ก่อนอื่นต้องขอทักทายเพื่อน ๆ สมาชิก ชาว mcfc ในประเทศไทย และ ต่างประเทศ
ผมได้ติดตามความเคลื่อนไหวของทีม แต่ไม่ค่อยได้เข้ามาโพส สักเท่าไร นาน ๆ ที
วันนี้ ผมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของทีม ไปในทิศทางที่ดีขึ้น และมีโอกาสถึงขั้นลุ้นแชมป์
แต่ผลพวงจากเกมส์เมื่อสุดสัปดาห์ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวกับทีมแมนซิตี้ อยู่ตลอด
จากการที่ อเดบายอร์ ดีใจจนกลั้นความรู้สึกไม่ไหว
วิ่งไปแสดงความดีใจกับแฟนบอลอาเซน่อล
ตรงนี้ผมคิดว่าไม่แปลกอะไร การโดนใบเหลืองก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่ที่ผมอยากพูดถึงมากที่สุด ก็คือ ปัญหาที่เกิดจากคู่กรณี ระหว่าง อเดบายอร์ กับ ฟานเพอร์ซี่
ผมมาวิเคราะห์ดูแล้ว ฟานเพอร์ซี่ ผิดก่อน และผิดมากกว่าด้วย วิเคราะห์ดังนี้
1. ฟานเพอร์ซี่ ดูถูกทีมแมนซิตี้ ก่อนหน้าที่จะแข่ง ว่า ไม่มีทางสำเร็จได้ด้วยเงิน
2. ฟานเพอร์ซี่ พูดเหน็บแนม อเดบายอร์ มาตลอดเกมส์ว่า เป็นพวกไอ๊หน้าเงิน
3. ฟานเพอร์ซี่ กระโดดเข้าเสียบบอลแบบอันตรายสุดๆ กะเอาข้อเท้าให้เจ็บ แต่บายอร์หลบทัน
4. ที่เพิ่มมาคือ แฟนบอลพูดดูถูก บายอร์ ตลอดทั้งเกมส์ และ ปลุกเร้าให้บายอร์เสียสมาธิ
จาก 4 ข้อที่กล่าวไปนั้น
มี 3 ข้อ ที่บายอร์พอจะอดทนเพื่อให้ถึงจบเกมส์ได้ แต่มี 1 ข้อ คือ ข้อ 3
ที่ฟานเพอร์ซี่ โดดมาเสียบบายอร์ อย่างแรง จนบาร์ยอต้องยกเท้าหลบ
และเหตุการณ์นี้เองที่ผมพยายามจะโยงถึงหัวข้อกระทู้ว่า
"ยามเมื่อความอดทนถึงที่สุด"
ผมมาได้ยินคำนี้แล้ว ผมคิดถึง ใครสักคนอยู่ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างเดียวกัน
เป็นใครนั้น ผมขอไม่พูดถึงในตรงนี้
ผมกำลังพยายามเขียนเตือนสติ ในฐานะที่ผมเป็นแฟนคลับ
ว่า "อย่ามายั่วยุ อย่ามากดดัน อย่ามาเสียดสีกัน จนทำให้หมดความอดทน"
ลูกผู้ชาย เขาจะไม่พูดเยาะเย้ยกันมากหรอก ถ้าพูดมากก็คงไม่ใช่ลูกผู้ชาย
ลูกผู้ชายต้องอย่าง อเดบายอร์ ไม่ขอพูดอะไรมาก
ในเมื่อเขา พูดกระทบกระทั่ง มาตลอดเกมส์ จนสุดท้าย เสียบ บายอร์ แบบไม่ยั้ง
บายอร์ ก็หมดความอดทน คนเรา อย่าทำให้จนตรอก หรือว่า อย่า มายั่วยุกันนัก
ให้จำไว้ว่า บายอร์ไม่ได้เริ่มก่อน มรึงทำกูได้ กูก็ทำมรึงได้เหมือนกัน
สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไร ขอให้เพื่อนๆ แมนซิตี้ จงเชียร์ทีมต่อไป
เพื่อนๆ คงรู้ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ แต่ขอบอกไว้อย่างว่า "ยามเมื่อความอดทนถึงที่สุด"
.............
สวัสดีครับ
Tags:
-
▶ Reply to This