Members

โชเซ่ vs โจเซป



     ศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ฤดูกาลนี้พิเศษกว่าที่เคยมีมานะครับ
 


        มันพิเศษตรงที่ผู้จัดการทีมของแมนฯ ยูไนเต็ด และแมนฯ ซิตี้ คือ โชเซ่ มูรินโญ่ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั่นแหละ


        คู่นี้เกิดมาเพื่อหักเหลี่ยมโหดกันโดยเฉพาะเลยทีเดียว


        แถมชื่อของทั้งคู่ก็เหมือนกันซะด้วย คือมาจากภาษาฮิบรูว่า "โจเซฟ" (Josef) ซึ่งเป็นชื่อของ "นักบุญยอแซฟ" ภัสดาของพระนางพรหมจารีมารีย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงพ่อบุญธรรมของพระเยซูคริสต์เจ้า


        "โจเซฟ" หรือ "ยอแซฟ" ในภาษาโปรตุเกสก็คือ "โชเซ่"


        "โจเซฟ" หรือ "ยาแซฟ" ในภาษากาตาลันก็คือ "โจเซป"


        ทั้งคู่เคยอยู่ด้วยกันที่สโมสรบาร์เซโลน่ามาก่อน แถมยังถือเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ปู่ บ็อบบี้ ร็อบสัน เหมือนกันอีกต่างหาก


        โชเซ่ มูรินโญ่ รับหน้าที่ "ล่าม" ให้ "ปู่บ็อบ" ก่อนเลื่อนตูดขึ้นมาเป็นผู้ช่วยโค้ช ขณะที่ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ยังเป็นดาวเตะของบาร์ซ่าอยู่เลย


        ปี 2000 ความทะเยอทะยานบรรจงถีบ "มู" ออกมาจากถิ่นคัมป์ นู เพื่อเริ่มต้นอาชีพกุนซือกับเบนฟิก้า ขณะที่ "เป๊ป" ย้ายไปค้าแข้งกับเบรสชาที่อิตาลีในอีก 1 ปีต่อมา


        เมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ สถาปนาตัวเองเป็นกุนซือระดับแชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรป เมื่อ 2004 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังไม่แขวนสตั๊ดเลยนะครับ กระทั่งปี 2007 ถึงสับตีนกลับมาที่ "คัมป์ นู" อีกครั้ง หลังจากเลิกเล่น เพื่อเข้ารับตำแหน่งกุนซือของบาร์เซโลน่า ชุดบี ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองที่เจ้าของสมญา "เดอะ สเปเชียล วัน" ถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม เชลซี และตกอยู่ในสถานะ "ว่างงาน"


        ปี 2008 แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด โดนปลดออกจากตำแหน่งกุนซือของทีมเลือดหมู-น้ำเงิน ส่งผลให้บาร์ซ่าต้องมองหาเฮดโค้ชคนใหม่ โดยตัวเต็งในตอนนั้นคือ อาร์แซน เวนเกอร์, มานูเอล เปเยกรีนี่ และ โชเซ่ มูรินโญ่


        กุนซือจอมอหังการชาวโปรตุเกสคือเต็งหนึ่ง แถมตำแหน่งกุนซือบาร์ซ่านี่แหละ คืองานที่พี่แกทั้งหลงใหลและใฝ่ฝันมาตลอด


        ขณะที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่อง เพื่อเตรียมเข้ารับตำแหน่งเฮดโค้ชคนใหม่ของบาร์เซโลน่าด้วยความภาคภูมิ อยู่ดีๆ ฝันของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ถูกเบื้องบนของ "อาซูลกราน่า" ใช้ตีนบดขยี้จนบี้แบน


        ณ นาทีนี้ ซิกิ เบกิริสไตน์ คือหนึ่งในเบื้องบนของบาร์เซโลน่า (ปัจจุบันก็เป็นผู้บริหารของแมนฯ ซิตี้) ที่มองว่า โชเซ่ มูรินโญ่ คือตัวอันตราย หากแต่งตั้งแล้วอาจมีปัญหาตามมา ขณะเดียวกับที่ โยฮัน ครัฟฟ์ (ผู้ล่วงลับ) อดีตนักเตะเทวดาผู้วางรากฐานให้บาร์ซ่า ก็หนุนหลัง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แบบเต็มตีน เพราะสไตล์การทำทีมแบบเน้นผลการแข่งขันมากกว่าความสวยงามของกุนซือชาวขนมฝอยทองไม่น่าจะเหมาะกับทีมแห่งแคว้นกาตาลุนย่า


        รุ่นน้องอย่าง "เป๊ป" จึงได้ขึ้นมาเป็นกุนซือของบาร์เซ่า ส่วนรุ่นพี่ผู้ผิดหวังอย่าง "มู" ต้องระเห็จไปคุมอินเตอร์ มิลาน


        นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม โชเซ่ มูรินโญ่ ถึงแสดงความสะใจแบบเต็มประดา หลังจากที่ลูกทีมของเขาเขี่ยบาร์เซโลน่าตกรอบตัดเชือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างแสบสันต์รูตูด เมื่อปี 2010 ก่อนทีมงูยักษ์จะประกาศศักดาแห่งความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้า "ทริปเปิลแชมป์" ในปีนั้น


        การโค่นโคตรทีมอย่างบาร์เซโลน่าได้สำเร็จนี่แหละคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญทำให้เรอัล มาดริด ต้องรีบกระชาก โชเซ่ มูรินโญ่ มาเป็นเฮดโค้ชในฤดูกาล 2010-11


        เมื่อนั้นการแก่งแย่ง แข่งขัน ห้ำหั่น เชือดเฉือนกันระหว่าง "เป๊ป" กับ "มู" ก็ทวีความหนักหน่วงและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แบบเกินพิกัดเก็บ


        ระหว่างคุมทีมในลา ลีกา ทั้งคู่ทำศึก "เอล กลาซิโก้" ทั้งหมดถึง 11 ครั้ง ภายในเวลาแค่ 2 ฤดูกาล


        "เป๊ป" ยัดเยียดความปราชัยให้ "มู" ได้ถึง 5 ครั้ง โดยมีเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นที่ "เดอะ สเปเชียล วัน" เอาชนะคู่แค้นแสนรักของตัวเองได้สำเร็จ แถมการศึกครั้งแรกที่ทั้งคู่ประชันกันในแดนกระทิงดุก็เป็นบาร์เซโลน่าที่ระเบิดถังขี้เรอัล มาดริดไปถึง 5-0


        แน่นอนว่าผู้ชนะคือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แถมชนะแบบเป็นเอกฉันท์ซะด้วย


        ทีนี้ลองคิดดูนะครับว่าใครเกลียดใครมากกว่ากัน???


        ยิ่งแพ้ยิ่งเคียดแค้นและเก็บกด เท่านั้นไม่พอ เพราะ โชเซ่ มูรินโญ่ ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้แพ้ที่เลว" อีกต่างหาก พี่แกจึงตามจองล้างจองผลาญไม่ต่างจากตัวอิจฉาในละครน้ำเน่าของบางประเทศจนท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมมีความรู้สึกว่า "จ่ามู" หมกมุ่นเรื่องเอาชนะ "เป๊ป" มากไปจนเกินงาม ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายซีรีส์ คลับ ฟรายเดย์ เรื่อง "เพื่อนรัก เพื่อนร้าย" เลยทีเดียว


        นินทากันว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ถีบตูดตัวเองออกจากบาร์เซโลน่า ไปนอนเขย่าหำเล่นด้วยความเร็วปานกลางอยู่กับบ้านเฉยๆ เพราะอาการ "กูเบื่อ" และคงรำคาญที่ต้องทำการศึกกับกุนซือผู้มีอาการทางจิตอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ นี่แหละ


        ดูเหมือน "เป๊ป" จะไม่มีความสุขที่ต้องทำสงครามกับ "มู" โดยครั้งหนึ่งโชเซ่เคยสัพยอกคู่แข่งของตัวเองผู้นี้ว่า "ถ้าคนเรามีความสุขกับสิ่งที่ทำ - เส้นผมของคุณคงไม่ร่วงจนหมดหัวหรอก แต่เขาหัวล้าน"


        หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง "เป๊ป" ไปคุมบาเยิร์น มิวนิค ขณะที่ "มู" ซมซานกลับมาอยู่ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทั้งคู่มีโอกาสเจอกันอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแบบขำขำในศึกยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ซึ่งเสมอกันไป (ก่อนทีมเสือใต้จะมีชัยในการดวลจุดโทษ)


        ดราม่าระหว่าง โชเซ่ กับ โจเซป ก็เลยเบาบางลงไป กระทั่งคนบนฟ้าหรือซาตานในนรกก็ไม่ทราบลิขิตให้ทั้งคู่หวนมาขับเคี่ยวกันใหม่อีกครั้งในสมรภูมิแข้งพรีเมียร์ลีก


        มิซ้ำยังต้องหวนมาเจอกันในฐานะกุนซือของทีมคู่แค้นร่วมเมืองเดียวกันและต้องแย่งชิงความสำเร็จกันอีกต่างหาก


        โชเซ่ มูรินโญ่ คือผู้จัดการทีมระดับโลกนะครับ แต่ผมมีความรู้สึกว่าคุณพี่เขาแพ้ทาง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างรุนแรงเลยทีเดียว


        แนวทางการทำทีมของทั้งคู่ก็ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน และมันสะท้อนออกมาในทีมของตัวเองอย่างชัดเจนด้วย


        "เป๊ป" ยึดมั่นในการเล่นเกมรุกบนความสวยงาม ส่วน "มู" ยึดมั่นในการเล่นเกมรัดกุม โดยให้ความสำคัญกับผลการแข่งขันมากกว่าความสวยงามของเกมลูกหนัง เปรียบไปเหมือนด้านสว่างกับด้านมืด ซึ่งสถิติในการเจอกันโดยตรงบอกว่า "ความสว่าง" เอาชนะ "ด้านมืด" ได้มากกว่า จนอาจกล่าวได้ว่าผู้จัดการทีมที่สร้างความเจ็บช้ำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ได้มากที่สุดในโลกนี้คือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า


        มองเผินๆ จึงเหมือน "เป๊ป" จะตามมาหลอกหลอน "มู" ในพรีเมียร์ลีกโดยเฉพาะ


        อย่างไรก็ตาม


        แม้สถิติจะบอกว่าใครเป็นผู้ชนะแบบขาดลอยในการพบกันทั้งหมด 16 ครั้ง (เป๊ปชนะ 7 มูชนะแค่ 3 และเสมอกัน 6 ครั้ง) แต่หากมองลึกลงไปในรายละเอียด คุณจะพบว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ก็สามารถขัดขวางความสำเร็จของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้หลายครั้งเหมือนกัน


        1. อินเตอร์ มิลาน โค่นแชมป์เก่าอย่างบาร์เซโลน่า ในรอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2010


        2. ฤดูกาลแรกที่ โชเซ่ มูรินโญ่ คุม "ราชันชุดขาว" แม้จะแพ้แบบราบคาบทั้งในลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ก็ยังเอาคืนได้ในนัดชิงชนะเลิศโกปา เดล เรย์


        3. แม้จะประสบความพ่ายแพ้เสียเป็นส่วนใหญ่ในศึกเอล กลาซิโก้ ทว่าในฤดูกาล 2011-12 เรอัล มาดริดของ "จ่ามู" ก็มีชัยเหนือบาร์เซโลน่าของ "เป๊ป" ในการแย่งแชมป์ ลา ลีกา โดยทิ้งห่างถึง 9 แต้มเลยทีเดียว


        วันเสาร์นี้ บางทีโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อาจจะกลายเป็นทะเลเพลิง เมื่อทั้งคู่จะโคจรมาปะทะกันอีกครั้งในฐานะของผู้จัดการทีมปีศาจแดงและเรือใบสีฟ้า 2 ทีมตัวเต็งแชมป์ที่อยู่ร่วมเมืองเดียวกัน


        สถิติของคนชื่อ "โจเซป" เหนือกว่าเยอะก็จริง แต่ทำไมผมกลับมีความรู้สึกว่าพี่แกไม่ค่อยอยากจะเผชิญหน้ากับคนชื่อเดียวกันว่า "โชเซ่" ก็ไม่รู้???

///////////////////////////////////////////////////////

Cr.siamsport ติดตามข่าวสารได้ที่เวปหลักของประเทศไทย  www.mcfc.in.th

Views: 348

Reply to This

Replies to This Discussion

บ๊ะ! ผู้เขียนเล่าได้สนุกสนานตื่นเต้นมากครับ...เหมือน"สุมาอี้"ปะทะ"ขงเบ้ง"เลยทีเดียว ^_^

เจอกันแล้วบุตรประเยซูเจ้า

คอลัมน์ เป็ดน้อย ช่วงนี้เงียบๆ 555 ไม่เหมือนตะก่อนแล้ว คริคริ

เป๊ป ทำทีม เกมบุก เกมรุกบนความสวยงามของฟุตบอลลูกหนัง "รูปเกมและคุณภาพมาก่อนผลลัพธ์หรือความสำเร็จนั่นเอง" ซึ่งต่างจาก มูรินโญ่ "ที่เน้นผลการแข่งขันเพื่อจะเอาแต่ความสำเร็จและชัยชนะเพียงอย่างเดียว"

RSS

© 2024   Created by thaiMCFC.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service

Text Link Ads script error: local_200939.xml is not writable. Please set write permissions on local_200939.xml.