Members

คอลัมส์น่าสนใจ:: 3 ความหวังที่เหลือ

คอลัมส์น่าสนใจ:: 3 ความหวังที่เหลือ



       ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจบรอบแบ่งกลุ่มไปพร้อมกับการที่ 3 จาก 4 ตัวแทนอังกฤษผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ มีเพียงลิเวอร์พูลทีมเดียวที่ตกรอบ

        แมนฯ ซิตี้ลุ้นจนถึงนัดสุดท้ายแต่ก็ตามหลังเชลซีและอาร์เซน่อลเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายจนได้ เป็นการเข้ารอบน็อกเอาต์ปีที่ 2 ติดต่อกัน

        เทียบกับตัวแทนจากชาติอื่นแล้ว ทีมจากอังกฤษเป็นรองแค่เยอรมนีที่เข้ารอบมาได้ครบทั้ง 4 ทีม

        สเปนเข้ามา 3 เช่นเดียวกัน แต่ก็เป็น 3 ทีมเต็งลุ้นแชมป์ทั้งเรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และแอตเลติโก มาดริด

        ฝรั่งเศสมีปารีสกับโมนาโกเป็น 2 ทีมตัวแทน ที่เหลือหลุดเข้ามาชาติละหนึ่งทั้ง โปรตุเกส, อิตาลี, ยูเครน และสวิตเซอร์แลนด์

        มองตามศักยภาพของทีมที่ผ่านเข้ารอบมาถือว่าไม่ได้พลิกความคาดหมายอะไร ค่อนข้างเป็นไปตามที่กะเก็งกันเอาไว้

        เอฟซี บาเซิ่ลอาจจะดูเหมือนแหกโผนิดๆ ที่เบียดลิเวอร์พูลเข้ารอบตามหลังเรอัล มาดริดมาได้ แต่มองอย่างจริงจังแล้วถือว่าเหมาะสม ไม่มีอะไรให้ค้านสายตา

        ตัวแทนจากแดนนาฬิกาทำผลงานได้ดีกว่า และมีประสบการณ์มากกว่าในช่วงหลัง ไม่ใช่เพิ่งกลับมาเล่นรายการนี้ครั้งแรกในรอบหลายปีจนเหมือนเป็นหน้าใหม่ เสียเองอย่างหงส์แดง

        สำหรับ 3 ตัวแทนจากเวทีพรีเมียร์ลีกที่หลุดเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เชลซีของ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นทีมเดียวที่เข้ามาในฐานะ "แชมป์กลุ่ม" ขณะที่ปืนใหญ่กับเรือใบติดสอยห้อยตามในฐานะ "รองแชมป์"
 
        การเป็นเพียงอันดับ 2 ของกลุ่มหมายถึงโอกาสจับสลากชนของแข็งมีสูงลิบ
 
        อาร์เซน่อลไม่เจอเชลซีซึ่งเป็นชาติเดียวกัน รวมไปถึงดอร์ทมุนด์ที่เพิ่งฟัดกันมาในรอบแบ่งกลุ่ม ตัวเลือกที่เหลือจึงมีอยู่ 6 ทีม
 
        2 ทีมที่ปืนใหญ่ภาวนาอยากเจอมากที่สุดคงหนีไม่พ้นโมนาโกกับเอฟซี ปอร์โต้ เพราะอีก 4 ทีมทั้ง 2 ยักษ์จากมาดริด, บาร์ซ่า และบาเยิร์น ถ้าเลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยง (แต่ที่ผ่านมาไม่เคยหนีได้ มีแต่ชนโครมอย่างจัง)
 
        แมนฯ ซิตี้เกือบจะคล้ายอาร์เซน่อล สลับแค่บาเยิร์นในกลุ่มเดียวกันเป็นดอร์ทมุนด์ แล้วก็ตัดเชลซีออกไป ที่เหลือเหมือนกันหมด
 
        ทั้งเรือใบและปืนใหญ่มีงานหินโหดรออยู่ และน่าจะถูกจับตามองมากกว่าเชลซีว่าจะไปต่อจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศได้หรือไม่
 
        ย้อนกลับไปสักสิบปีที่แล้ว ทีมจากอังกฤษเคยมีช่วงเวลายิ่งใหญ่ในเวทียุโรปและรันผลงานต่อเนื่องได้ราว 4-5 ปี
 
        จุดเริ่มต้นคือในฤดูกาล 2004/05 ที่เข้ารอบน็อกเอาต์ได้ทั้ง 4 ทีมไม่ว่าจะเป็นแมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, เชลซี และลิเวอร์พูล
 
        หงส์แดงและสิงโตน้ำเงินครามไปเจอกันเองในรอบตัดเชือก และเป็น "Ghost goal" ของ หลุยส์ การ์เซีย ที่ช่วยให้เดอะ ค็อปได้เฮกับการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
 
        จากนั้นลิเวอร์พูลก็สร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ด้วยการพลิกชนะเอซี มิลานในการดวลจุดโทษที่อิสตันบูล
 
        ฤดูกาลถัดมาแมนฯ ยูไนเต็ดพลาดท่าตกรอบแบ่งกลุ่มไปก่อนเพื่อน ขณะที่เชลซีกับลิเวอร์พูลจบเส้นทางที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
 
        ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่อย่างอาร์เซน่อลจะบุกตะลุยไป จนถึงรอบชิงชนะเลิศและเกือบเป็นแชมป์ได้สำเร็จหากไม่โดนบาร์เซโลน่ายิงแซง ชนะไป 2-1
 
        การเข้ารอบชิงของปืนใหญ่ได้ในปีนั้นยังเป็นผลงานที่ดีที่สุดของทีม จนถึงทุกวันนี้ และปีดังกล่าวยังเป็นปีสุดท้ายที่ใช้งานสนามเก่าไฮบิวรี่
 
        ไม่ต้องสงสัยเลยว่าด้วยขนาดสนามที่เล็กกว่ามาตรฐานทั่วไปและความเคย ชินที่มีมากกว่าเวมบลีย์ซึ่งเคยแวะเวียนไปใช้ มีผลอย่างมากที่ทำให้อาร์เซน่อลยุคของ เธียร์รี่ อองรี หลุดเข้าไปจนถึงนัดสุดท้าย
 
        ตัวแทนจากพรีเมียร์ลีกกลับมาเปรี้ยงปร้างเต็มตัวอีกครั้งในฤดูกาล 2006/07 ที่เข้าถึงรอบตัดเชือก 3 ทีมทั้งแมนฯ ยูฯ, ลิเวอร์พูล และเชลซี ส่วนอาร์เซน่อลตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
 
        หงส์แดงย้ำแค้นเชลซีในรอบตัดเชือกอีกครั้ง แต่อีกสาย แมนฯ ยูฯ ไม่มาตามนัด รอบชิงชนะเลิศเลยเป็นรีแมตช์เมื่อปี 2005 ระหว่างเอซี มิลานกับลิเวอร์พูลซึ่งคราวนี้ทีมดังจากอิตาลีแก้ตัวได้เอาชนะไป 2-1
 
        ฤดูกาล 2007/08 น่าจะเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของทีมจากอังกฤษเพราะนอกจากจะเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ครบทั้งสี่ทีมแล้ว ยังมีถึง 3 ทีมที่เข้าถึงรอบตัดเชือก
 
        น่าเสียดายที่อาร์เซน่อลกับลิเวอร์พูลดันมาเจอกันเองในรอบก่อนรองฯ ที่ว่านี้ ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์เข้าตัดเชือกครบถ้วนทุกทีมได้เลย
 
        ที่น่าแปลกก็คือเชลซีโคจรมาเจอลิเวอร์พูลในรอบตัดเชือกเป็นครั้งที่ 3 จาก 4 ปีหลังสุด
 
        "Third time lucky" สำหรับเชลซีเกิดขึ้นจริงเมื่อจัดการถอนแค้นหงส์แดงได้สำเร็จและผ่านเข้าไปทำศึกสายเลือดกับแมนฯ ยูไนเต็ด
 
        ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ตัวแทนจากเมืองผู้ดีเจอกันเองในรอบชิงชนะเลิศ และเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ชาติเดียวกันชิงกันเองหลังจากก่อนหน้านี้เคยมีเรอัล มาดริด-บาเลนเซีย ในปี 2001 และสองทีมมิลานในปี 2003
 
        เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาผีแดงเถลิงแชมป์ยุโรปด้วยชัยชนะจากการดวลจุดโทษ แต่เชลซีในปีนั้นก็ถือว่ามาไกลมากหากดูจากการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมที่ปลด โชเซ่ มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งและให้ อัฟกราม แกรนท์ กุนซือไร้ราศีเข้ามาขัดตาทัพ
 
        ตัวแทนจากอังกฤษน่าจะสานต่อความยิ่งใหญ่อีกฤดูกาลเพราะเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ครบ 4 ทีมเหมือนเดิมในฤดูกาลต่อมา
 
        ทว่าฤดูกาล 2008/09 คือฤดูกาลของบาร์เซโลน่าอย่างแท้จริง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมกวาดทุกแชมป์ที่ขวางหน้าโดยเฉพาะแชมเปี้ยนส์ ลีกที่ดับซ่าทีมอังกฤษทั้งเชลซีในรอบตัดเชือกและแมนฯ ยูฯ ในรอบชิงชนะเลิศ
 
        ในรอบตัดเชือกมีทีมอังกฤษเข้า 3 ทีมอีกครั้ง เหมือนรุมกินโต๊ะบาร์ซ่าก็ว่าได้ แต่สุดท้ายไม่มีใครต้านความแข็งแกร่งของทัพอาซูลกราน่าได้
 
        การขึ้นมาเต็มตัวของบาร์ซ่าต่อเนื่องด้วยอินเตอร์ มิลาน ที่ทำทริปเปิลแชมป์เช่นกันในฤดูกาลถัดมา (2009/10) คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทีมจากอังกฤษสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากขึ้น
 
        ในปีที่มูรินโญ่พาอินเตอร์ฟาด 3 แชมป์ ไม่มีทีมจากอังกฤษเข้าถึงรอบตัดเชือกได้แม้แต่ทีมเดียว ดีสุดรอบ 8 ทีมคือแมนฯ ยูฯ กับอาร์เซน่อล ขณะที่ลิเวอร์พูลไปตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม
 
        หงส์แดงหายหน้าไปนานหลายปีจนกระทั่งฤดูกาลนี้ที่กลับมาอีกครั้ง แต่ก็จอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มเหมือนเดิม
 
        ในช่วงที่ลิเวอร์พูลหาทางกลับมาถ้วยใหญ่ยุโรปอีกครั้งก็เป็นแมนฯ ซิตี้ที่ก้าวเข้ามาทดแทนแต่ก็ไม่ได้มีผลงานที่น่าจดจำอะไร ตรงกันข้ามกับสเปอร์สยุค แกเร็ธ เบล ที่สอดแทรกเข้ามาได้หนึ่งฤดูกาลและฝากผลงานอันยอดเยี่ยมเอาไว้จากการเข้าถึง รอบก่อนรองชนะเลิศ
 
        แมนฯ ยูไนเต็ดหลุดเข้าชิงได้ในปี 2011 แต่ก็แพ้บาร์เซโลน่าอีกครั้ง ทว่าปีถัดมาเชลซีดันคว้าแชมป์สมัยแรกด้วยการบุกคว่ำบาเยิร์น มิวนิคถึงรัง
 
        แต่ฤดูกาลถัดมาเชลซีก็ทำเรื่องงามไส้ตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เป็นแชมป์เก่า ส่วนแมนฯ ซิตี้ที่เล่นรายการนี้เป็นปีที่ 2 เอาตัวไม่รอดตามเคย
 
        ตัวแทนจากอังกฤษพาเหรดเข้ารอบ 16 ทีมได้ครบ 4 ทีมอีกครั้งเมื่อฤดูกาลที่แล้วโดยที่เชลซีดูดีที่สุดจากการคุมทีมคำรบสองของ มูรินโญ่แต่ไปเสียท่าแอต.มาดริดในรอบตัดเชือก
 
        นี่คือภาพรวมของทีมจากอังกฤษในสมรภูมิยุโรปช่วงสิบปีที่ผ่านมาซึ่ง แนวโน้มที่เกิดขึ้นคือเจองานยากมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ประเภทมาตรฐานเข้ารอบตัดเชือก 3 ทีมเริ่มเป็นของหาดูยาก
 
        3 ทีมที่เข้ารอบในฤดูกาลนี้ก็คงไม่ต่างกัน
 
        เชลซีที่ขุมกำลังดีกว่าปีก่อนมากถูกมองว่าน่าจะไปได้ไกลที่สุด แต่สิงห์บลูส์ก็ต้องเจอบททดสอบที่แข็งโป๊กทั้งเรอัล มาดริด, บาร์ซ่า, บาเยิร์น รวมไปถึงแอต.มาดริดที่เขี่ยพวกเขาตกรอบปีก่อนในรอบลึกๆ แน่นอน
 
        ส่วนอาร์เซน่อลกับแมนฯ ซิตี้ก็คงต้องฝากชีวิตไว้กับผลการจับสลากรอบต่อไปโดยเฉพาะทีมปืนใหญ่ที่ไม่ รู้ทำกรรมอะไรไว้นักหนามีงานเข้าตลอดช่วง 4 ปีหลังที่เจอแล้วเป็นต้องจอดทั้งเอซี มิลาน, บาร์ซ่า และบาเยิร์น 2 ปีซ้อน
 
        เขียนมาถึงตรงนี้ทำไมรู้สึกมีลางสังหรณ์ว่าภาคต่อของหนังสยองขวัญ "พี่เสือขย้ำปืนแตก" จะกลับมาอีกครั้ง

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
Cr.www.siamsport.
ติดตามข่าวสารทีมได้ที่เวปหลักแมนซิตี้ไทย http://mcfc.in.th/

Views: 306

Reply to This

Replies to This Discussion

หงส์ตกไปหนึ่ง สามความหวังที่เหลือจากเกาะอังกฤษขอให้เปนเรือครับที่ทำได้(คว้าแชมป์)

มาผ่านเข้ารอบได้ในเกมที่เหมือนจะหนักที่สุดได้สุดยอด และด้วยฟอร์มตอนนี้ผมว่าดูดีกว่า ทั้งปืนกับเชลซีอีกนะครับไม่ได้โม้

สามความหวัง ขอให้เป็นเรือทีเถอะ ที่สมหวัง 555

ลุ้นให้ซิตี้ผ่านเข้ารอบต่อไปฮะถ้าเจอง่ายๆก่อนน่าจะช่วยให้ไม่เปลืองแรงมากนะฮะ

เชลซีเก๋า ปืนเองก็เอาตัวรอดได้เพราะเล่นทุกปีมาก่อนเรือ แ่เรือเริ่มเรียนรู้และมาถูกทางล้ว ส่วนหงส์เคยมาเล่นรายการนี้แต่ก็ห่างไปนาน ทำให้ปิ๋วตกรอบคาบ้านแอนฟิลด์ในที่สุด

เรือใบเป็นรองเรื่องประสบการณ์ในรอบลึกๆก็จริง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส

อยู่ที่่นักเตะจะฮึดสู้หรือเปล่า

มันไม่ได้ห่างชั้นกันเยอะขนาดหมดลุ้น

ขอเวลาอีกไม่เกิน 5 ปี ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แน่

อวยให้ เรือใบ สิงห์ ปืน เข้ารอบลึกๆ

เชื่อว่าไม่น่าเกิน2-3ปี.....เรือคงเป็นบิ๊ก4ของเวทีแชมป์เปี้ยนลีกแน่นอน

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.