพร้อมใช้ด้วยระบบการทำงานแบบ Cloud computing ได้ทันทีที่เปลี่ยนเครื่องใหม่ ลองชมคลิปข้างข้างนี้ดูนะครับ รับรองว่า คุณต้องชอบแน่ๆ

Credit : ARIP News

Views: 653

Comment

You need to be a member of Manchester City Fan Club in Thailand Website to add comments!

Join Manchester City Fan Club in Thailand Website

Comment by ko man ci on December 13, 2010 at 12:02am

bookmark ไว้ก่อนวันหลังอ่านต่อ ยาวจัด

Comment by mcfc-มีน on December 9, 2010 at 8:54pm
ว้าว กระตุ้นต่อมอยาก อิอิ ขอบคุณครับน้องชาย

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.