โชเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์คนเก่งของ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งศึก ลา ลีกา สเปน แสดงความเชื่อว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้สโมสรมหาเศรษฐีแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และคู่แข่งของพวกเขา ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี นัดแรก วันอังคารที่ 18 กันยายนนี้ จะสามารถคว้าถ้วย "บิ๊กเอียร์" ไปครองได้ ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน ถ้าหาก "เรือใบสีฟ้า" ยังคงเดินหน้าพัฒนาทีมอย่างนี้ต่อไป

        แมนฯ ซิตี้ มีการทุ่มเงินไปเป็นจำนวนมาก กับการพัฒนาทีมอย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของโลก ซึ่ง มูรินโญ่ ระบุว่า จุดนี้ของ "เรือใบสีฟ้า" เหมือนกับที่อดีตหนึ่งในสโมสรของเขาอย่าง เชลซี เคยทำเอาไว้ หลังจากที่ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เข้ามาซื้อ "สิงห์บลูส์" แล้ว

        นายใหญ่ชาวโปรตุกีส ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า "ผมไม่คิดว่า มันจะต่างกับกรณีของ เชลซี มากเท่าไหร่หรอกนะ นับตั้งแต่ที่ โรมัน เข้ามาซื้อสโมสรแล้วนั้น (เคลาดิโอ) รานิเอรี่ ก็กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของเขา แล้วจากนั้นผมก็เข้ามารับงานต่อ ซึ่งเราก็ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรก และยังได้แชมป์บอลถ้วย กับรายการอื่นๆ อีก จากนั้น คาร์โล (อันเชลอตติ) ก็เข้ารมาทำทีม และพวกเขาก็เดินหน้าคว้าแชมป์ได้ต่อ จนได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปในที่สุด"

        "ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ก็เริ่มต้นจากการใช้ มาร์ค ฮิวจ์ส เป็นผู้จัดการทีม พวกเขาเริ่มใช้เงินจำนวนมาก และซื้อนักเตะดีๆ เข้ามาหลายคน แล้วจากนั้น โรแบร์โต้ (มันชินี่) ก็เข้ามาทำทีม และเขาก็ทำได้ดีมากๆ เขาสร้างขุมกำลังที่ยอดเยี่ยม จนได้ถ้วยแรก (เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2010-11) แล้วจากนั้นแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกก็ตามมา"

        "ผมไม่รู้หรอกว่า มันจะเป็นในฤดูกาลนี้ หรือในฤดูกาลหน้าภายใต้การทำทีมของ โรแบร์โต้ หรือจะเป็นกับคนอื่นในอนาคต แต่ตามปกติแล้ว ด้วยแนวทางที่สโมสรกำลังเดินหน้าไปในตอนนี้นั้น มันก็จะทำให้พวกเขาได้ถ้วยใบใหญ่ไปครองไม่ช้าก็เร็วนี้แน่นอน" มูรินโญ่ ระบุ

        ทั้งนี้ กุนซือวัย 49 ปี พาทีมออกสตาร์ตในลีกประจำฤดูกาล 2012-13 ได้น่าผิดหวัง หลังเก็บได้เพียง 4 แต้ม จากการลงเล่น 4 นัด จนทำให้มีบางฝ่ายคาดกันว่า เขาอาจจะมีการปรับเปลี่ยนนักเตะหลายตำแหน่ง แต่ มูรินโญ่ ยืนยันว่า ตนจะไม่เปลี่ยนชุด 11 ตัวจริงแบบยกแผงอย่างแน่นอน "ชุด 11 ตัวจริงจะไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก และผมจะไม่พยายามแสดงให้นักเตะคนใดก็ตามเห็นว่า พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดด้วย มันจะเป็นการดีที่สุด ที่ผมจะคิดสู้กับคู่แข่งซึ่งเต็มไปด้วยนักเตะในระดับท็อป ด้วยระดับที่สูงที่สุด"

        "ผมไม่เชื่อว่า เราทำให้เกิดความกังขาในทีม คนที่ต้องแสดงความรับผิดชอบส่วนใหญ่กับผลงานของทีมคือผม เมื่อทีมของผมชนะ เราก็จะชนะไปด้วยกัน แต่ถ้าเกิดเราแพ้ ผมต้องเป็นคนรีบผิดชอบ ก่อนที่เราจะแพ้ เซบีย่า (0-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา) ผมบอกกับนักเตะทุกคนในสิ่งเดียวกับที่ผมพูดในงานแถลงข่าว ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ใช่คำวิจารณ์ แต่เป็นการยอมรับผิด ซึ่งผมบอกกับพวกเขาไปก่อนเกมแล้ว"

        "ฟุตบอลเป็นเรื่องเกี่ยวกับวันนี้ และวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องของเมื่อวาน เมื่อวานมันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ผมไม่สามารถทำให้ลูกทีมยังมีแรงกระตุ้น และมีสมาธิกับการเล่นในระดับสูงได้ และนั่นเป็นความผิดของผม" นายใหญ่แห่งถิ่น ซานติอาโก เบร์นาเบว ระบุ

        มูรินโญ่ เสริมอีกว่า ตนไม่ได้ถูกภายนอกกดดันกับการทำทีมแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่า ตนมีแรงกระตุ้นสำหรับเกมกับ แมนฯ ซิตี้ มากเท่ากับคนอื่นๆ ด้วย "ในระดับนี้แล้วนั้น ทั้งนักเตะ และผู้จัดการทีมต่างก็ได้แชมป์มาหมดแล้ว เราทุกคนได้แชมป์, มีความเป็นมืออาชีพ และมีความมั่นคงทางการเงิน เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลเกี่ยวกับผู้คน และไม่ต้องไปนั่งรอปฏิกิริยาของพวกเขาด้วย"

        "ไม่มีใครกดดันผมทั้งนั้น มีแต่ผมนี่แหละที่กดดันตัวเอง และก็ไม่มีใครกระตุ้นผมด้วย มีแค่ผมที่กระตุ้นตัวเอง การได้เจอกับ แมนฯ ซิตี้ เป็นสิ่งที่กระตุ้นผมได้ดีเท่ากับการเจอกับ เคตาเฟ่ และการเอาชนะใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นผมได้เหมือนกับแมตช์อื่นๆ แรงบันดาลใจคือเนื้อแท้ของงานนี้ ซึ่งความเชื่อมั่นก็คือพรุ่งนี้เราจะมีทีมที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น, ความรัดกุม และแข็งแกร่ง" กุนซือเลือดฝอยทอง กล่าวทิ้งท้าย