ภายหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. คำถามที่ถูกจ่อปาก "บังยี" วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฯ คนใหม่ แต่หน้าเดิมทันทีคือ "ใครจะเป็นโค้ชทีมชาติไทยคนต่อไป?" อย่างไรก็ตาม วันดังกล่าวกลับยังไม่ความแน่ชัดใดๆ ท่ามกลางข่าวลือที่ตามมามากมายว่า อาจเป็น "โค้ชง้วน" สุรชัย จตุรชัยภัทรพงศ์ หรือเป็น "โค้ชหรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน ซึ่งล้วนแต่เป็นคำตอบที่อาจจะยังไม่ถูกใจแฟนลูกหนังชาวสยามเท่าไหร่นัก
กระทั่งเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อของ "วินฟรีด เชเฟอร์" โค้ชมากประสบการณ์ชาวเยอรมนี ที่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนทุกอย่่างมาชัดเจนเมื่อวันอังคารที่ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี ยืนยันถึงการลงนามเอ็มโอยู สัญญาจ้างกุนซือเลือดเบียร์วัย 61 ปี เข้ามาคุมทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการ ระยะเวลา 3 ปี พร้อมคาดว่า จะรับค่าเหนื่อยสูงถึง 1.3 ล้านบาทต่อ "เดือน"
งานแรกที่ เชเฟอร์ จะได้โชว์ฝีมือ กลับกลายเป็นงานที่หนักหนาและสำคัญที่สุดของทีมชาติไทย ในการลงเล่นศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 รอพบผู้ชนะระหว่างอัฟกานิสถาน หรือคู่ปรับเก่าปาเลสไตน์ โดยไทยเราจะได้เล่นในบ้านก่อนในวันที่ 23 ก.ค. และออกไปเยือนในนัดที่สองวันที่ 28 ก.ค.
แต่ก่อนที่เราจะได้เห็นฝีไม้ ลายมือของเขาอย่างเต็มตัวในช่วงปลายเดือนหน้า เราลองมาทำความรู้จักกับอดีตกุนซือเจ้าของฉายา "ไอ้หนุ่มบลูยีนส์" ผู้เคยนำทีมเล็กๆ อย่าง คาร์ลสรูห์ ขึ้นมาผงาดในศึกบุนเดสลีกามาแล้วกันก่อนดีกว่า
สมัยเป็นนักเตะ เชเฟอร์ ลงเล่นในตำแหน่งกองกลาง โดยเริ่มอาชีพพ่อค้าแข้งกับทีม "สิงห์หนุ่ม" โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค อดีตยอดทีมลีกเยอรมนี ก่อนจะประสบความสำเร็จครั้งแรกร่วมกับทีมด้วยการคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกา เมื่อปี 1970 ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมคิกเกอร์ส ออฟเฟนบัค ในฤดูกาลต่อมา โดยอยู่กับทีม 5 ปี ทำสถิติลงเล่น 125 นัด ยิงไป 21 ประตู
ปี 1975 เชเฟอร์ ย้ายมาร่วมทีม คาร์ลสรูห์ โดยอยู่กับทีม 2 ปี ลงเล่น 68 นัด ยิง 10 ประตู ก่อนจะกลับไปตายรังกับทีมสิงห์หนุ่มอีกครั้งตลอดช่วงปี 1977-1985 และร่วมประสบความสำเร็จครั้งสำคัญกับทีมอีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ เมื่อปี 1979 รวมถึงเกือบจะได้ถาดแชมป์บุนเดสลีกาสมัยที่ 2 ของตัวเองในปีเดียวกัน เมื่อนำทีมทำแต้มเท่ากับ โคโลญจน์ แต่สุดท้ายต้องพ่ายที่ประตูได้เสีย จนได้แค่รองแชมป์อย่างน่าเสียดาย
บั้นปลาย ชีวิตค้าแข้ง ระหว่างปี 1982-1985 เชเฟอร์เริ่มจับงานโค้ช ในฐานะโค้ชทีมสำรองของมึนเชนกลัดบัค รวมถึงลองเปลี่ยนมารับบทแมวมองในช่วงฤดูกาล 1985-1986 กระทั่งฤดูกาล 1986-1987 จึงได้โอกาสก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ "เทรนเนอร์" อย่างเป็นทางการ ด้วยการรับคุมอดีตทีมเก่าสมัยเป็นนักเตะอย่าง คาร์ลสรูห์
กับ คาร์ลสรูห์ นี่เองที่ถือเป็นการแจ้งเกิดของ เชเฟอร์ อย่างเต็มตัว ด้วยภาพลักษณ์ชอบสวมกางเกงยีนส์คุมลูกทีมข้างสนาม จนนำมาสู่ฉายา "ไอ้หนุ่มบลูยีนส์" โดยเขาสามารถนำทีมเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา และนำทีมไปลุยถ้วยยุโรปในศึกยูฟ่า คัพ เมื่อฤดูกาล 1993-94 แถมสามารถหักด่านทีมดังอย่างพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน, บาเลนเซีย, บอร์กโดซ์, เบาวิสตา และ ปอร์โต โดยเฉพาะรอบ 2 ที่โชว์ฟอร์มเปิดบ้านถล่ม "ไอ้ค้างคาว" ชนิดไม่ไว้หน้า 7-0 ทั้งที่ขณะนั้น บาเลนเซีย กำลังนำเป็นทีมจ่าฝูงลาลีกาอยู่ด้วย ก่อนที่สุดท้ายจะไปพ่ายอะเวย์โกลต่อ ซัลส์บวร์ก หยุดเส้นทางล่าแชมป์เพียงรอบรองชนะเลิศอย่างน่าเสียดาย
นอกจาก นี้ ระหว่าง 12 ปีที่คุมทัพคาร์ลสรูห์ เชเฟอร์ยังสามารถส่งนักเตะแจ้งเกิดบนเวทีลูกหนังเมืองเบียร์ได้หลายราย นำโดย โอลิเวอร์ คาห์น อดีตผู้รักษาประตูเบอร์หนึ่งโลกของทีมชาติเยอรมนี, เมห์เม็ต โชล, มิชาเอล ทาร์นาท, เยนส์ โนว็อทนีย์ และอีกหลายราย
อย่างไรก็ตาม จุดรุ่งเรืองของ คาร์ลสรูห์ กับ เชเฟอร์ มาจบลงในฤดูกาล 1997-98 เมื่อเค้นฟอร์มลูกทีมไม่ออก จนสุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น ทำให้ เชเฟอร์ ถูกปลดออกจากตำแหน่งก่อนจบฤดูกาลเพียงแค่ 2 นัด แต่ก็กลับไม่ช่วยอะไร เมื่อ คาร์ลสรูห์ ต้องหล่นชั้นจริงๆ หลังพ่ายในนัดสุดท้ายของฤดูกาล
เชเฟอร์ ว่างงานได้ไม่นานนัก เมื่อเข้ามารับงานคุมทีม "ม้าขาว" สตุตการ์ท ต่อจาก โยอัคคิม เลิฟ พร้อมรับมรดก 2 จาก 3 ทหารเสือที่หลงเหลืออยู่อย่าง เฟรดดี โบบิช และ คราสซิเมียร์ บาลาคอฟ จอมทัพบัลแกเรีย แต่กับสตุตการ์ท เชเฟอร์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยถูกปลดหลังคุมทีมได้เพียง 5 เดือน จากที่นำทีมทำผลงานได้ไม่ประทับใจเท่าที่ควร
ฤดูกาลต่อมา เชเฟอร์ไปตั้งต้นใหม่กับทีมระดับลีกาสอง เทนนิส โบรุสเซีย เบอร์ลิน ก่อนทำผลงานระดับกลางๆ แต่ด้วยปัญหาการเงินในฤดูกาล 1999-2000 ทำให้ทีมต้องหล่นชั้นไปเล่นในระดับลีกาสาม เชเฟอร์ จึงอำลาสโมสร ก่อนข้ามฟากมาคุมทีมชาติเป็นครั้งแรกกับทีม "หมอผี" แคเมอรูน ในปี 2001
กับแคเมอรูน เชเฟอร์เริ่มต้นงานของตัวเองได้อย่างสวยงาม เมื่อนำทีมผงาดคว้าแชมป์ทวีปแอฟริกา หรือแอฟริกัน เนชันส์ คัพ 2002 ที่มาลีเป็นเจ้าภาพ ด้วยการชนะรวดทุกนัด จนถึงนัดชิงชนะเลิศที่ชนะจุดโทษ เซเนกัล ประเดิมแชมป์แรกได้อย่างยอดเยี่ยม
ต่อจากนั้น แคเมอรูนภายใต้การคุมบังเหียนของเชเฟอร์ ยังร้อนแรงคว้าแชมป์กลุ่มรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 โซนแอฟริกา ผ่านไปเล่นรอบสุดท้าย ศึกเวิลด์คัพฉบับเอเชีย ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ด้วยการอยู่ในกลุ่มอี ร่วมกับเยอรมนี, ไอร์แลนด์ และซาอุดิอาระเบีย แต่ เชเฟอร์ กลับนำทีมผ่านเข้ารอบสองไม่สำเร็จ ได้เพียงอันดับ 3 แพ้ไอร์แลนด์ทีมอันดับ 2 เพียงแต้มเดียวเท่านั้น
ปีต่อมา เชเฟอร์แก้ตัวด้วยการนำทีมแคเมอรูน กรุยทางคว้ารองแชมป์คอนเฟดเดเรชันส์ คัพ ที่ฝรั่งเศส ด้วยการแพ้ให้เจ้าภาพในนัดชิงชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวต้องเจอเรื่องเศร้ากับการสูญเสียลูกทีม มาร์ค วิเวียง-โฟเอ้ ไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังสลบเหมือดคาสนามในรอบรองชนะเลิศกับโคลอมเบีย
ปี 2004 เชเฟอร์แยกทางกับแคเมอรูน หลังนำทีมป้องกันแชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ไม่สำเร็จ โดยตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของไนจีเรีย จากนั้น ก็เริ่มมาหากินกับทีมสโมสรฟุตบอลในเอเชีย โดยเฉพาะกับลีกยูเออีกับทีมอัล-อาห์ลี และอัล ไอน์ ก่อนกลับยุโรปไปคุมทีมเอฟเค บากู ในลีกอาเซอร์ไบจัน เมื่อปี 2010 และยกเลิกสัญญาเมื่อช่วงต้นปี 2011 ที่ผ่านมา ก่อนเข้ามารับตำแหน่งโค้ชทีมชาติไทยคนใหม่ในที่สุด
โดยหลังรับตำแหน่ง โค้ชทีมชาติไทย เชเฟอร์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาต้องการเข้าพัฒนาวงการฟุตบอลไทยเสียใหม่ในทุกๆ ภาคส่วน โดยเฉพาะนักเตะเยาวชนที่เขายืนยันว่า คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด ทำให้เราต้องรอดูกันว่า เชเฟอร์จะนำทีมชาติไทยไปในทิศทางใดต่อไป เมื่อมีศึกเฉพาะหน้าที่ต้องรับมืออย่างฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย ช่วงปลายเดือนหน้า ขอเพียงอย่างเดียว อย่าส่งนักเตะติดโทษแบนลงสนามก็แล้วกัน!!!